จอมเวทไร้พลัง ตอนที่ 12

กระทู้สนทนา
ตอน 12 จบละครฉากใหญ่


      “มิน่าดูเจ้าแปลกไปตั้งแต่ตอนนั้นนะอิง แววตาเป็นประกายประหลาดวิบวับอยู่ตลอดเวลา ว่องไวเฉียบแหลม เรื่องเวทมนตร์ไม่มีใครเกิน คารมใช่ย่อยอีกต่างหาก เล่นเอาลาเวนเดอร์หลงเลยละ นั่นคือผู้กล้าพัวร์รีนอย่างนั้นหรือ”

      “ชื่อของท่านอ่านว่าพอลไลน์ต่างหาก เจ้าตัวก็อารมณ์เสียอยู่เหมือนกันที่มีแต่คนเรียกผิด บอกแก้อย่างไรก็ไม่จบสิ้นเสียที”

      หลังจากหลบหนีจากลาเวนเดอร์ได้อิกริดก็หาโอกาสเรียกแอนนามาถามราย ละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เขาอยู่ในห้วงฝัน พวกเขาอาศัยหน้าผาเปิดเป็นที่หลบสายตา ดวงดาวดารดาษเกลื่อนฟ้าราวกับดวงตาที่กำลังจ้องมองดูเขา ว่าจะทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ได้หรือไม่

      ผู้กล้าพอลไลน์ในร่างของเขาทำหน้าที่ผู้นำ เมื่อแอนนารวบรวมข่าวสารได้มากพอพวกเขาก็ไปสมทบกับกองทหารใหญ่ เพราะประตูมิติเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกปิศาจได้เปิดขึ้นอีกครั้งแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร เขาคนนั้นคงไม่ทำลายล้างมนุษย์ด้วยกองทหารเพียงหยิบมือเดียว แต่หากเจ้าตัวลงมือเองล่ะก็ไม่แน่

      “เขาคงไม่อยากให้มือเปื้อนเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อคืนชีวิตให้แก่คนที่รักที่สุด”

      “ตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้าเข้มแข็งยืนหยัดได้ด้วยตนเองแล้วเสียอีก ที่ไหนได้” แอนนาผลักไหล่เขาเบาๆอย่างรักใคร่

      “ความแข็งแกร่งที่แท้จริงมันเป็นอย่างไรแอนนา” อิกริดถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ความฟุ้งซ่านสุดท้ายยังตีกันในหัวไม่ยอมเลิก “เวเบอร์ที่ไร้ผู้ต้านกลับรั้งคนรักเอาไว้ไม่ได้ สู้กับผู้หญิงก็เอาชนะได้อย่างเฉียดฉิวในสภาพไร้แขนขา เอ็ดมันด์ที่สร้างบาดแผลให้เวเบอร์ได้ก็ช่วยภรรยาของเขาไม่ได้อีก เทพีเฟเรซิสที่เป็นหนึ่งในยุคก็ช่วยอดีตคู่หมั้นไม่ได้ แม้แต่ผู้กล้าพอลไลน์ก็ยังหลีกหนีต่อชะตากรรมของผู้เป็นพ่อไม่ได้เลย ความแข็งแกร่งน่าจะหมายถึงไม่เคยพ่ายแพ้ไม่ใช่หรือ”

      “ความแข็งแกร่งมันมีหลายแบบ แล้วก็ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยพ่ายแพ้ด้วย” แอนนามองอิกริดอย่างครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเปลี่ยนไปนะอิง เจ้าไปเจออะไรในความฝันกันแน่ ท่าทางเจ้าเหมือนวัวที่ลังเลว่าจะเดินไปทางใดดีระหว่างสองทุ่งหญ้า”

      ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ ความคิดของอิกริดกลับคืนสภาพอีกครั้ง นี่เขากำลังลังเลเรื่องอะไรกัน ทั้งที่เขาตกลงกับอดีตผู้กล้าไปแล้วว่าจะทิ้งทุกอย่างแต่ยังไม่ยอมทิ้งเสีย ที

      สิ่งที่เขาต้องการคือโอกาส ฉกฉวยทุกสิ่งด้วยความโลภที่มี! หากมีสิ่งใดขวางทางก็กำจัดมันเสียก่อนจะเป็นภัย! เขาจะไม่มีวันแพ้! จะต้องกำจัดสิ่งที่จะเป็นจุดอ่อนของเขาด้วยพลังที่ทัดเทียมกับที่เวเบอร์มี! พลังของเวเบอร์คือสิ่งที่เขาต้องการ!

      “ข้าตั้งใจไว้แล้วแอนนา ข้าจะเป็นความมืด!”

