*จากงานศึกษาที่เพิ่งเผยแพร่วันที่ 10 พย. 2023
ขอเขียนเพิ่มเติมจากคลิป:
เริ่มมีงานศึกษาออกมาเรื่อย ๆ ถึงผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 ที่เราจะไม่มีทางได้ยินจากฝั่งหมอนะครับ
หรือถ้าจะมี ก็คงจะไม่ได้งัดข้อมูลออกมาเผยแพร่แบบเต็มร้อย
ผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 ที่ตั้งแต่เริ่มใช้เป็นต้นมา มีรายงานเคสไม่พึงประสงค์กว่า 4 ล้านเคส
มีทั้งฟีดแบ็กจากคนไข้ มีการสูญเสียและการบาดเจ็บ ที่ถูกรายงานผ่านสื่อต่าง ๆ
แต่การตรวจสอบก็ไม่เคยโยงไปถึงวัคซีนว่าเป็นต้นตอได้เลย
แต่ timing ระยะเวลา หรือความบังเอิญต่าง ๆ สามารถบ่งชี้ไปที่วัคซีน
ข่าวสารและสถิติของโรคที่มากขึ้นกับ effect ของวัคซีนที่เผยแพร่มาเรื่อย ๆ
มันบอกได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลกระทบทาง epigenetics
ที่ผลกระทบรุนแรงเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในระหว่างงานวิจัยพัฒนา
แต่เกิดขึ้นให้เห็นเมื่อใช้งานจริงกับคนไข้ ที่เป็นจำนวนมากนับแสนนับล้าน
และไม่สามารถพิสูจน์ว่าเกิดจากวัคซีน เพราะถ้าเป็นผลกระทบทาง epigenetics
มันจะเกิดจากหลายองค์ประกอบที่เกิดขึ้นร่วมกัน
เช่น ระดับสารพิษ toxic burden ที่สะสมอยู่ในเซล์ และในสมอง
ecosystem ของ microbiome ในลำไส้ เป็นยังไง
มีการใช้ยาปฏิชีวนะมามาก มีการกินยาต้านเศร้า หรือ SSRI อะไรหรือไม่อย่างไร
ผ่านการคลอดแบบธรรมชาติ หรือการผ่านคลอด
มีการใช้สารพิษร้ายแรงกับร่างกาย อย่างเช่น ปรอทที่อยู่ในที่อุดฟันเหล็กหรือไม่
และมีการใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือไม่
ได้รับสารพิษจากอาหารมากน้อยขนาดไหน
มีสุขลักษณะการกินและพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือไม่
และสุดท้ายก็คือวัคซีน ที่เป็นตัวกระตุ้นให้อาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น
เนื่องจากผลกระทบทาง epigenetics มันคือการรวบเอาปัจจัยหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน
ภาวะสังคมในปัจจุบันจึงมีแต่ความกลัว กลัวว่าวันหนึ่งจะเกิดโรคโดยไม่รู้สาเหตุ
ในสังคมของความเชื่อ ก็จะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่าโรคที่รักษาไม่ได้มาจากกรรมเก่า
การแพทย์ที่ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยเพื่อรักษาผู้ป่วยหรือรักษาตัวเองเวลาเป็นโรค
ก็ถึงทางตัน เมื่อโรคที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันนั้นมาจาก epigenetics
เวลามีข้อมูลใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจริง หากเป็นข้อมูลที่มาจากคนไข้
มันอาจเป็นข้อมูลจริง ๆ ที่มาจากผลกระทบทาง epigenetics
แต่เมื่อหมอเอางานวิจัยแบบดั้งเดิมมาตัดสินในข้อมูล มันก็จะกลายเป็นว่า
ข้อมูลจากคนไข้เป็นสิ่งที่ไม่จริง คนไข้คิดไปเอง โยงไปถึงว่าคนไข้ไม่มีความรู้เป็นต้น
เรื่อง ดีเจโก หรือ ภรรยา สส. หรืออีกหลายเคสที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงปีสองปีนี้
มันอาจเป็นฤทธิ์ของยาต้านเศร้า SSRI (ซึ่งเคยอธิบายไว้ยาวมากในอีกกระทู้)
วัคซีน ระดับสารพิษที่สะสมในสมอง ที่กระทบไปถึง microbiome
ผลกระทบที่มีต่อสมอง มันทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวเรา
ถ้าสมองในคนปกติมีกลไกป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตาย ผลกระทบของยาและสารพิษ
จะปลดกลไกป้องกันนั้นออก และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็จะเกิดขึ้นครับ
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีมากมายโดยผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้
ที่ไม่ใช่พวก mainstream แต่คุณพยายามหาด้วยภาษาไทย คุณจะไม่เจอข้อมูลเหล่านี้
*แก้ไขเพื่อให้กระชับขึ้น
