JJNY : ศาลฎีกาสั่งทบ.ชดใช้เหตุวิสามัญชัยภูมิ│ก้าวไกลชง2คำถามพ่วง│“สมชัย”ตั้งถามวิกฤติศก.│ยูเครนยึดบางพื้นที่แม่น้ำดนีโปร

ศาลฎีกาสั่งทบ.ชดใช้ 2 ล้าน เหตุวิสามัญ ชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนลาหู่ คาด่านตรวจ
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4285295
 
 
ศาลฎีกาสั่งทบ.ชดใช้ 2 ล้าน เหตุวิสามัญชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนลาหู่ คาด่านตรวจเชียงใหม่
 
วันที่ 16 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 08.30 น. ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา คดีชัยภูมิ ป่าแส นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ชาติพันธุ์ลาหู่ ถูกฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐทหาร เมื่อปี 2560 ณ ศาลแพ่ง (ถนนรัชดาภิเษก ) โดยคดีนี้นางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส เป็นโจทก์ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 ต่อกองทัพบก เป็นจำเลย เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา
 
โดยศาลฎีกาได้พิพากษาสั่งให้กองทัพบก ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลการวิสามัญ นายชัยภูมิ ป่าแส ชดเชยค่าเสียหายให้กับครอบครัวเป็นจำนวนเงิน 2,072,400 บาท โดยเป็น ค่าปลงศพ 120,000 บาท , ค่าอุปการะแม่ 1,952,400 บาท และ ค่าทนายความ 50,000 บาท สำหรับค่าเยียวยาทางจิตใจ ที่ครอบครัวได้เรียกร้องไปนั้น ศาลเห็นว่า นายชัยภูมิ ต้องเป็นผู้เรียกร้องเอง
 
คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำอยู่ที่ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้ตรวจค้นรถยนต์นายชัยภูมิ ป่าแส ที่ขับรถยนต์เดินทางพร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคน ผ่านด่านตรวจดังกล่าว ก่อนที่นายชัยภูมิจะถูกเจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่านายชัยภูมิพยายามขัดขืนและทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้จนนายชัยภูมิเพื่อป้องกันตนเอง
 
ต่อมานางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส เป็นโจทก์ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539  ต่อกองทัพบก เป็นจำเลย เมื่อปี 2562
 
ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้อง ทำให้กองทัพบกไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายแก่นาปอย ป่าแส เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารกระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งต่อมาครอบครัวของนายชัยภูมิ ป่าแส ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา และต่อมาศาลฎีกามีคำสั่ง ‘รับฎีกา’ ระบุ ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย จึงมีคำสั่งรับฎีกาไว้พิจารณา
.
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงอยากเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจร่วมกันติดตามรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็นการนัดฟังคำพิพากษาครั้งสุดท้าย และร่วมให้กำลังใจครอบครัวของนายชัยภูมิ ป่าแส ว่าจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่


 
ก้าวไกล ชง 2 คำถามพ่วง ประชามติครั้งแรก ให้ประชาชนตัดสิน ความเห็นต่างที่มาส.ส.ร.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4285347

ก้าวไกล ย้ำจุดยืน ที่มาส.ส.ร.ต้องมาจากเลือกตั้งทั้งหมด ยัน ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อหวังรับฟังความเห็นต่างทางการเมือง-ที่มาส.ส.ร.ให้ปชช.ตัดสินใจ 
 
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ที่มาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จะมีทั้งแบบเลือกตั้งและแบบสรรหา ทาง ก.ก. จะยังยืนยันข้อเสนอที่มาของ ส.ส.ร. ต้องเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่ ว่า พรรค ก.ก. ยังคงยืนยันจุดยืนเดิม คือ สนับสนุนให้มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดยืนที่แตกต่างจากนายภูมิธรรม ซึ่งข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ ที่เราได้เสนอให้กรรมการคณะศึกษาแนวทางรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นข้อเสนอที่พยายามมาโอบรับจุดยืนที่แตกต่างกันทางการเมืองในหลายมิติ
 
มิติที่ 1 ในเชิงของการตีความคำวินิจฉัยรัฐธรรมนูญ ว่าการทำประชามติต้องทำ 2 หรือ 3 ครั้ง หากทำประชามติ 3 ครั้ง ก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 
 
