...คล้ายๆจะเป็นฝาแฝดของจิต แต่ต่างกับจิตตรงที่ (๑) จิตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่..นิพพานคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง (๒) จิตเป็นธาตุรู้ สามารถรู้อารมณ์ทุกๆอย่าง ทั้งสังขตธรรม และ อสังขตธรรม ได้หมด แต่..นิพพาน เป็นอมตธาตุ ไม่ไปรู้อะไร
...นิพพาน จะไม่ผสมหรือปรุงแต่งกับอะไรได้เลย จึงไม่มีอะไรเข้าไปในนิพพานได้ ไม่มีอะไรจะออกมาจากนิพพานได้
...บุคคลที่ได้เห็นนิพพาน หรือ ได้นิพพานมาเป็นอารมณ์ของจิต แล้ว (หรือ ได้บรรลุเป็นพระอริยะฯแล้ว) จะมีความมั่นใจเกิน 1000 % ไม่คิดจะถามใครอีกเพื่อขอคำยืนยันให้แน่ใจ แม้คนนั้นจะนั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า คนนั้นก็จะไม่เอ่ยปากถามพระพุทธเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ รับรอง ยืนยันให้
...การฝึกเพื่อให้เห็นนิพพาน บรรลุเป็นพระอริยะฯ ก็ให้ฝึกถึงแค่ วิปัสสนาญาณที่ ๑๑ คือ สังขารุเปกขาญาณ เท่านั้นพอ ..ถ้าฝึกจนได้ถึง สังขารุเปกขาญาณได้สมบูรณ์ 100 % จะรู้เห็นจิตปล่อยวางทุกๆอย่าง ลงถึงความเป็นกลางวางเฉยเต็มที่ รู้สึกมัธยัสถ์เต็มที่ (ลักษณะเดียวกับตอนที่จิตจะสงบรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิ) ..ต่อจากนั้น วิปัสสนาญาณขั้นสูงๆขึ้นไปต่างๆจะเกิดตามมาเองโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องทำอะไร จะเกิดติดต่อกันไปไวมากๆ ของแต่ละขณะจิตถัดๆๆติดไปเลย โดยไม่มีอะไรคั่น ซึ่งจะมีจิตแค่ ๕ หรือ ๖ ดวงเท่านั้น ต่อจากสังขารุเปกขาจิต(ปัญญาที่เกิดพร้อมกับจิตดวงนี้ เรียก สังขารุเปกขาญาณ) คือ --> สัจจานุโลมจิต หรือ อนุโลมจิต(ปัญญาที่เกิดพร้อมกับจิตดวงนี้ เรียก อนุโลมญาณ) --> โคตรภูจิต(หรือโวทนจิต) (ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก โคตรภูญาณ หรือ โวทานะ) --> มรรคจิต(ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก มรรคญาณ) --> ผลจิต(ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก ผลญาณ) --> ผลจิต --> (หรือ ผลจิตอีกดวง ถ้าเป็นคนมีปัญญาแก่กล้า) --> ปัจจเวกขณจิต (ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก ปัจจเวกขณญาณ หรือ ยถาภูตญาณทัศนะ)
...ชื่อต่างๆของนิพพาน ที่ปรากฏในตำราเกือบ ๑๐๐ ชื่อนั้น อย่าไปเอามาคิดตีความเพื่อจะเข้าใจถึงตัวนิพพานจริงๆ เพราะชื่อต่างๆเหล่านั้น เป็นชื่อในสมมุติบัญญัติ เพื่ออุปมาอุปมัยเปรียบเทียบ เป็นสำนวนโวหาร เพื่อเปรียบเทียบแสดงถึงสภาวะ หรือ ผลกระทบต่างๆที่ปรากฏออกมาในสังขาร หลังจากจิตได้เห็นนิพพานในโลกุตตรอริมรรควิถีแล้ว แต่ใครจะเอาชื่อต่างๆเหล่านั้น มาคิดจินตนาการเพื่อให้เข้าใจถึงตัวนิพพานจริงๆ คุณจะไม่มีทางเข้าใจได้เลย หรือ เข้าใจผิดไปเลย (เพราะนิพพานตัวจริงมีลักษณะคล้ายๆเป็นฝาแฝดของจิต เกือบจะเหมือนจิต.. ตามที่บอกข้างต้น)../ ชื่อต่างๆของนิพพานซึ่งเป็นชื่อเปรียบเทียบ เช่นคำต่างๆต่อไปนี้ ..--> มทนิมฺมทโน(สร่างเมา) , ปิปสวินโย (นำออกเสียซึ่งบาป) , วฏฺฏูปจฺเฉโท (หักกงจักรของวัฏฏะสงสาร), อนาลโย (ตัดห่วงอาลัย) , วิราโค (กำจัดราคะ) , นิโรโธ (ดับ) , ตณฺหกฺขโย (กำจัดตัณหา) , นพฺพานํ (ไม่เสียดแทง) , สนฺติ (สงบ) , สุญฺญํ (เป็นของสูญ) , อมตํ (ไม่ตาย) , นิจฺจํ (เที่ยง)...ฯฯ เป็นต้น ..ยังมีอีกมาก เกือบ ๑๐๐ ชื่อ
---------------------------------------------------------
{{ ผมเอากระทู้เดิมมาตั้งซ้ำ เพราะไม่ได้ตั้งซ้ำมานานหลายปีแล้ว เพื่อให้เป็นปัจจุบันไว้เรื่อยๆ เป็นดิจิตอลฟู๊ตพริ้นต์ไว้ ป้องกันลืม จากกระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/35630910 หรือบางทีสมาชิกใหม่ๆบางราย ที่อาจจะยังไม่เคยอ่าน จะได้อ่าน...อาจจะเข้าใจยาก ลองคลิกอ่านดู }}
