ก็ต้องเรียกว่า เข้าทำนอง ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเองจริงๆ สำหรับ บุรุษเปล่า ผู้นี้
ซึ่งมักมีกิริยา "ปากเปราะ" ตำหนิติเตียนผู้อื่นด้วยคำเท็จ อยู่เป็นประจำ
ตัวอย่างเช่น ไอ้หมอนี่ มักกล่าวตำหนิ คู่สนทนา อีกฝ่ายหนึ่งว่า ......
(๑) ชอบเล่นลิ้น พลิกไปพลิกมา ระหว่างเส้นสมมุติกับปรมัตถ์
(๒) พอคุยปรมัตถ์ดิ้นมาสมมุติ พอถกสมมุติ ดิ้นพรวดไปปรมัตถ์
ฯลฯ
ทั้งๆ ที่มูลเหตุ อันเป็นข้อขัดแย้ง มาจากประเด็นที่ นายคันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระธรรมวินัย ความว่า
(๑) จะเรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
(๒) จะบอกว่า ขันธ์ ๕ ไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
ซึ่ง นายคันโตนาซี ได้กล่าวยืนยันซ้ำว่า สิ่งที่มันกล่าวออกมานี้ ถูกต้อง ไม่มีอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย !
แต่ในความจริง กลับปรากฏว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสถึงเรื่องนี้ โดย ๒ แง่ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่หลักฐานที่ตรัสเพียงแง่เดียวว่า พระอรหันต์ ย่อมไม่เห็น ขันธ์ ๕ ว่า เป็นตน หรือ ของๆ ตน เท่านั้น
เมื่อเป็นดังนี้ ในฐานะ ชาวพุทธเถรวาท จึงย่อมสมควรแสวงหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ เอาไว้อย่างไร กันแน่ โดยการสอบทานกับ พระสูตร พระวินัย
และนี่จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามที่ว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ที่ใดบ้างหรือไม่ว่า ........
(๑) จะเรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
(๒) จะบอกว่า ขันธ์ ๕ ไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
ช่างน่าสมเพช ที่ทั้งๆ ประเด็นปัญหา มันมาจากเรื่องของ "ขันธ์" ซึ่งเป็น ปรมัตถธรรม
จะเป็นด้วยเพราะ อับจนปัญญา ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน "รองรับ" คำพูดชุ่ยๆ ของตนเองได้
หรือจะด้วยเหตุผลกลใด ก็ช่างเถิด แต่การ "ตอบคำถาม" ด้วยการกล่าวโต้แย้งว่า พระอรหันต์ ก็มี แขนขา
มันจะไม่กลายเป็น "ถามปรมัตถ์ ตอบสมมุติ" อย่างที่มันเคยติเตียนผู้อื่นมาก่อนหน้านี้ หรอกละหรือ ?
คันโตนาซี รู้สึก อายปากตนเอง บ้างหรือไม่ครับ ?
หรือว่า หน้ามัน "ทนทาน" เสียแล้ว ?
กล่าวโดยสรุป ก็คือ นับแต่ตั้งกระทู้มาจนบัดนี้ คันโตนาซี ก็ได้แต่ ด้านหน้า ตีฝีปาก ไปเรื่อยๆ
โดยที่ไม่สามารถนำหลักฐาน มาแสดงให้เห็นจริงได้เลยว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างที่มันพูด เอาไว้ในพระสูตรใด
***************************************************************
ทีนี้ ท่านทั้งหลาย ลองมาพิจารณา ข้อความโง่ๆ ของใครบางคน นะครับว่า มันโง่เขลาเบาปัญญามากขนาดไหน ?
ไอ้หมอนี่ เขาตั้ง "ตรรกะนรก" ขึ้นมา ดังนี้ว่า ......
(๑) พระอรหันต์ มีร่างกาย
(๒) เพราะหมดความยึดมั่นถือมั่น จึงเห็นร่างกาย ไม่ใช่ของตนอีกต่อไป
(๓) แปลว่า พระอรหันต์ ไม่มีร่างกาย !
