เพราะกรรม ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...


มีน้อยเราก็ทำตามน้อย มีมากก็ทำตามมาก
ขึ้นชื่อว่า "ความดี" แล้วใครจะทำเผื่อใครไม่ได้ดอก
ใครทำก็ใครได้
เพราะฉะนั้นน่ะอย่าไปอ้างคนนั้นไม่ทำ
คนนี้ไม่ทำแล้วก็ท้อใจเสีย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
เพราะความสุขความทุกข์เราจะแบ่งกันไม่ได้
ต่างคนต่างต้องทำเอา ใครทำก็ใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการกระทำ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ

แล้วมันเกิดขึ้นเป็นขึ้น  มันเกิดจากการกระทำ  

การกระทำในใจได้แก่  ความคิด  เมื่อคิดตกลงอย่างไรแล้ว
ก็จึงใช้กายทำ ใช้วาจาพูด นั่นเรียกว่า การกระทำนั้น
พร้อมทั้งไตรทวารเลย ดังนั้นน่ะเหมือนการกระทำทุกอย่าง
มี  "ใจ" เป็นผู้นำ  เช่นนั้นจึงต้อง "อบรมใจ" ให้มันเกิดความรู้
ความฉลาดขึ้นมา  การกระทำนั้นๆก็จึงจะเป็นไปเพื่อความเจริญ  

ถ้าหากว่าจิตนี้ไม่ฉลาดแล้วทำอะไรลงไปมันก็ไม่ก้าวหน้า
ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้เต็มที่

ดูแต่ "พระบรมศาสดา" พระองค์ทรงแสวงหาโลกุตตรธรรมอยู่ถึงหกปีนู่น
ส่วนโลกียธรรมนั้นพระองค์ได้แล้ว ก็ได้ทราบประวัติความเป็นมา
ว่าพระองค์ทรมาน พระองค์อดนอนผ่อนอาหาร
จนว่าร่างกายซูบผอมก็ยังไม่พบหนทางตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อมารู้ทางสายกลางด้วยธรรมนิมิตแล้วนั่นแหละ
จึงได้ทรงเที่ยวบิณฑบาตมาฉัน   เมื่อมีกำลังกายดีแล้วก็จึงได้นั่งขัดสมาธิ
อธิษฐานใจ  ถ้าไม่ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณในค่ำคืนวันนี้แล้ว
ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เลย
เนื้อหนังมังสาจะเหี่ยวแห้งไป
เส้นเอ็นจะหลุดจากกันไปก็ตามแต่เรื่องมัน  
ถ้าความประสงค์ที่ตั้งไว้อย่างไรไม่สำเร็จแล้วเราจะไม่ไปจากที่นี่เด็ดขาดเลย  
พระองค์ทรงตั้งอธิษฐานลงในพระทัยอย่างนั้น แล้วก็เจริญอานาปานสติ
ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ได้บรรลุฌานไปโดยลำดับ
จนถึงอรูปฌานและถอยกลับมาอยู่ในจตุถฌาน
เจริญวิปัสสนาไปก็ได้บรรลุ "บุพเพนิวาสานุสติญาณ"
คือ ระลึกชาติหนหลังได้ว่าแต่ชาติก่อนโน้นพระองค์ทรงเป็นมาอย่างไร
ก็ทรงรู้แจ้งหมด  เป็นสุขเป็นทุกข์ มีความเจริญความเสื่อมอย่างไร
ก็รู้แจ้งหมด สิ้นสงสัยในความเกิดของพระองค์

เมื่อยับยั้งพักจิตไปตอนเที่ยงคืนก็เจริญวิปัสสนา
ก็ "รู้แจ้งในความเกิดความเป็นไปของสัตว์ทั้งหลาย"
เมื่อสัตว์ทั้งหลายจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็เพราะกรรม
คือ การกระทำ ไม่ใช่เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในสากลโลก
เหมือนอย่างมนุษย์เรียกร้องหาอยู่ทุกวันเนี่ย
มาดลบันดาลให้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ พระองค์ปฏิเสธหมดเรื่องนี้น่ะ
มันไม่มีมูลความจริง  คนทั้งหลายเดาเอาเฉยๆ เชื่อตามๆกันมา
นี่ล่ะท่านเรียกว่า "เชื่อมงคลตื่นข่าว"
คันผู้หนึ่งว่ามาแล้ว ผู้หนึ่งก็มาว่าต่ออีก  
ต่อ ๆ ๆ กันไปเลยโดยไม่ได้พิจารณารู้แจ้งแทงตลอดในเหตุผลเรื่องนั้น
ว่ามันมีจริงหรือมันไม่จริง ไม่มีใครรู้ได้เลย เชื่อตามๆกันมาอย่างนั้นแหละ
นี่ท่านเรียก ถือมงคลตื่นข่าว มันไม่เป็นทางพ้นทุกข์ ไม่เป็นความจริง

พระองค์นั้นหายหลงหายเมาในเรื่องหมู่นี้แล้วเพราะว่า พระญาณที่สอง*
บังเกิดขึ้นในพระทัย เมื่อเห็นแจ้งว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน
เป็นผู้ได้รับผลแห่งกรรมที่ตนกระทำนั้น สิ้นกรรมก็สิ้นทุกข์

อืม..พูดสั้นๆ ก็หมายความว่า บาปก็ละหมดแล้ว บุญก็ทำให้เกิดให้มีเต็มบริบูรณ์แล้ว
ไม่มีอันจะทำต่อไปอีกแล้ว เช่นนี้กิเลสมันก็หมดไปพร้อมกันนั่นแหละ
ที่ท่านเรียกว่า ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน
อันนี้นับว่า
เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนานี้จะพึงพิจารณาให้รู้ให้เห็นด้วยตนเอง  


*(เพิ่มเติม) พระญาณที่สอง คือ  "จุตูปปาตญาณ"  
พระญาณหยั่งรู้ว่า สัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม

...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "ใครทำใครได้"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่