      “หมายความว่าอย่างไรอิง”

      ทุกสิ่งหยุดนิ่งแม้แต่ยอดหญ้าก็ไม่สั่นไหว คำถามของแอนนาหยุดนิ่งกับที่ อิกริดกำลังคิดว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างไรก่อนดี

      “แอบมาอยู่ตรงนี้เอง ไปคุยกับข้าดีกว่าอิกริด”

      ผู้กล้าลาเวนเดอร์เดินพ้นหมู่ไม้ริมหน้าผาด้วยท่าทางร่าเริง เกราะสีเงินกับดาบคู่สะท้อนแสงคบไฟจนร่างเป็นสีส้มแดง นางทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาอย่างชาเย็น

      “ข้าไม่อยากพูดซ้ำแอนนา” อิกริดลุกขึ้นปัดฝุ่นตามกางเกง ลาเวนเดอร์ยิ้มให้คงคิดว่าเขาจะกลับไปกับนาง ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้

      “ข้ารู้ว่าท่านมองข้าอยู่ เวเบอร์!” อิกริดคำรามอย่างแน่วแน่ หากเป็นเขาย่อมไม่อยากให้ผู้ถูกเลือกที่อาจเป็นศัตรูพ้นสายตา ยิ่งฝ่ายนั้นต้องการร่างของเขายิ่งแล้วใหญ่ “ปรากฏตัวหรือมอบสะพานมา เพื่อให้ข้าไปหาท่าน!”

      “เจ้าคิดจะทำอะไรอิง! ตอนนี้เรายังไม่พร้อมรับมือหมอนั่นหรอกนะ” แอนนากรีดร้อง

      จุดแสงสีทองแต้มลงบนพื้นด้วยพู่กันที่มองไม่เห็น แล้วน้ำหมึกสีอร่ามก็เลื่อนไหลเป็นลวดลายรอบด้านซึ่งอิกริดจำได้ว่าเป็น สัญลักษณ์ของมนตราเคลื่อนย้าย เวเบอร์กำลังมองดูเขาอยู่จากที่ไหนสักแห่ง สิ่งที่ต้องทำก็แค่ก้าวเข้าไปในสัญลักษณ์ซับซ้อนนั่น แล้วจะไปอยู่ตรงหน้าหมอนั่นในพริบตา

      “ลาเวนเดอร์รีบไปเรียกแม่ทัพ เรามีทางไปสังหารตัวต้นเหตุแล้ว” แอนนาพยักหน้ากับผู้กล้าหญิง ทว่าอิกริดห้ามไว้เสียก่อน

      “ข้าจะไปคนเดียว ข้าต้องจบเรื่องนี้ด้วยมือของข้าเอง”

      พวกนางคงเข้าใจอะไรสักอย่างผิด ทั้งแอนนาและลาเวนเดอร์ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างด้วยความกล้าหาญ ก่อนที่ขาข้างหนึ่งของอิกริดจะก้าวเข้าหาลดลายแห่งมนตรา

      “ข้ากับแอนนาจะไปด้วย ไม่ยอมให้เจ้าไปสู้คนเดียวหรอก” แล้วทั้งสามก็เข้าไปยืนในใจกลาง แสงสีทองลุกโหมบดบังทุกสิ่งเอาไว้อย่างเงียบงัน...


      เมื่อแสงหายไปเหมือนเมฆหมอกถูกแสงอาทิตย์ พวกเขาก็พบว่ามาอยู่ในห้องหรูหรา ประดับประดาด้วยเก้าอี้และเครื่องทองเปล่งประกายระยิบระยับด้วยผลึกดวงไฟเวทมนตร์ติดผนัง

      คนที่อิกริดต้องการพบยืนจ้องมองพวกเขาด้วยความฉงน เวเบอร์อยู่ในชุดเสื้อคลุมลำลองสีอ่อน ด้านหลังเป็นเก้าอี้พนักสูง หันไปทางผนังที่ติดกระจกแผ่นใหญ่เป็นมันปลาบ

      ผู้กล้าลาเวนเดอร์ดึงมีดคู่ขึ้นมาอย่างเงียบเชียบราวแมวกางกรงเล็บ จนอิกริดเอ่ยคำ

      “ข้ามาอย่างสันติ อยากคุยด้วยสักสามสี่เรื่อง” อิกริดยกมือทั้งสองข้างขึ้นแสดงความบริสุทธิ์ใจ หญิงสองคนข้างๆอุทานด้วยความแปลกใจ

      “ข้าไม่รู้ว่าท่านพี่หวังอะไรกับเจ้า ไม่มีทางหรอก พวกเจ้าสามคนไม่ใช่คู่มือของข้า” เวเบอร์ดักทาง “จะลองเสี่ยงดูหรือไม่”