(๔) ตรรกะป่วยๆ
พอพูดถึงเรื่อง ตรรกะ แล้วให้รู้สึก เอือมระอา กับไอ้หมอนี่เป็นอย่างยิ่ง
กล่าวคือ ทั้งๆ ที่มันไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง "ตรรกะศาสตร์" เลย
แต่มันก็ขยันสร้าง ประโยคตรรกะ แบบโง่ๆ ออกมาได้เป็นประจำ
ประการแรกที่ท่านทั้งหลาย พึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ
การพิสูจน์ ข้อเท็จจริง เพื่อหาผลลัพท์ ด้วย หลักตรรกศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่า "ข้อเท็จจริง"
เพื่อนำไปสู่ ข้อสรุป หรือ ผลลัพท์ ที่เราต้องการทราบ
ดังในกรณีนี้ เราต้องการทราบว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง
ความสัมพันธ์ ระหว่าง ขันธ์ กายหยาบ และ พระอรหันต์ เอาไว้อย่างไร ?
ประเด็นปัญหาเริ่มต้นที่แท้จริง ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระอรหันต์มี ขันธ์ ๕ หรือไม่มี ?
ซึ่งจากหลักฐาน ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า พระอรหันต์ ไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตน หรือของตน
โดยที่ นายคันโตนาซี ไม่สามารถหาหลักฐานในกรณีที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ได้เลย
ดังนั้น ถ้าพิจารณากรณีนี้ด้วยธรรมเนียมชาวพุทธเถรวาท ก็ต้องถือว่า ได้ข้อยุติไปแล้ว !
แต่เป็นเพราะว่า คันโตนาซี เป็นคน เก้อ-ยาก จึงได้แถกแถ ต่อไปอีก ในทำนองว่า
พระอรหันต์ มีแขนขา ก็เห็นอยู่ และ แขนขานั้น ก็คือ ขันธ์ ๕ แล้วจะมาบอกว่า พระอรหันต์ ไม่มี ขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ?
กรณีที่ ๑
ลองมาเริ่มพิจารณาที่ ประเด็น พระอรหันต์มีแขนขา นะครับ
ถ้าเราถือว่า พระอรหันต์ มีแขนขา นี้เป็น ความจริงเชิงประจักษ์
เราก็ต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า แขนขา นี้ก็คือ ขันธ์ ๕ จริง หรือไม่ ?
(๑) ถ้า แขนขา หมายถึง ขันธ์ ๕ จริงๆ ย่อมสามารถสรุปว่า พระอรหันต์ มีขันธ์ ๕ (ซึ่งจะขัดกับพุทธพจน์)
(๒) แต่ถ้าปรากฏว่า แขนขา มิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ ขันธ์ ๕ ก็ต้องสรุปว่า พระอรหันต์ ไม่มีขันธ์ ๕
พิจารณากันที่หลักฐาน เลยนะครับ กล่าวคือ พระพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
ที่เรียกว่า สัตว์ (หรือบุคคล ฯลฯ) นั้นเกิดจาก "เหตุ" คือ ฉันทะ ราคะ นันทิ และ ตัณหา
ในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน หรือ ของๆตน !
ข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสมานี้ มีความหมายว่าอย่างไร ?
ก็หมายความว่า ลำพัง ขันธ์ ล้วนๆ ไม่สามารถกล่าวได้ว่า เป็น สัตว์ บุคคล หรือ แขนขา หน้า หลัง อะไร หรือ ของใครได้
จนกว่าจะมี ตัณหา ราคะ นันทิ ฉันทะ ของใครบางคน(เช่นตนเอง หรือ ผู้อื่น ในฐานะ ผู้สังเกต)
เข้าไปปรุงแต่ง เป็นเหตุ เป็นปัจจัย อย่างสลับซับซ้อน เสียก่อน
ตัวอย่างเช่น พระอรหันต์ ไม่มี ตัณหา ราคะ ฯ ใน ขันธ์ใดๆ ว่าเป็นตน หรือ ของๆตน
ดังนั้น จึงไม่มี สภาวะความเป็น สัตว์ บุคคล ในความรับรู้และเข้าใจของพระอรหันต์
จะมีก็แต่ สมมุติ ที่ชาวโลกเขาเรียกขานกันเท่านั้น แต่สำหรับพระอรหันต์ มันก็สักแต่ว่าเป็น ธาตุ ขันธ์ อายตนะ ฯลฯ เท่านั้น
แต่เมื่อกล่าวสำหรับ ปุถุชนผู้บริโภคกาม ย่อมยึดถือเอาว่า ขันธ์นี้ๆ เป็นตน หรือ ของๆตน
ในขณะที่ ขันธ์นั้นๆ เป็นของพระอรหันต์ หรือ บุคคลนั้นๆ
นั่นจึงหมายความว่า การที่ใครสักคน มีความเข้าใจ(ผิด)ว่าพระอรหันต์มีแขนมีขา
นั่นย่อมเป็น พระอรหันต์ที่เกิดจากการ "ปรุงแต่ง" ด้วย ตัณหา ราคะ ฯ ของเขาเอง
หาใช่ พระอรหันต์ จริงๆ อย่างที่ควรจะเป็น ตามสภาวะที่แท้จริง แต่อย่างใดไม่ !
