พอดีผมได้อ่านกระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/36807723 (ในวันที่ฉันหลงว่า ตัวเองบรรลุธรรมขั้นต้น)
สภาวะเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ กับผู้ปฏิบัติธรรม หรือผู้ที่ศึกษาตำราในพุทธศาสนาแล้วปฏิบัตธรรมเล็กน้อย เมื่อเกิดความเชื่อสัทธาขึ้นในระดับหนึ่ง.
ซึ่งผมเองก็เคยคิด เมื่อตอนปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง และพยายามรักษาศีล 8 ตอนเรียนมหาลัยปี 2-3 และศึกษาอ่านหนังสือธรรมในห้องสมุดอย่างมาก เห็นไปว่า เราดำรงตนอย่างนี้ ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ศึกษาธรรมอย่างนี้ เทียบเท่ากับพระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี ที่เดียว แต่ก็รู้ว่าเราไม่ใช่พระอริยะ เพราะทุกข์ด้วยฐานะ ด้วยขาดสิทธิ์เสรีภาพต่างๆ และการเป็นอยู่อย่างชัดสน ยังเบียดเบียน กดดันเราได้ เมื่อยังเป็นทุกข์จนร้อนรนได้อยู่อย่างนี้ และดับสลายตัวได้ช้า แล้วยังคลุกขุ่นอยู่ภายในได้อยู่ ภายหลังเกิดให้ทุกข์กังวลโดยไม่ทราบสาเหตุได้อยู่ เราย่อมยังไม่ใช่พระอริยะ.
ต้องขอบใจความทุกข์ ที่กดดันทุกด้านแบบไม่มีทางออก กับการเจริญสติและสมาธิด้วยการปฏิบัติอานาปานะสติ และ พุทธ - โธ ตามที่ละลึกได้ตลาดเวลา ทำให้รู้ตนเองตามความเป็นจริง ในขณะที่เรียนและศึกษาในระดับมหาลัย.
เมื่อได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม จึงทิ้งทุกอย่างหมดเพราะถึงทางตันแล้ว ด้วยสอบเรียนจบทุกวิชาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะได้รับปริญญาหรือเปล่า หรือที่ทุกข์ที่เพียรศึกษามาอย่างเอาชีวิตเข้าแลกนั้น สูญเปล่าไม่มีค่าใดๆ ทางโลก แล้วตนเองก็อาจจะกลายเป็นคนที่ค่อยๆ เพี้ยนเสียสติแล้วบ้าแบบพี่ชายคนโต ที่บ้าไปแล้ว จึงไม่เห็นทางใดที่จะดับทุกข์ตนเองได้อีกแล้ว มีทางเดียวคือปฏิบัติธรรมจนละกิเลสวางทุกข์ให้ได้.
เมื่อเป็นเช่นนั้นการปฏิบัตธรรมอย่างมีใจและเวลาเต็มที่ ด้วยเห็นภัยแห่งทุกข์ที่กำลังกัดกินอยู่ในปัจจุบัน และภัยหนักหนายิ่งที่จะคืบคลานเกิดเบื้องหน้า ความเจริญรุดหน้าในการปฏิบัติจึงปรากฏขึ้นตามลำดับ ด้วยปฏิบัติทั้งวิปัสสนาและสมถะพร้อมกัน ในสำนักที่เน้นปฏิบัติสติและวิปัสสนา..
เพี่ยงไม่กี่วัน นามรูปปริเฉทญาณ และปัจจยะคหะญาณ เจริญขึ้น พร้อมด้วยอุปจารสมาธิ แล้วหลังจากนั้น สิบกว่าวัน สมนาสนญาณ กับปฐมฌานก็บังเกิดขึ้น จิตรวมแล้วตกจากที่สูง ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง แต่มีกำลังความรุ่นแรงมากกว่า ในกระทู้ด้านบนที่กล่าวไว้อย่างมากมาย เพีบงแค่คิดว่า อะ นี้น่าจะเป็นการบรรลุธรรมเท่านั้นเองจิตใจก็เข้าไปจับยึดมั่น ก็เกิดปิติอย่างรุนแรงและชัดเจน กลายเป็นวิปัสสนูกิเลส อย่างสมบูรณ์ด้วยหลงผิดนั้น .
