พระอรหันต์ กับ ขันธ์ ๕ .......... ของใคร ?

ด้วยความบังเอิญ ทำให้มีโอกาสได้พบเห็น (มิจฉา)ทิฐิแปลกๆ ในทำนองว่า พระอรหันต์ มี "ขันธ์ ๕" จึงมีความจำเป็นต้องอธิบายความ
พร้อมแสดงหลักฐานชั้นพุทธพจน์ เพื่อชี้ให้เห็นว่า การใช้ "อัตตโนมัติ" ที่เจือไปด้วย ตัณหา อุปาทาน
มาอธิบายพระบาลีพุทธพจน์ แบบส่งเดชของ ปุถุชนผู้บริโภคกาม โดยไม่ใส่ในการ โยนิโสมนสิการ
ใน "หลักฐาน" ที่แท้จริง ซึ่งพระพุทธเจ้า ตรัสสอนเอาไว้ดีแล้ว

ประเด็นที่ ๑
ความหมายของ ขันธ์ และ อุปาทานขันธ์

พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือ ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง อุปาทาน
ส่วน ความกำหนัด ด้วยอำนาจความพอใจในขันธ์เหล่านั้น ชื่อว่า อุปาทาน





********************************************************************************

ประเด็นที่ ๒
ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ หรือเปล่า ?

ครั้งหนึ่ง สัจจกนิครนถ์ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระโคดม ด้วยเหตุเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์"
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า ..............

"ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นเบญจขันธ์ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร
และวิญญาณ อันใดอันหนึ่ง  ฯลฯ นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้ จึงพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น
ด้วยเหตุเท่านี้แหละ ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ฯลฯ"



จึงเป็นอันว่า ถ้าหากกล่าวสำหรับพระอรหันต์แล้ว จึงย่อมไม่มี "ขันธ์ ๕" ที่เป็นท่าน หรือ เป็นของท่าน นะครับ
จะมีก็แต่ในมุมมองแบบชาวบ้าน ที่ยังเมาหมกอยู่กับ ตัณหา อุปาทาน ใน อัตตาตัวตน เท่านั้นกระมัง ที่ยังตามเห็นอยู่ว่า พระอรหันต์ มีขันธ์ ๕ !

********************************************************************************

ประเด็นที่ ๓
เวทนา ที่พระอรหันต์เสวยอยู่ เป็น ขันธ์ หรือไม่ และเป็นขันธ์ ของใคร ?

บางคนอาจยก ธาตุสูตร ขึ้นอ้างว่า พระอรหันต์ยังเสวยเวทนาอยู่ ดังนั้น จะกล่าวว่า พระอรหันต์ ไม่มี ขันธ์ ได้อย่างไร ?



ในกรณีเช่นนี้ ถ้าหากต้องการจะระบุว่า เวทนานั้นคือ "ขันธ์" มันก็ยังไม่เป็นปัญหา นะครับ
เพราะเมื่อเกิด "ผัสสะ" เวทนาธาตุ ก็ย่อมทำหน้าที่เป็น เวทนาขันธ์ เป็นธรรมดา
แต่ที่พึงสังเกต ก็คือ พระอรหันต์ ท่านดับ ตัณหา อุปาทาน หมดสิ้นแล้ว
ขันธ์เหล่านั้น เมื่อเกิดขึ้น ย่อมดับไป โดยมิได้ทำหน้าที่เป็น "อุปาทานขันธ์" เหมือนดังกรณีของชาวบ้านปุถุชน !

แม้กระนั้น เราจะกล่าวว่า เวทนาขันธ์ ที่เกิดขึ้น เป็นเวทนาขันธ์ ของพระอรหันต์ มิได้อยู่ดี
สมดัง พระบาลีพุทธพจน์ ที่พระพุทธเจ้า ตรัสกับ ปริพาชกวัจฉโคตร ความว่า ..........

(๑) ชาวบ้านทั่วไป เมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ ย่อมบัญญัติเพราะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ (ไม่ว่าจะหมายถึง ขันธ์ หรือ ธาตุ ก็ตาม)
(๒) แต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ นั้น ตถาคตละได้แล้ว จึงพ้นแล้วจากการนับว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ
(๓) เปรียบเหมือนมหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิดก็หามิได้
                  


จากพระบาลีนี้ ย่อมเป็นอันสามารถ "ยืนยัน" ได้อย่างชัดเจนว่า เรามิอาจสำคัญมั่นหมาย ได้เลยว่า ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง คือ พระอรหันต์
การบัญญัติว่า ขันธ์เหล่านั้น คือ พระอรหันต์ จึงเป็นเพียงแค่พฤติกรรมโง่ๆ ในการสำคัญผิด ของ ปุถุชนผู้บริโภคกาม เท่านั้นเอง
และด้วยเหตุดังนี้ เวทนา ที่ปรากฏอยู่ใน ธาตุสูตร จึงไม่มีทางจะหมายถึง ขันธ์ ของพระอรหันต์ ไปได้เลย ............ จริงไหมครับ ?

หรือดังกรณี ที่ระบุว่า "พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาแล้ว ทรงประชวรอย่างหนัก เกิดเวทนาอย่างร้ายแรง ถึงใกล้จะปรินิพพาน"



กรณีเช่นนี้ ถ้าให้กล่าวอย่างเคร่งครัดที่สุด เราย่อมไม่สามารถกล่าวว่า "เวทนา" ที่กล่าวถึงนี้
หมายถึง เวทนาขันธ์ ของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุผล คือ

(๑) พระอรหันต์ ทั้งหลาย ย่อมเห็นเบญจขันธ์ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา
(๒) รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ นั้น พระอรหันต์ ละได้แล้ว จึงพ้นแล้วจากการนับว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ

แต่ถ้าพิจารณาในแง่ที่ว่า นั่นเป็นเพียง "โวหารโลก" เป็นการกล่าวในมุมมองของ "ชาวโลก" เพื่อประโยชน์ คือ การสื่อสารกับ "คนโง่เขลา"
ก็ยังพอที่จะ อนุโลม ให้สามารถทำความเข้าใจแบบบ้านๆ  ได้ว่า พระพุทธเจ้าประชวร พระพุทธเจ้าเกิดเวทนา
โดย การประชวร และ เวทนา(ขันธ์) นั้น เป็นของพระพุทธเจ้า !



หึหึ



สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่