ข้ออุปมา ที่ใกล้เคียงกับ กรณีนี้ ก็คือ
หากชาวประมงผู้หนึ่ง กล่าวว่า ปลา และ เกลือ นี้มิใช่ของท่าน
เราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า น้ำปลา(ที่เกิดจากการหมัก ปลากับเกลือ) ต้องเป็นของเขาแน่ๆ ?
ฉันใด ก็ฉันนั้น ในเมื่อพระอรหันต์ระบุชัดเจนว่า ขันธ์ มิใช่ของท่าน
แล้ว ปุถุชน ผู้บริโภคกาม จะไปยัดเยียดว่า แขนขา ซึ่งเกิดจากการปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหาของปุถุชนผู้นั้นเองแท้ๆ
จะต้องเป็นแขนขาของท่าน(พระอรหันต์) ไปได้อย่างไร ?
ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดสำหรับการพิจารณาในกรณีนี้ ก็คือ
คันโตนาซี เข้าใจผิดไปเองว่า แขนขา มีค่าเท่ากับ ขันธ์ (ซึ่งไม่จริง)
เปรียบได้กับ การที่เรากล่าวว่า น้ำปลา ก็คือ ปลา กับ เกลือ ซึ่งไม่ถูกต้อง(อย่างแท้จริง) เช่นกัน
เพราะ การพูดอย่างนั้น จะเท่ากับเป็นการ ตัด เหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิด น้ำปลา ทิ้งไปหมด
ซึ่งถ้าหากปราศจาก เหตุปัจจัยสำคัญๆ เหล่านั้น เช่น (๑) ผู้หมัก (๒) จุลินทรีย์ (๓) แสงแดด ฯลฯ
ก็ไม่มีทางที่ ปลา กับ เกลือ จะกลายเป็น น้ำปลา ไปได้
การพูดอย่างที่ คันโตนาซี กล่าวมานี้ อาจใช้การได้ดี สำหรับ การตีฝีปากในระดับชาวบ้านทั่วไป
แต่ไม่สามารถใช้ได้กับ การพิจารณาด้วยหลักตรรกศาสตร์
อีกทั้ง การที่ ไอ้หมอนี่ พูดเองเออเอง ในทำนองว่า แขนขา ก็คือ ขันธ์
ย่อมส่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ เหตุปัจจัย เลยแม้แต่น้อย
พูดง่ายๆ ก็คือ มันโง่ในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง !
เพราะการพูดพล่อยๆ ไปว่า แขนขา ก็คือ ขันธ์ นั้นเป็นการพูดโดยการ "ตัด" เหตุ และ ปัจจัย ทิ้งทั้งหมด
ถ้าเป็นการพูดจาในระดับชาวบ้านโง่เขลาทั่วไป ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก แต่การมาพูดโง่ๆ แบบนี้
โดยมีเป้าหมายในการ กล่าวตู่ และ ติเตียนพระมหาเถระ อย่างท่านพุทธทาส ก็คงต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร
เพราะชาวพุทธเถรวาท ย่อมไม่สามารถ พิพากษาตัดสินผู้อื่นได้ด้วย "อัตตโนมัติของตน"
ที่ไม่สามารถอ้างอิงพุทธพจน์ จากพระธรรมวินัย ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องชอบธรรมได้ !