ความมหัศจรรย์ ก็เกิดขึ้นกับจิตใจและร่างกาย ปิติทั้ง 5 ได้เกิดครบกับตนเอง ญานรู้พิเศษก็เกิดขึ้นกับตน วิปัสสนูกิเลส 10 ก็เกิดเกือบครบทุกอย่าง ก็เพราะด้วยกำลังสมาธิที่มากนั้นเอง.
และเมื่อเกิดสภาวะ จิตรวมแล้ววูบหาย ก็หลงผิดคิดว่า ตนเองบรรลุธรรมสูงขึ้น หลงวิปัสสนูกิเลสอยู่เป็นเวลา เกือบ 2 เดือน แต่ด้วยเป็นผู้ที่มีสติดูใจตนเองและเตือนตนเองอยู่เนื่องๆ จึงไม่วิปลาสไปใหญ่โตออกไปข้างนอก และตลอดที่ผ่านมานั้นก็ปฏิบัติธรรมอยู่อย่างต่อเนื่องในวัด
หลังจากนั้นรู้ว่าตนนั้นได้หลงวิปัสสนูกิเลส เมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ต้องทุกข์ใหญ่ แล้วใจนั้นก็เกิดทุกข์ร้อนดิ้นรน จึงได้ทราบว่าที่ผ่านมานั้นเราได้หลงในวิปัสสนูกิเลสเสียแล้ว เหตุการณ์นั้นก็คือ เมื่อกลับไปจะบวชพระที่บ้านเกิด ก็จัดพิธีชาวบ้านก็ร่วมมาทำบุญทราบกันทั้งตำบล แล้วโกนหัวเป็นนาคเรียบร้อย ในวันรุ่งขึ้นจะเข้าวัดบวชเป็นพระ แต่อุปชาจารย์ ไม่ยอมมาบวชให้ เพราะพระคู่สวดไม่ยอม ด้วยรังเกียดว่าเป็นลูกผู้อพยพ แต่เรียนเก่งเพราะพี่ชายพูดให้ได้ยิน.
เมื่อเห็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง เกิดทุกข์ใจกันอย่างยิ่ง ก็จึงทุกข์ใจร้อนรน ดิ้นรนอยู่ภายในใจ จึงรู้ชัดว่าเรายังมีกิเลสเต็มบริบุรณ์ จึงเกิดทุกข์หนักขนาดนี้ จึงรู้ชัดว่าที่ผ่านมานั้น เราหลงในวิปัสสนูกิเลส ความหลงนั้นก็ค่อยๆ คลายออกไป แต่ยังปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง ฌานก็เจริญขึ้น บรรลุฌานที่ 2.
เมื่อได้บวชพระหลังจากนั้น อุทพัยพยญาณ ภังคญาณ ภยญาณ จน นิพพทาญาณ ก็เจริญขึ้น เมื่อใกล้ออกพรรษา รองเจ้าอาวาสนั้นอดรนทนไม่ได้ ไม่อยากให้ผมบวชต่อ(เหตุยาว และด้วยอคติกับลูกคนอพยพ) จึงได้มาขอร้องในเช้ามืดหลังกำลังกลับจากบิณตบาตว่าให้ผมสึกออกไป เมื่อปฏิบัตธรรมคนและแนวและต่างนิกาย ผมจึงยกสละให้เป็นทานท่านไป คือบวชพระได้ครบ 100 วันในพรรษานั้นพอดี.
