ยิ่งสูงยิ่งหนาว

ตามหลักการก็น่าจะเป็นอย่างนั้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆบนดอยหรือภูเขา อากาศก็ยิ่งเย็น ยิ่งสบาย สูงไปมากๆเย็นขึ้นมากๆก็เข้าขั้นหนาว เค้าว่ากันอย่างนั้น วันนี้มากันแบบคนภูเขาหรือเมาเท่นแมน
.
ผมเองก็น่าจะเป็นคนภูเขามั้ง เพราะอยู่สูงกว่าระดับทุ่งนาประมาณ 4-5 เมตร เอิ้ก เอิ้ก ใช้ชีวิตอยู่ในป่าที่สร้างขึ้นเอง ถึงไม่สูงนักแต่ก็พอได้บรรยากาศแบบป่าๆ แบบคนภูเขาหรือชาวแค็มป์ อยู่และกินแบบชาวป่า ใช้มีดเดินป่าในการดำรงชีวิต และวันนี้ใช้มีดแบบเมาเท่นแมน Mountain man knife วันนี้จะเล่าเรื่องของชายคนนึงที่ได้รับการขนานนามว่าคนภูเขาคนสุดท้าย หรือ The last of mountain man. เค้าชื่อว่า เบ็น ลิลลี่ มีชื่อจริงๆเต็มๆว่า Benjamin Vernon Lilly หรือผู้คนโดยทั่วๆไปเรียกเค้าว่าตาเฒ่าลิลลี่ ชายผู้เป็นตำนานของคนภูเขา ทุกวันนี้คนภูเขาในอเมริกาก็ยังคงมีอยู่ แต่เทียบความยิ่งใหญ่กับตาเฒ่าลิลลี่ไม่ได้อีกแล้ว เค้าจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นคนภูเขาคนสุดท้าย
.
ว่ากันว่าตาเฒ่าลิลลี่เป็นนายพรานที่ล่าสิงโตภูเขากับหมีของอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงกับว่าเค้าเคยต่อสู้กับสิงโตภูเขาด้วยมีด และฆ่าสิงโตภูเขา ตาเฒ่าลิลลี่ฆ่าหมีดำด้วยมีดในการต่อสู้ อย่างน้อย 6 ตัว มีดที่ตาเฒ่าลิลลี่ใช้มีหลายเล่ม หลายแบบ กลายเป็นตำนานของคนภูเขา เป็นตำนานมีดที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้อัศวินมีดยาว จิม บูอี้ ประมาณนั้นเทียว
.
มีดแบบตาเฒ่าลิลลี่ ที่หาดูรูปจากในอินเตอเน็ตก็มีหลายแบบอยู่นะครับ ซึ่งทั้งหมดก็เรียกได้ว่าเป็นมีดคนภูเขาหรือเมาเท่นแมนไนฟ์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่เต็มได้ไง มันผ่านสนามจริงๆ ใช้งานกันจริงๆ ในการเดินทางบางครั้งหรือบางทริปขบวนหรือทีมงานของตาเฒ่าลิลลี่หายเข้าไปในป่าไม่ได้ออกมาชมบ้านชมเมืองตั้งครึ่งปี ข้าวของเครื่องใช้ต้องเป็นของแท้ๆ ของจริงๆถึงอยู่ได้ เป็นเพื่อนกันได้ มีดที่เค้าใช้ฆ่าหมีตามคำบรรยายตามตำนานแล้วผมคิดว่าเล่มของ Joe Keeslar ก็น่าจะใกล้เคียง
.
มีดเมาเท่นแมน หรือยุคสมัยของเมาเท่นแมน ดูตามเว็บฝรั่งเค้าว่าอยู่ในช่วงปี 1830 - 1880 ประมาณนั้น ก็ร่วมสมัยกับยุคของจิม บูอี้ วีรบุรุษอลาโม่ ซึ่งเสียชีวิตที่ป้อมป่าฝ้ายในปี 1836 ก็คงเป็นยุคของการค้าหนังสัตว์หรือยุคตื่นทอง ของ  John Sutter ในปี 1847 เหมือนกัน รวมๆกันแล้วมันก็น่าจะเป็นยุค เฮ้ โก เวสต์ ยังแมน ไปตะวันตกกันเถอะคนหนุ่ม นั่นแหละ
.
มีดที่ใช้ในสมัยนั้น รูปแบบของมันก็เถื่อนๆหยาบๆ ตามประสาวิทยาการในแบบรกร้างห่างไกล จะมีมีดขาวๆสมัยใหม่ก็นำเข้ามาจากอังกฤษ อีกนานกว่าจะมีมีดที่ผลิตในอเมริกาเองอย่างมีดรัสเซลส์ , มีดกรีนริเวอร์ หรือมีดสุดเถื่อนสุดทนอย่างฮัดสัน เบย์ รูปแบบของมีดอย่างนึงที่แพร่หลายในยุคนั้นคือมีดสกินเนอร์ ที่ปลายมีดงอนย้อนกลับไปด้านหลัง แบบที่เรียกว่ามีดบัฟฟาโล่สกินเนอร์ หรือมีดแล่ไบซัน มีดแบบนั้นส่วนใหญ่เป็นมีดเนื้อ มีดเขียง ถึงใช้งานร่วมกัน แต่ก็ยังไม่ใช่มีดเมาเท่นแมน
.
ผมคิดว่ามีดเมาเท่นแมนในยุคต้นๆ เป็นจุดกำเนิดหรือรากฐานของมีดเดินป่า มีดยังชีพที่คลี่คลายมาจากยุคไม้จิ้มฟันแห่งอาคันซอส์ โดยลดขนาดของใบมีดลง และเอาเครื่องเคราประดับประดารุงๆรังๆของมีดแบบนั้นออก เหลือเพียงแก่นของมีดที่ทำงานหนักได้ดีโดยเฉพาะงานไม้ และมีแนวคมที่คมพอที่จะใช้แล่เนื้อเถือหนัง และแข็งแกร่งทนทานพอที่จะรับงานหนักยาวนานในระยะเวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
.