กายของตถาคต ฉบับ พระอรหันต์ ก็มีแขน มีขา นะคร๊าบบบบบบบบบบ !
ซึ่งมักมีกิริยา "ปากเปราะ" ตำหนิติเตียนผู้อื่นด้วยคำเท็จ อยู่เป็นประจำ
ตัวอย่างเช่น ไอ้หมอนี่ มักกล่าวตำหนิ คู่สนทนา อีกฝ่ายหนึ่งว่า ......
(๑) ชอบเล่นลิ้น พลิกไปพลิกมา ระหว่างเส้นสมมุติกับปรมัตถ์
(๒) พอคุยปรมัตถ์ดิ้นมาสมมุติ พอถกสมมุติ ดิ้นพรวดไปปรมัตถ์
ฯลฯ
ทั้งๆ ที่มูลเหตุ อันเป็นข้อขัดแย้ง มาจากประเด็นที่ นายคันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระธรรมวินัย ความว่า
(๑) จะเรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
(๒) จะบอกว่า ขันธ์ ๕ ไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
ซึ่ง นายคันโตนาซี ได้กล่าวยืนยันซ้ำว่า สิ่งที่มันกล่าวออกมานี้ ถูกต้อง ไม่มีอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย !
แต่ในความจริง กลับปรากฏว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสถึงเรื่องนี้ โดย ๒ แง่ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่หลักฐานที่ตรัสเพียงแง่เดียวว่า พระอรหันต์ ย่อมไม่เห็น ขันธ์ ๕ ว่า เป็นตน หรือ ของๆ ตน เท่านั้น
เมื่อเป็นดังนี้ ในฐานะ ชาวพุทธเถรวาท จึงย่อมสมควรแสวงหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ เอาไว้อย่างไร กันแน่ โดยการสอบทานกับ พระสูตร พระวินัย
และนี่จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามที่ว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ที่ใดบ้างหรือไม่ว่า ........
(๑) จะเรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
(๒) จะบอกว่า ขันธ์ ๕ ไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
ช่างน่าสมเพช ที่ทั้งๆ ประเด็นปัญหา มันมาจากเรื่องของ "ขันธ์" ซึ่งเป็น ปรมัตถธรรม
จะเป็นด้วยเพราะ อับจนปัญญา ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน "รองรับ" คำพูดชุ่ยๆ ของตนเองได้
หรือจะด้วยเหตุผลกลใด ก็ช่างเถิด แต่การ "ตอบคำถาม" ด้วยการกล่าวโต้แย้งว่า พระอรหันต์ ก็มี แขนขา
มันจะไม่กลายเป็น "ถามปรมัตถ์ ตอบสมมุติ" อย่างที่มันเคยติเตียนผู้อื่นมาก่อนหน้านี้ หรอกละหรือ ?
คันโตนาซี รู้สึก อายปากตนเอง บ้างหรือไม่ครับ ?
หรือว่า หน้ามัน "ทนทาน" เสียแล้ว ?
กล่าวโดยสรุป ก็คือ นับแต่ตั้งกระทู้มาจนบัดนี้ คันโตนาซี ก็ได้แต่ ด้านหน้า ตีฝีปาก ไปเรื่อยๆ
โดยที่ไม่สามารถนำหลักฐาน มาแสดงให้เห็นจริงได้เลยว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างที่มันพูด เอาไว้ในพระสูตรใด
***************************************************************
ทีนี้ ท่านทั้งหลาย ลองมาพิจารณา ข้อความโง่ๆ ของใครบางคน นะครับว่า มันโง่เขลาเบาปัญญามากขนาดไหน ?
ไอ้หมอนี่ เขาตั้ง "ตรรกะนรก" ขึ้นมา ดังนี้ว่า ......
(๑) พระอรหันต์ มีร่างกาย
(๒) เพราะหมดความยึดมั่นถือมั่น จึงเห็นร่างกาย ไม่ใช่ของตนอีกต่อไป
(๓) แปลว่า พระอรหันต์ ไม่มีร่างกาย !