แล้วผมก็เข้าปฏิบัติในวัดใน กทม. ต่ออยางมีสติไม่ให้หลงเหมือนดังที่ผ่านมา ปฏิบัติอย่างยิ่ง แม้ร่างกายจะผ่ายผอมจนเห็นชีโครงก็ไม่สนใจ สังขารุเบกขาญาณ ก็เจริญขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนั้น จนสละชีวิตในการกำหนดภาวนานั้นอย่างยิ่งยวด เมื่อวิปัสสนาญาณเจริญถึงที่สุด จนเจ็บเจียนตาย กับจุตของจิตที่เหลืออยู่เพียงจุดเดียวที่สว่างจ้าแล้ว เกิด-ดับ ๆ ปรานิตยิ่ง เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างแจ้งชัดกับสภาวะที่เป็นจริงที่ปารกฏนั้น พร้อมทั้งทิ้งตายลงหมดสินไปด้วยกัน พร้อมทั้งบรรลุฌานที่ 3 พร้อมกันไปเมื่อปรากฏเกิดขึ้นมาใหม่ ด้วยสุขและเป็นหนึ่ง ไม่มีอารมณ์อื่นใดปน.
ดังนั้นที่เขียนอธิบายนั้นเพื่อชี้บอกให้ทราบว่า เพียงอาศัยแค่จิตรวมตกวูบ(หรือเห็นการ เกิด-ดับ) สติใจสดใสขึ้นด้วยปีติหรือสุข จะไปตัดสินว่า เป็นการบรรลุธรรมก็เป็นการไม่ถูกต้องที่เดียว เพราะการที่เกิดเสมือนจิตรวมแล้ววูบตกจากที่สูง เกิดได้ด้วยหลายสาเหตุ.
เช่นเกิดจากเกิดสมาธิจิตรวมวูบตกลงไปแล้วเกิดปีติ สุข อย่างยิ่ง เกิดจากจิตเคลือนเผลอตกลงในภวังค์แล้วสติสดใส เกิดจากง่วงแล้วตกภวังค์แล้วตื่นขึ้นมาสดไส เกิดจากปีติแล้ววูบตกภวังค์ลงไปแล้วสติสดใสขึ้น.
เมื่อหลงผิด คิดว่า ตนบรรลุธรรม เป็นพระโสดาบัน นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลบางกลุ่มบางประเภท ที่ปฏิบัติธรรม.
สภาวะเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ กับผู้ปฏิบัติธรรม หรือผู้ที่ศึกษาตำราในพุทธศาสนาแล้วปฏิบัตธรรมเล็กน้อย เมื่อเกิดความเชื่อสัทธาขึ้นในระดับหนึ่ง.
ซึ่งผมเองก็เคยคิด เมื่อตอนปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง และพยายามรักษาศีล 8 ตอนเรียนมหาลัยปี 2-3 และศึกษาอ่านหนังสือธรรมในห้องสมุดอย่างมาก เห็นไปว่า เราดำรงตนอย่างนี้ ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ศึกษาธรรมอย่างนี้ เทียบเท่ากับพระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี ที่เดียว แต่ก็รู้ว่าเราไม่ใช่พระอริยะ เพราะทุกข์ด้วยฐานะ ด้วยขาดสิทธิ์เสรีภาพต่างๆ และการเป็นอยู่อย่างชัดสน ยังเบียดเบียน กดดันเราได้ เมื่อยังเป็นทุกข์จนร้อนรนได้อยู่อย่างนี้ และดับสลายตัวได้ช้า แล้วยังคลุกขุ่นอยู่ภายในได้อยู่ ภายหลังเกิดให้ทุกข์กังวลโดยไม่ทราบสาเหตุได้อยู่ เราย่อมยังไม่ใช่พระอริยะ.
ต้องขอบใจความทุกข์ ที่กดดันทุกด้านแบบไม่มีทางออก กับการเจริญสติและสมาธิด้วยการปฏิบัติอานาปานะสติ และ พุทธ - โธ ตามที่ละลึกได้ตลาดเวลา ทำให้รู้ตนเองตามความเป็นจริง ในขณะที่เรียนและศึกษาในระดับมหาลัย.