มิติที่ 2 เป็นการใช้ประชามติในรอบแรกเพื่อหาข้อสรุปที่แตกต่างกันในเรื่องต่างๆ อย่างที่มาของ ส.ส.ร. การแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญ 
 
เรามองว่า หากมีการทำประชามติในครั้งแรก และนำประเด็นที่แตกต่างกันในทางการเมืองให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ก็จะทำให้กระบวนการพิจารณาราบรื่นยิ่งขึ้น เราได้เสนอคำถาม หลัก 2 คำถามพ่วง คำถามหลักจึงมีหน้าที่ต้องเปิดกว้างที่สุด เพื่อให้กลุ่มผู้ที่เห็นต่างในเชิงรายละเอียด สามารถสนับสนุนหลักการสำคัญในการทำรัฐธรรมนูญได้
 
จึงเป็นคำถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย ส.ส.ร. และคำถามพ่วงจะเป็นคำถามที่เฉพาะเจาะจง ในประเด็นที่แต่ละฝ่ายอย่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านที่ยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ให้ประชาชนตัดสินใจโดยตรง ว่าจะให้เดินหน้าในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไร ดังนั้นแม้ว่าตนและนายภูมิธรรมจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องที่มาของ ส.ส.ร. ก็สามารถนำคำถามนี้เป็นคำถามพ่วงในการทำประชามติครั้งแรก ว่าประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร
  

 
“สมชัย”ตั้งคำถามประเทศไทยมีวิกฤติด้านเศรษฐกิจจริงหรือไม่
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_641420/

“สมชัย” โพสต์ ตั้งคำถามประเทศไทยมีวิกฤติด้านเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ย้อน”เศรษฐา”ต่างคนต่างทำหน้าที่ อ้างวิกฤตเพื่อหาความชอบธรรมในการกู้เงินมาแจก รอไปชี้แจงองค์กรอิสระเอาเอง
 
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะที่ปรึกษา กมธ.ติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ในหัวข้อ “ประเทศไทยมีวิกฤติด้านเศรษฐกิจจริงหรือไม่” ว่า 
 
การยกประเด็นค่าเฉลี่ยการเพิ่ม GDP. ในรอบ 10 ปี ต่ำเตี้ย และ ตัวเลขการเติบโตล่าสุดต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการพูดแบบปิดตาข้างหนึ่งอย่างไร

ประเด็นแรก ค่าเฉลี่ยการเพิ่ม GDP. ไทย (GDP. Growth Average) ตามรายงานของธนาคารโลก คิดจากปี 2557-2566 คือ โตร้อยละ 1.87 แต่หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า เกิดจากค่าการเติบโตของปี 2563 เป็นลบถึง ร้อยละ 6.1 จากวิกฤติการณ์โควิดทั่วโลก ทำให้เมื่อคำนวณค่าเฉลี่ย 10 ปี ถูกดึงลงเหลือ 1.87
 
ประเด็นสอง GDP. Growth ของปี ไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ข้อเท็จจริง คือ ตัวเลขประมาณการการเติบโตของ GDP. ไทยในปี 2022 (พ.ศ. 2565) คือ โตร้อยละ 2.59 ต่ำกว่า แม้กระทั่ง เขมร และลาว
 
แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นจริง แต่เป็นการสนใจแค่การเปรียบเทียบในเชิงร้อยละที่เพิ่มขึ้นในเรื่อง GDP. Growth ที่ประเทศเล็ก ๆ ขนาด GDP. เล็ก เพิ่มเพียงไม่เท่าไร ก็ได้ร้อยละที่เพิ่มดูมาก ในขณะที่หากเปรียบในเรื่องขนาด (Volume) ของ GDP. ทำไมไม่ยกว่า เราเป็นที่สองของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย
 
พูดว่า วิกฤตเพื่อหาความชอบธรรมในการกู้เงินมาแจก ไปรออธิบายความหมายกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น กกต. ปปช. คตง. ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วเขาจะเป็นคนบอกเองว่า วิกฤตหรือไม่ต่างคนต่างทำหน้าที่ ตามที่นายกรัฐมนตรีพูดแหละครับ
  
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid0QqXZ3AejAbF6CSkGCyJ3hM8g2WTwvfkMfixDrprmzsbnegTVayvd6CTnKVe9k3Tnl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่