(๔) ตรรกะป่วยๆ
พอพูดถึงเรื่อง ตรรกะ แล้วให้รู้สึก เอือมระอา กับไอ้หมอนี่เป็นอย่างยิ่ง
กล่าวคือ ทั้งๆ ที่มันไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง "ตรรกะศาสตร์" เลย
แต่มันก็ขยันสร้าง ประโยคตรรกะ แบบโง่ๆ ออกมาได้เป็นประจำ
ประการแรกที่ท่านทั้งหลาย พึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ
การพิสูจน์ ข้อเท็จจริง เพื่อหาผลลัพท์ ด้วย หลักตรรกศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่า "ข้อเท็จจริง"
เพื่อนำไปสู่ ข้อสรุป หรือ ผลลัพท์ ที่เราต้องการทราบ
ดังในกรณีนี้ เราต้องการทราบว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง
ความสัมพันธ์ ระหว่าง ขันธ์ กายหยาบ และ พระอรหันต์ เอาไว้อย่างไร ?
ประเด็นปัญหาเริ่มต้นที่แท้จริง ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระอรหันต์มี ขันธ์ ๕ หรือไม่มี ?
ซึ่งจากหลักฐาน ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า พระอรหันต์ ไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตน หรือของตน
โดยที่ นายคันโตนาซี ไม่สามารถหาหลักฐานในกรณีที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ได้เลย
ดังนั้น ถ้าพิจารณากรณีนี้ด้วยธรรมเนียมชาวพุทธเถรวาท ก็ต้องถือว่า ได้ข้อยุติไปแล้ว !
แต่เป็นเพราะว่า คันโตนาซี เป็นคน เก้อ-ยาก จึงได้แถกแถ ต่อไปอีก ในทำนองว่า
พระอรหันต์ มีแขนขา ก็เห็นอยู่ และ แขนขานั้น ก็คือ ขันธ์ ๕ แล้วจะมาบอกว่า พระอรหันต์ ไม่มี ขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ?
กรณีที่ ๑
ลองมาเริ่มพิจารณาที่ ประเด็น พระอรหันต์มีแขนขา นะครับ
ถ้าเราถือว่า พระอรหันต์ มีแขนขา นี้เป็น ความจริงเชิงประจักษ์
เราก็ต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า แขนขา นี้ก็คือ ขันธ์ ๕ จริง หรือไม่ ?
(๑) ถ้า แขนขา หมายถึง ขันธ์ ๕ จริงๆ ย่อมสามารถสรุปว่า พระอรหันต์ มีขันธ์ ๕ (ซึ่งจะขัดกับพุทธพจน์)
(๒) แต่ถ้าปรากฏว่า แขนขา มิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ ขันธ์ ๕ ก็ต้องสรุปว่า พระอรหันต์ ไม่มีขันธ์ ๕
พิจารณากันที่หลักฐาน เลยนะครับ กล่าวคือ พระพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
ที่เรียกว่า สัตว์ (หรือบุคคล ฯลฯ) นั้นเกิดจาก "เหตุ" คือ ฉันทะ ราคะ นันทิ และ ตัณหา
ในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน หรือ ของๆตน !
ข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสมานี้ มีความหมายว่าอย่างไร ?
ก็หมายความว่า ลำพัง ขันธ์ ล้วนๆ ไม่สามารถกล่าวได้ว่า เป็น สัตว์ บุคคล หรือ แขนขา หน้า หลัง อะไร หรือ ของใครได้
จนกว่าจะมี ตัณหา ราคะ นันทิ ฉันทะ ของใครบางคน(เช่นตนเอง หรือ ผู้อื่น ในฐานะ ผู้สังเกต)
เข้าไปปรุงแต่ง เป็นเหตุ เป็นปัจจัย อย่างสลับซับซ้อน เสียก่อน
ตัวอย่างเช่น พระอรหันต์ ไม่มี ตัณหา ราคะ ฯ ใน ขันธ์ใดๆ ว่าเป็นตน หรือ ของๆตน
ดังนั้น จึงไม่มี สภาวะความเป็น สัตว์ บุคคล ในความรับรู้และเข้าใจของพระอรหันต์
จะมีก็แต่ สมมุติ ที่ชาวโลกเขาเรียกขานกันเท่านั้น แต่สำหรับพระอรหันต์ มันก็สักแต่ว่าเป็น ธาตุ ขันธ์ อายตนะ ฯลฯ เท่านั้น
แต่เมื่อกล่าวสำหรับ ปุถุชนผู้บริโภคกาม ย่อมยึดถือเอาว่า ขันธ์นี้ๆ เป็นตน หรือ ของๆตน
ในขณะที่ ขันธ์นั้นๆ เป็นของพระอรหันต์ หรือ บุคคลนั้นๆ
นั่นจึงหมายความว่า การที่ใครสักคน มีความเข้าใจ(ผิด)ว่าพระอรหันต์มีแขนมีขา
นั่นย่อมเป็น พระอรหันต์ที่เกิดจากการ "ปรุงแต่ง" ด้วย ตัณหา ราคะ ฯ ของเขาเอง
หาใช่ พระอรหันต์ จริงๆ อย่างที่ควรจะเป็น ตามสภาวะที่แท้จริง แต่อย่างใดไม่ !