เมื่อได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม จึงทิ้งทุกอย่างหมดเพราะถึงทางตันแล้ว ด้วยสอบเรียนจบทุกวิชาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะได้รับปริญญาหรือเปล่า หรือที่ทุกข์ที่เพียรศึกษามาอย่างเอาชีวิตเข้าแลกนั้น สูญเปล่าไม่มีค่าใดๆ ทางโลก แล้วตนเองก็อาจจะกลายเป็นคนที่ค่อยๆ เพี้ยนเสียสติแล้วบ้าแบบพี่ชายคนโต ที่บ้าไปแล้ว จึงไม่เห็นทางใดที่จะดับทุกข์ตนเองได้อีกแล้ว มีทางเดียวคือปฏิบัติธรรมจนละกิเลสวางทุกข์ให้ได้.
เมื่อเป็นเช่นนั้นการปฏิบัตธรรมอย่างมีใจและเวลาเต็มที่ ด้วยเห็นภัยแห่งทุกข์ที่กำลังกัดกินอยู่ในปัจจุบัน และภัยหนักหนายิ่งที่จะคืบคลานเกิดเบื้องหน้า ความเจริญรุดหน้าในการปฏิบัติจึงปรากฏขึ้นตามลำดับ ด้วยปฏิบัติทั้งวิปัสสนาและสมถะพร้อมกัน ในสำนักที่เน้นปฏิบัติสติและวิปัสสนา..
เพี่ยงไม่กี่วัน นามรูปปริเฉทญาณ และปัจจยะคหะญาณ เจริญขึ้น พร้อมด้วยอุปจารสมาธิ แล้วหลังจากนั้น สิบกว่าวัน สมนาสนญาณ กับปฐมฌานก็บังเกิดขึ้น จิตรวมแล้วตกจากที่สูง ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง แต่มีกำลังความรุ่นแรงมากกว่า ในกระทู้ด้านบนที่กล่าวไว้อย่างมากมาย เพีบงแค่คิดว่า อะ นี้น่าจะเป็นการบรรลุธรรมเท่านั้นเองจิตใจก็เข้าไปจับยึดมั่น ก็เกิดปิติอย่างรุนแรงและชัดเจน กลายเป็นวิปัสสนูกิเลส อย่างสมบูรณ์ด้วยหลงผิดนั้น .
ความมหัศจรรย์ ก็เกิดขึ้นกับจิตใจและร่างกาย ปิติทั้ง 5 ได้เกิดครบกับตนเอง ญานรู้พิเศษก็เกิดขึ้นกับตน วิปัสสนูกิเลส 10 ก็เกิดเกือบครบทุกอย่าง ก็เพราะด้วยกำลังสมาธิที่มากนั้นเอง.
และเมื่อเกิดสภาวะ จิตรวมแล้ววูบหาย ก็หลงผิดคิดว่า ตนเองบรรลุธรรมสูงขึ้น หลงวิปัสสนูกิเลสอยู่เป็นเวลา เกือบ 2 เดือน แต่ด้วยเป็นผู้ที่มีสติดูใจตนเองและเตือนตนเองอยู่เนื่องๆ จึงไม่วิปลาสไปใหญ่โตออกไปข้างนอก และตลอดที่ผ่านมานั้นก็ปฏิบัติธรรมอยู่อย่างต่อเนื่องในวัด
หลังจากนั้นรู้ว่าตนนั้นได้หลงวิปัสสนูกิเลส เมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ต้องทุกข์ใหญ่ แล้วใจนั้นก็เกิดทุกข์ร้อนดิ้นรน จึงได้ทราบว่าที่ผ่านมานั้นเราได้หลงในวิปัสสนูกิเลสเสียแล้ว เหตุการณ์นั้นก็คือ เมื่อกลับไปจะบวชพระที่บ้านเกิด ก็จัดพิธีชาวบ้านก็ร่วมมาทำบุญทราบกันทั้งตำบล แล้วโกนหัวเป็นนาคเรียบร้อย ในวันรุ่งขึ้นจะเข้าวัดบวชเป็นพระ แต่อุปชาจารย์ ไม่ยอมมาบวชให้ เพราะพระคู่สวดไม่ยอม ด้วยรังเกียดว่าเป็นลูกผู้อพยพ แต่เรียนเก่งเพราะพี่ชายพูดให้ได้ยิน.
