...แล้วก็ให้จิตหลุดไปตรงกลาง ระหว่าง ความสวยงาม กับ ความอัปลักษณ์ขี้เหร่... ไม่ยึดมั่นทั้งสองส่วนนั้น ..หรือ อื่นๆ เช่น...
...มองเห็น อาหารที่มีรสชาติอร่อยมากๆ กับ รสชาติห่วยแตกมากๆ ให้เห็นว่า อร่อยเท่ากัน หรือ ไม่อร่อยเท่ากัน แล้วให้จิตปล่อยวางลงในระหว่างกลาง ระหว่างรสชขาติที่อร่อย กับ รสชาติที่ห่วยแตก
...หรือ เห็นว่า คำยกย่องชมเชย กับ คำด่าตำหนิประณาม มีค่าเท่ากัน แล้วให้จิตปล่อยวางลงตรงกลาง ระหว่างความรู้สึกเฟื่องฟูเมื่อถูกยกยอ และ รู้สึกฟุบแฟบห่อเหี่ยวโกรธเคือง เมื่อโดนด่า โดนตำหนิ
...หรือ อื่นๆๆ ฯลฯ
...นี่คือการฝึกเบื้องต้น ก่อนจะขยับไปฝึกวิปัสสนา ถ้าใครฝึกได้ อนาคตในการฝึกวิปัสสนา จะมีอนาคตสดใส ฝึกง่าย เห็นธรรมไม่ยากนัก
...ลองฝึกดู ..วิธีการฝึก คือ ฝึกให้มีมุมมองชัดเจนทั้งสองส่วนที่ตรงข้ามกันนั้น พลิกไปพลิกมา จนชำนาญ จนกระทั่ง โอกาสใดโอกาสหนึ่ง จิตหลุดไปในระหว่างกลาง ไม่ยึดมั่นทั้งสองมุม
วิธีฝึกขั้นอนุบาลก่อนจะเริ่มฝึกวิปัสสนา เช่นเห็นว่านางงามจักรวาลกับศพเน่าในโลง สวยเท่ากันหรืออัปลักษณ์เท่ากัน แล้วก็...
...มองเห็น อาหารที่มีรสชาติอร่อยมากๆ กับ รสชาติห่วยแตกมากๆ ให้เห็นว่า อร่อยเท่ากัน หรือ ไม่อร่อยเท่ากัน แล้วให้จิตปล่อยวางลงในระหว่างกลาง ระหว่างรสชขาติที่อร่อย กับ รสชาติที่ห่วยแตก
...หรือ เห็นว่า คำยกย่องชมเชย กับ คำด่าตำหนิประณาม มีค่าเท่ากัน แล้วให้จิตปล่อยวางลงตรงกลาง ระหว่างความรู้สึกเฟื่องฟูเมื่อถูกยกยอ และ รู้สึกฟุบแฟบห่อเหี่ยวโกรธเคือง เมื่อโดนด่า โดนตำหนิ
...หรือ อื่นๆๆ ฯลฯ
...นี่คือการฝึกเบื้องต้น ก่อนจะขยับไปฝึกวิปัสสนา ถ้าใครฝึกได้ อนาคตในการฝึกวิปัสสนา จะมีอนาคตสดใส ฝึกง่าย เห็นธรรมไม่ยากนัก
...ลองฝึกดู ..วิธีการฝึก คือ ฝึกให้มีมุมมองชัดเจนทั้งสองส่วนที่ตรงข้ามกันนั้น พลิกไปพลิกมา จนชำนาญ จนกระทั่ง โอกาสใดโอกาสหนึ่ง จิตหลุดไปในระหว่างกลาง ไม่ยึดมั่นทั้งสองมุม