ข้ออุปมา ที่ใกล้เคียงกับ กรณีนี้ ก็คือ
หากชาวประมงผู้หนึ่ง กล่าวว่า ปลา และ เกลือ นี้มิใช่ของท่าน
เราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า น้ำปลา(ที่เกิดจากการหมัก ปลากับเกลือ) ต้องเป็นของเขาแน่ๆ ?
ฉันใด ก็ฉันนั้น ในเมื่อพระอรหันต์ระบุชัดเจนว่า ขันธ์ มิใช่ของท่าน
แล้ว ปุถุชน ผู้บริโภคกาม จะไปยัดเยียดว่า แขนขา ซึ่งเกิดจากการปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหาของปุถุชนผู้นั้นเองแท้ๆ
จะต้องเป็นแขนขาของท่าน(พระอรหันต์) ไปได้อย่างไร ?
ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดสำหรับการพิจารณาในกรณีนี้ ก็คือ
คันโตนาซี เข้าใจผิดไปเองว่า แขนขา มีค่าเท่ากับ ขันธ์ (ซึ่งไม่จริง)
เปรียบได้กับ การที่เรากล่าวว่า น้ำปลา ก็คือ ปลา กับ เกลือ ซึ่งไม่ถูกต้อง(อย่างแท้จริง) เช่นกัน
เพราะ การพูดอย่างนั้น จะเท่ากับเป็นการ ตัด เหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิด น้ำปลา ทิ้งไปหมด
ซึ่งถ้าหากปราศจาก เหตุปัจจัยสำคัญๆ เหล่านั้น เช่น (๑) ผู้หมัก (๒) จุลินทรีย์ (๓) แสงแดด ฯลฯ
ก็ไม่มีทางที่ ปลา กับ เกลือ จะกลายเป็น น้ำปลา ไปได้
การพูดอย่างที่ คันโตนาซี กล่าวมานี้ อาจใช้การได้ดี สำหรับ การตีฝีปากในระดับชาวบ้านทั่วไป
แต่ไม่สามารถใช้ได้กับ การพิจารณาด้วยหลักตรรกศาสตร์
อีกทั้ง การที่ ไอ้หมอนี่ พูดเองเออเอง ในทำนองว่า แขนขา ก็คือ ขันธ์
ย่อมส่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ เหตุปัจจัย เลยแม้แต่น้อย
พูดง่ายๆ ก็คือ มันโง่ในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง !
เพราะการพูดพล่อยๆ ไปว่า แขนขา ก็คือ ขันธ์ นั้นเป็นการพูดโดยการ "ตัด" เหตุ และ ปัจจัย ทิ้งทั้งหมด
ถ้าเป็นการพูดจาในระดับชาวบ้านโง่เขลาทั่วไป ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก แต่การมาพูดโง่ๆ แบบนี้
โดยมีเป้าหมายในการ กล่าวตู่ และ ติเตียนพระมหาเถระ อย่างท่านพุทธทาส ก็คงต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร
เพราะชาวพุทธเถรวาท ย่อมไม่สามารถ พิพากษาตัดสินผู้อื่นได้ด้วย "อัตตโนมัติของตน"
ที่ไม่สามารถอ้างอิงพุทธพจน์ จากพระธรรมวินัย ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องชอบธรรมได้ !