เมื่อเห็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง เกิดทุกข์ใจกันอย่างยิ่ง ก็จึงทุกข์ใจร้อนรน ดิ้นรนอยู่ภายในใจ จึงรู้ชัดว่าเรายังมีกิเลสเต็มบริบุรณ์ จึงเกิดทุกข์หนักขนาดนี้ จึงรู้ชัดว่าที่ผ่านมานั้น เราหลงในวิปัสสนูกิเลส ความหลงนั้นก็ค่อยๆ คลายออกไป แต่ยังปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง ฌานก็เจริญขึ้น บรรลุฌานที่ 2.
เมื่อได้บวชพระหลังจากนั้น อุทพัยพยญาณ ภังคญาณ ภยญาณ จน นิพพทาญาณ ก็เจริญขึ้น เมื่อใกล้ออกพรรษา รองเจ้าอาวาสนั้นอดรนทนไม่ได้ ไม่อยากให้ผมบวชต่อ(เหตุยาว และด้วยอคติกับลูกคนอพยพ) จึงได้มาขอร้องในเช้ามืดหลังกำลังกลับจากบิณตบาตว่าให้ผมสึกออกไป เมื่อปฏิบัตธรรมคนและแนวและต่างนิกาย ผมจึงยกสละให้เป็นทานท่านไป คือบวชพระได้ครบ 100 วันในพรรษานั้นพอดี.
แล้วผมก็เข้าปฏิบัติในวัดใน กทม. ต่ออยางมีสติไม่ให้หลงเหมือนดังที่ผ่านมา ปฏิบัติอย่างยิ่ง แม้ร่างกายจะผ่ายผอมจนเห็นชีโครงก็ไม่สนใจ สังขารุเบกขาญาณ ก็เจริญขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนั้น จนสละชีวิตในการกำหนดภาวนานั้นอย่างยิ่งยวด เมื่อวิปัสสนาญาณเจริญถึงที่สุด จนเจ็บเจียนตาย กับจุตของจิตที่เหลืออยู่เพียงจุดเดียวที่สว่างจ้าแล้ว เกิด-ดับ ๆ ปรานิตยิ่ง เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างแจ้งชัดกับสภาวะที่เป็นจริงที่ปารกฏนั้น พร้อมทั้งทิ้งตายลงหมดสินไปด้วยกัน พร้อมทั้งบรรลุฌานที่ 3 พร้อมกันไปเมื่อปรากฏเกิดขึ้นมาใหม่ ด้วยสุขและเป็นหนึ่ง ไม่มีอารมณ์อื่นใดปน.
ดังนั้นที่เขียนอธิบายนั้นเพื่อชี้บอกให้ทราบว่า เพียงอาศัยแค่จิตรวมตกวูบ(หรือเห็นการ เกิด-ดับ) สติใจสดใสขึ้นด้วยปีติหรือสุข จะไปตัดสินว่า เป็นการบรรลุธรรมก็เป็นการไม่ถูกต้องที่เดียว เพราะการที่เกิดเสมือนจิตรวมแล้ววูบตกจากที่สูง เกิดได้ด้วยหลายสาเหตุ.
เช่นเกิดจากเกิดสมาธิจิตรวมวูบตกลงไปแล้วเกิดปีติ สุข อย่างยิ่ง เกิดจากจิตเคลือนเผลอตกลงในภวังค์แล้วสติสดใส เกิดจากง่วงแล้วตกภวังค์แล้วตื่นขึ้นมาสดไส เกิดจากปีติแล้ววูบตกภวังค์ลงไปแล้วสติสดใสขึ้น.