      อิกริดทำให้อีกฝ่ายยิ่งสับสนมากขึ้น ด้วยการเดินไปนั่งเก้าอี้ที่วางติดผนัง ตามมารยาทแล้วควรให้โอกาสเจ้าของสถานที่เลือกว่าจะให้นั่งหรือไม่ แต่เขากับเวเบอร์เป็นคนเดียวกันนี่นา คงไม่ผิดเท่าไรหรอก

      “ระหว่างที่หลับไปท่านพอลไลน์ให้ข้าเห็นเรื่องน่าสนใจหลายอย่าง เลยละ เจ้าหนุ่มผมเหลืองที่เคยเป็นเพื่อนกับท่านคนนั้นข้าเห็นแล้วอยากถีบสักครั้ง แย่งผู้หญิงของเพื่อนรักอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องเลยนะ ว่าไหม”

      แอนนากับผู้กล้าหญิงที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นไล่กา เขาจึงโบกมือเรียกให้มาอยู่ใกล้ๆ

      “บอกสิ่งที่เจ้าต้องการมาเจ้าหนุ่ม สาเหตุที่เจ้าต้องการมาที่นี่” เวเบอร์หรี่ตาด้วยความสงสัย อิกริดหัวเราะเบาๆ “หรือเจ้าต้องการพูดคุยกันก่อนประมือ!”

      ชั่วแมลงกระพือปีกอากาศทั่วทั้งห้องก็ข้นหนักราวกับจมอยู่ใต้เลน เหนียว ผลึกดวงไฟแตกกระจายทีละดวงไล่จากด้านหลัง เก้าอี้ตัวอื่นนอกจากตัวที่อิกริดนั่งอยู่ระเบิดตูมเป็นชุดใหญ่ เหงื่อบนผิวหนังแตกเหมือนสะเก็ดไฟ ความเย็นยะเยือกเข้าครอบครองทั้งห้องสร้างความตระหนกให้กับหญิงสาวทั้งสอง ในที่สุดไฟทั้งห้องก็ดับมืดสนิท กระนั้นความกดดันยังบีบอัดเข้าหาพวกเขาจนแทบหายใจไม่ออก ไอความร้อนที่เกิดจากเวทมนตร์คลุ้งตลบรอบร่างเจ้าของสถานที่ เป็นเสมือนผ้าคลุมสีม่วงอ่อนห่อหุ้มร่างสูงเอาไว้

      อย่าสั่น เขาจะสั่นไม่ได้ เขาจะแพ้ไม่ได้ อิกริดยิ้มสู้ความมฤตยูตรงหน้า ความเสี่ยงของสิ่งที่เขาคิดทำมันสูสีกับการต่อรองชีวิตกับเจ้านรกเลยทีเดียว แต่คงง่ายกว่าเพราะเขากับเวเบอร์เป็นคนๆเดียวกัน นั่นคือข้อแตกต่างเดียว

      “ใครกันเวเบอร์ ใครกันที่เคยบอกท่านว่าจะให้ฟังคำรักจากคนที่ตายไปแล้ว ข้าอยากรู้”

      “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าก็แค่ทำตามคำแนะนำของเขาเท่านั้น”

      “เทพปิศาจหรือ! ท่านเป็นน้องของอดีตผู้กล้ากลับทำสัญญากับปิศาจหรือนี่!” แอนนากรีดร้องอย่างคาดไม่ถึง

      ในม่านหมอกสีม่วงอ่อน อิกริดสังเกตเห็นเวเบอร์เอามือป้องปาก ร่างภายในสั่นน้อยๆราวกับกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ เขากำลังกลั้นหัวเราะ เพราะอะไร แอนนาเดาผิดอย่างนั้นหรือ

      “หากพวกเจ้าชนะข้าได้จะบอกก็ได้” เวเบอร์กระแอม เขาดีดนิ้ว ผลึกเวทมนตร์กลับคืนชีวิตอีกครั้ง แสงสีอ่อนสาดสะท้อนไปทั่วห้อง มันกลับทำให้บรรยากาศเงียบงันวังเวงและหนาวขึ้นจับหัวใจ

      “ข้าก็ให้ท่านได้เหมือนกัน!”