โรคใหม่ -Post Vaccine Syndrome- งานศึกษาพบทำให้เกิดอาการ วิตกกังวล ซึมเศร้า และอื่น ๆ ที่ทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่
*จากงานศึกษาที่เพิ่งเผยแพร่วันที่ 10 พย. 2023
ขอเขียนเพิ่มเติมจากคลิป:
เริ่มมีงานศึกษาออกมาเรื่อย ๆ ถึงผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 ที่เราจะไม่มีทางได้ยินจากฝั่งหมอนะครับ
หรือถ้าจะมี ก็คงจะไม่ได้งัดข้อมูลออกมาเผยแพร่แบบเต็มร้อย
ผลกระทบของวัคซีนโควิด-19 ที่ตั้งแต่เริ่มใช้เป็นต้นมา มีรายงานเคสไม่พึงประสงค์กว่า 4 ล้านเคส
มีทั้งฟีดแบ็กจากคนไข้ มีการสูญเสียและการบาดเจ็บ ที่ถูกรายงานผ่านสื่อต่าง ๆ
แต่การตรวจสอบก็ไม่เคยโยงไปถึงวัคซีนว่าเป็นต้นตอได้เลย
แต่ timing ระยะเวลา หรือความบังเอิญต่าง ๆ สามารถบ่งชี้ไปที่วัคซีน
ข่าวสารและสถิติของโรคที่มากขึ้นกับ effect ของวัคซีนที่เผยแพร่มาเรื่อย ๆ
มันบอกได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลกระทบทาง epigenetics
ที่ผลกระทบรุนแรงเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในระหว่างงานวิจัยพัฒนา
แต่เกิดขึ้นให้เห็นเมื่อใช้งานจริงกับคนไข้ ที่เป็นจำนวนมากนับแสนนับล้าน
และไม่สามารถพิสูจน์ว่าเกิดจากวัคซีน เพราะถ้าเป็นผลกระทบทาง epigenetics
มันจะเกิดจากหลายองค์ประกอบที่เกิดขึ้นร่วมกัน
เช่น ระดับสารพิษ toxic burden ที่สะสมอยู่ในเซล์ และในสมอง
ecosystem ของ microbiome ในลำไส้ เป็นยังไง
มีการใช้ยาปฏิชีวนะมามาก มีการกินยาต้านเศร้า หรือ SSRI อะไรหรือไม่อย่างไร
ผ่านการคลอดแบบธรรมชาติ หรือการผ่านคลอด
มีการใช้สารพิษร้ายแรงกับร่างกาย อย่างเช่น ปรอทที่อยู่ในที่อุดฟันเหล็กหรือไม่
และมีการใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือไม่
ได้รับสารพิษจากอาหารมากน้อยขนาดไหน
มีสุขลักษณะการกินและพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือไม่
และสุดท้ายก็คือวัคซีน ที่เป็นตัวกระตุ้นให้อาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น
เนื่องจากผลกระทบทาง epigenetics มันคือการรวบเอาปัจจัยหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน
ภาวะสังคมในปัจจุบันจึงมีแต่ความกลัว กลัวว่าวันหนึ่งจะเกิดโรคโดยไม่รู้สาเหตุ
ในสังคมของความเชื่อ ก็จะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่าโรคที่รักษาไม่ได้มาจากกรรมเก่า
การแพทย์ที่ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยเพื่อรักษาผู้ป่วยหรือรักษาตัวเองเวลาเป็นโรค
ก็ถึงทางตัน เมื่อโรคที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันนั้นมาจาก epigenetics
เวลามีข้อมูลใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจริง หากเป็นข้อมูลที่มาจากคนไข้
มันอาจเป็นข้อมูลจริง ๆ ที่มาจากผลกระทบทาง epigenetics
แต่เมื่อหมอเอางานวิจัยแบบดั้งเดิมมาตัดสินในข้อมูล มันก็จะกลายเป็นว่า
ข้อมูลจากคนไข้เป็นสิ่งที่ไม่จริง คนไข้คิดไปเอง โยงไปถึงว่าคนไข้ไม่มีความรู้เป็นต้น
เรื่อง ดีเจโก หรือ ภรรยา สส. หรืออีกหลายเคสที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงปีสองปีนี้
มันอาจเป็นฤทธิ์ของยาต้านเศร้า SSRI (ซึ่งเคยอธิบายไว้ยาวมากในอีกกระทู้)
วัคซีน ระดับสารพิษที่สะสมในสมอง ที่กระทบไปถึง microbiome
ผลกระทบที่มีต่อสมอง มันทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวเรา
ถ้าสมองในคนปกติมีกลไกป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตาย ผลกระทบของยาและสารพิษ
จะปลดกลไกป้องกันนั้นออก และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็จะเกิดขึ้นครับ
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีมากมายโดยผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้
ที่ไม่ใช่พวก mainstream แต่คุณพยายามหาด้วยภาษาไทย คุณจะไม่เจอข้อมูลเหล่านี้
*แก้ไขเพื่อให้กระชับขึ้น