มาว่ากันถึงสองเล่มนี้กันบ้าง มันคล้ายๆกันนะครับ แต่ก็ต่างกันหลายอยู่ รูปแบบมีดเป็นเมาเท่นแมนนั่นแหละ หรือจะคาบเกี่ยวกับมีดที่เรียกว่าฟรอนเทียร์ ก็คือมีดใช้ตามชายแดนหรือที่รกร้างห่างไกล ไม่ศิวิลัยเหมือนในเมืองแหล่งแสงสี ผมค่อนข้างชอบแบบนี้ คือมันยังมีความกลมกลืนกับธรรมชาติ มีกลิ่นไอของการพึ่งพาตนเอง มีความสงบสงัดและอิสระเสรี
.
เล่มยาว ค่อนข้างทำอย่างธรรมด้าธรรมดาที่สุด เป็นมีดที่ตีจากเหล็ก SUP9 น่าจะเป็นชิ้นแรกที่ผมได้เหล็กจากแหล่งใหม่ น่าจะก่อนยุคโควิด การทำก็ง่ายๆ ผมต้องการดูเนื้อเหล็ก ดูธรรมชาติของเหล็ก ดูค่าความแข็ง ดูมุมเงย และดูเกรนเหล็ก ผมน่าจะจัดการมันด้วยสูตรมาตรฐาน คือ 1-1-1 คือนอมอลไลซ์ 1 ครั้งหลังการแอนนีล ชุบแข็ง 1 ครั้ง ด้วยอุณหภูมิกลางๆ จุ่มแบบมาตรฐานคือเผาให้ทั่วแล้วก็หย่อนปลายมีดดำดิ่งลงไปในท่อน้ำมัน และอบเทมเปอริ่ง 1 รอบ โดยแอบๆทำกันแตกแต่ไม่บอกใคร
.
เล่มสั้น จัดกันเต็มที่ เพราะรู้ลู่ทางว่ามันจะไปทางไหน นอมอลไลซ์กันตามใจฉัน น่าจะสามรอบได้ ชุบแข็งดับเบิ้ลเคว้นช์ ครั้งแรกจุ่มทั้งใบ ครั้งที่สองทำเอจก์เคว้นช์ และอบเทมเปอริ่งสามรอบ ทำกันแตกรอบนึง อบเทมเปอริ่งด้วยไฟอีกรอบนึง และอบ 190 องศาเซเลเซียส อีก 45 นาที
.
ไอ้สองแบบนี้ต่างกันยังไง ที่เห็นชัดๆก็คือเล่มยาวมีดมันสั่น หรือสะท้านๆในจังหวะหนักๆอย่างการฟันไม้ ไอ้บิ่นหรือหักน่ะคงไม่ สำหรับการใช้งานแบบธรรมดาๆ แต่มันสั่นหรือกระแทก จะเรียกว่าสะท้านก็ยังได้ถ้าคนที่เคยใช้มีดที่ชุบแข็งแบบดิฟเฟอเรนเชียลฮาร์ดเดนนิ่งจะแยกออกหรือรู้ว่ามันแตกต่างกันยังไง ถ้าจะให้ดีก็ชุบแบบเอจก์เคว้นช์ หรือชุบเฉพาะหน้าคม ให้เจ๋งกว่านั้นคือชุบแบบดับเบิ้ลฮามอน คือแข็งล้อมรอบและตรงกลางเหนียว
.
คนภูเขาก็ต้องขึ้นเขาถึงจะรู้ว่ามีความยากลำบากและภยันตรายคอยอยู่ ช่างตีเหล็กก็ต้องตีเหล็ก ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าเดินไปบนถนนที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ และสิ่งที่รอคอยอยู่คือเตาไฟอันแสนเร่าร้อน
.
เตรียมข้าวของแล้วก็ไป ยิ้มแล้วก็ไป ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ถึงต้องล้มลุกคลุกคลานกี่ครั้ง ถ้ายังลุกขึ้นมาได้ เราจะไปกันต่อ
.
ชีวิตมีลงแล้วก็มีขึ้น มีดมีทื่อแล้วก็มีคม ชีวิตเป็นสุขเป็นทุกข์และเป็นกลางๆสลับกันไปตามอนุสัยกิเลสหมักดองที่หลงเหลือในจิตวิญญาณ เลือกจำแต่เรื่องดีๆให้ความสำคัญกับเรื่องที่เป็นสุข เรื่องไหนเป็นทุกข์ก็พึงกำหนดรู้แล้วก็ละมันไปเสีย
.
ยิ้มให้ตัวเองยิ้มให้คนข้างๆ มีแต่คนเป็นสุขที่ยิ้มได้ ถึงคนเป็นทุกข์ขอเพียงยังยิ้มได้เท่านั้นทุกข์ที่มีก็เหมือนจะบรรเทาเบาบางลงนิดนึง คนมีความสุขเพียงยิ้มออกมาก็เป็นการแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่นผ่านทางรอยยิ้ม แม้แต่แมวก็ชอบคนที่ยิ้มให้และมันเองก็ยิ้มได้เหมือนกัน ถ้ายังสงสัยว่าไม่จริงลองดูก็ได้ครับ
...
ก่อนตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผา
หมอกจางตาฟ้าร่วมกันท้าทาย
ขุนเขายิ่งใหญ่ทางเดินห่างลับไกล
บุกเดินไปไม่เคยหวั่น
...













แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่