      สองสาวหันขวับมองอิกริดเป็นตาเดียว เวเบอร์กลับยิ้มมุมปากราวกับพบสิ่งที่ตนกำลังรออยู่

      “ท่านก็น่าจะรู้ว่าข้าคือผู้ถูกเลือก หากข้าผ่านอุปสรรคไปก็จะได้เข้ารับการเรียนรู้และทดสอบ อยู่ในสภาพอมตะจนถึงเวลาตัดสินว่าผ่านหรือไม่”

      อิกริดมั่นใจว่าตนเองจำถูก เคยมีบันทึกเอาไว้ว่าเทพีเฟเรซิสก็พบกับการทดสอบอีกครั้งเมื่อผ่านอุปสรรค ของพระนาง จอมปิศาจตนก่อนหน้านี้ พระนางผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา เลื่อนขั้นเป็นเทพีไปเรียบร้อย

      “หากท่านช่วยให้ข้าผ่านอุปสรรคและการทดสอบข้าจะช่วยท่าน ด้วยการคืนชีพให้ลาควีล่าพร้อมกับตัวท่านเอง ให้ท่านทั้งสองครองรักกันอย่างถูกต้องตามครรลองพร้อมกับครอบครองความเป็น มนุษย์ปกติอีกครั้ง แบบนั้นย่อมดีกว่าฝืนใจปลุกชีพนางขึ้นโดยไม่รู้ว่านางจะอยู่ได้นานแค่ไหน และอย่าลืมว่าร่างนี้ของท่านสร้างขึ้นด้วยมนตรา มันจะเสื่อมลงเมื่อไรไม่อาจรู้ได้”

      “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำอย่างที่พูดได้”

      น้ำเสียงของเวเบอร์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกำลังลังเลแต่ไม่ใช่ ดูเหมือนการเสแสร้งมากกว่า

      “ถ้าหาวิธีไม่ได้ท่านค่อยยึดร่างข้าเสียก็ได้ แต่ให้เวลาข้าสักหน่อยเท่านั้น”

      “แล้วถ้าข้าไม่ตกลงล่ะ”

      เวเบอร์ยังคงยิ้มอยู่น้อยๆ ท่าทางไม่เคร่งเครียดเหมือนเรื่องที่กำลังพูดคุยกับอิกริดอยู่

      “ในโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้าหรอก ท่านเล่นฆ่าล้างมนุษย์แบบนี้เหล่าเทพไม่อยู่นิ่งแน่ ต่อจากข้าคนที่ได้รับคำสั่งให้มาจัดการเจ้าอาจเป็นท่านพี่เฟเรซิสเองก็ได้ ท่านจะสู้พระนางได้หรือ แล้วต่อจากข้ายังมีผู้ถูกเลือกคนที่สามรออยู่อีก ท่านก็รู้ว่าจะต้องเลือกให้ครบแปดคนเพื่อต่อกรกับเทพปิศาจ คงมีใครสักคนเอาชนะท่านได้แน่ๆ”

      “ไม่มีทาง!” เวเบอร์โผล่งออกมาพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วกระแอมกลบเกลื่อน

      “ว่าอย่างไรนะ!” แอนนาเริ่มจับผิดซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวของนาง “ท่านแน่ใจได้อย่างไรกัน เทพีเฟเรซิสต้องเก่งกว่าท่านแน่อยู่แล้ว ยังมีเสาหลักอยู่อีกสี่คนรวมถึงจอมเทพเอริสด้วย ท่านไม่มีทางสู้กับท่านเหล่านั้นได้แน่”

      “แล้วเหตุใดข้าต้องทำตามคำขอของเจ้าด้วย”

      มีบางสิ่งคาใจของอิกริดอยู่ ทุกอย่างมันบังเอิญเกินไป ผู้นำวิญญาณของเวเบอร์มารวมตัวสร้างคนที่สองขึ้นคือเทพีเฟเรซิสหนึ่งในเสา หลักทั้งสี่ พระนางคือพระเชษฐภคิณี หรือคือพี่สาวขององค์เอริส ตามบันทึกเก่าแก่ เวเบอร์กลายเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดขององค์เอริสด้วยพันธะสัญญาหนึ่ง อยู่ดีๆคนที่อยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายสว่างคงไม่ลุกขึ้นมาสร้างกองทัพปิศาจเพื่อ ฆ่าฟันมนุษย์ด้วยเรื่องผู้หญิงคนเดียวหรอก

      นอกเสียจากมีอะไรที่พวกเขาไม่รู้อีก บางสิ่งที่เวเบอร์ปิดบังไว้อย่างมิดชิด อิกริดได้แต่เก็บงำมันไว้ในใจแล้วเอ่ยปาก

      “เพราะข้าเลือกแล้วอย่างไรละ! ข้าเลือกรับพลังของท่าน และไม่เลือกรับพลังของท่านพี่พอลไลน์” อิกริดทำให้แอนนาหันมามองด้วยแววตาเบิกโพลง นี่เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ “ข้าจะทำการดูดกลืนวิญญาณและพลังของท่านมาเป็นของข้าเฉยๆมันไม่สนุกและไม่ ยุติธรรม ข้าน่าจะทำอะไรให้ท่านด้วย สิ่งที่ท่านต้องการตอนนี้คือลาควีล่าไม่ใช่หรือ”

      “โอหังจริงนะ! คิดว่าทำได้หรือ!”

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่