นิพพานอยู่ตรงศูนย์กลางจิต ระหว่างรูปนามละเอียดที่ปรุงแต่งในจิต(หรือระหว่างจิตดวงที่ 17 กับจิตดวงที่ 1)..เกือบเหมือนจิต
...นิพพาน จะไม่ผสมหรือปรุงแต่งกับอะไรได้เลย จึงไม่มีอะไรเข้าไปในนิพพานได้ ไม่มีอะไรจะออกมาจากนิพพานได้
...บุคคลที่ได้เห็นนิพพาน หรือ ได้นิพพานมาเป็นอารมณ์ของจิต แล้ว (หรือ ได้บรรลุเป็นพระอริยะฯแล้ว) จะมีความมั่นใจเกิน 1000 % ไม่คิดจะถามใครอีกเพื่อขอคำยืนยันให้แน่ใจ แม้คนนั้นจะนั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า คนนั้นก็จะไม่เอ่ยปากถามพระพุทธเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ รับรอง ยืนยันให้
...การฝึกเพื่อให้เห็นนิพพาน บรรลุเป็นพระอริยะฯ ก็ให้ฝึกถึงแค่ วิปัสสนาญาณที่ ๑๑ คือ สังขารุเปกขาญาณ เท่านั้นพอ ..ถ้าฝึกจนได้ถึง สังขารุเปกขาญาณได้สมบูรณ์ 100 % จะรู้เห็นจิตปล่อยวางทุกๆอย่าง ลงถึงความเป็นกลางวางเฉยเต็มที่ รู้สึกมัธยัสถ์เต็มที่ (ลักษณะเดียวกับตอนที่จิตจะสงบรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิ) ..ต่อจากนั้น วิปัสสนาญาณขั้นสูงๆขึ้นไปต่างๆจะเกิดตามมาเองโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องทำอะไร จะเกิดติดต่อกันไปไวมากๆ ของแต่ละขณะจิตถัดๆๆติดไปเลย โดยไม่มีอะไรคั่น ซึ่งจะมีจิตแค่ ๕ หรือ ๖ ดวงเท่านั้น ต่อจากสังขารุเปกขาจิต(ปัญญาที่เกิดพร้อมกับจิตดวงนี้ เรียก สังขารุเปกขาญาณ) คือ --> สัจจานุโลมจิต หรือ อนุโลมจิต(ปัญญาที่เกิดพร้อมกับจิตดวงนี้ เรียก อนุโลมญาณ) --> โคตรภูจิต(หรือโวทนจิต) (ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก โคตรภูญาณ หรือ โวทานะ) --> มรรคจิต(ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก มรรคญาณ) --> ผลจิต(ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก ผลญาณ) --> ผลจิต --> (หรือ ผลจิตอีกดวง ถ้าเป็นคนมีปัญญาแก่กล้า) --> ปัจจเวกขณจิต (ปัญญาที่เกิดกับจิตดวงนี้ เรียก ปัจจเวกขณญาณ หรือ ยถาภูตญาณทัศนะ)
...ชื่อต่างๆของนิพพาน ที่ปรากฏในตำราเกือบ ๑๐๐ ชื่อนั้น อย่าไปเอามาคิดตีความเพื่อจะเข้าใจถึงตัวนิพพานจริงๆ เพราะชื่อต่างๆเหล่านั้น เป็นชื่อในสมมุติบัญญัติ เพื่ออุปมาอุปมัยเปรียบเทียบ เป็นสำนวนโวหาร เพื่อเปรียบเทียบแสดงถึงสภาวะ หรือ ผลกระทบต่างๆที่ปรากฏออกมาในสังขาร หลังจากจิตได้เห็นนิพพานในโลกุตตรอริมรรควิถีแล้ว แต่ใครจะเอาชื่อต่างๆเหล่านั้น มาคิดจินตนาการเพื่อให้เข้าใจถึงตัวนิพพานจริงๆ คุณจะไม่มีทางเข้าใจได้เลย หรือ เข้าใจผิดไปเลย (เพราะนิพพานตัวจริงมีลักษณะคล้ายๆเป็นฝาแฝดของจิต เกือบจะเหมือนจิต.. ตามที่บอกข้างต้น)../ ชื่อต่างๆของนิพพานซึ่งเป็นชื่อเปรียบเทียบ เช่นคำต่างๆต่อไปนี้ ..--> มทนิมฺมทโน(สร่างเมา) , ปิปสวินโย (นำออกเสียซึ่งบาป) , วฏฺฏูปจฺเฉโท (หักกงจักรของวัฏฏะสงสาร), อนาลโย (ตัดห่วงอาลัย) , วิราโค (กำจัดราคะ) , นิโรโธ (ดับ) , ตณฺหกฺขโย (กำจัดตัณหา) , นพฺพานํ (ไม่เสียดแทง) , สนฺติ (สงบ) , สุญฺญํ (เป็นของสูญ) , อมตํ (ไม่ตาย) , นิจฺจํ (เที่ยง)...ฯฯ เป็นต้น ..ยังมีอีกมาก เกือบ ๑๐๐ ชื่อ
---------------------------------------------------------
{{ ผมเอากระทู้เดิมมาตั้งซ้ำ เพราะไม่ได้ตั้งซ้ำมานานหลายปีแล้ว เพื่อให้เป็นปัจจุบันไว้เรื่อยๆ เป็นดิจิตอลฟู๊ตพริ้นต์ไว้ ป้องกันลืม จากกระทู้นี้ https://ppantip.com/topic/35630910 หรือบางทีสมาชิกใหม่ๆบางราย ที่อาจจะยังไม่เคยอ่าน จะได้อ่าน...อาจจะเข้าใจยาก ลองคลิกอ่านดู }}