โรม ซัด ภราดร ตำแหน่งสูง แต่ปาดหน้าแซงคิวแถลงข่าว ลั่น หากทำอีก จะมีใครเคารพ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937061
วีนฉ่ำ!!! ‘โรม’ ซัด ‘ภราดร’ ตำแหน่งสูง แต่ปาดหน้าแซงคิวแถลงข่าว ลั่น หากทำอีก จะมีใครเคารพ มอง ปธ.-รองสภา ส.ส. เป็นสมาชิกเท่ากัน
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามกำหนดการที่ นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน จะรับหนังสือต่อประชาชนชาวประมง จ.พังงา ในเรื่องของความเดือดร้อนที่เรือประมงของประเทศไทย ถูกเรือรบของประเทศเมียนมายิงนั้น ปรากฏว่าเมื่อนาย
รังสิมันต์มาตามเวลานัดพบว่า นาย
ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2 กำลังแถลงอยู่ สร้างความไม่พอใจให้กับนาย
รังสิมันต์ ทันทีที่นายภราดรแถลงเสร็จ ทางนาย
รังสิมันต์จึงได้เดินปรี่ไปสอบถาม
โดยนาย
รังสิมันต์เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีคิวแถลงข่าว ตนก็มีเช่นกันแต่ก็ต้องเลื่อนออกไปซึ่งเข้าใจได้ว่าคิวเต็มไม่ควรแซง แต่วันนี้กลับมีการแทรกคิวของตน จึงเกิดเป็นคำถามในใจ ไม่ว่าจะเป็นประธานสภา รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร ในพื้นฐานเราเท่ากันเป็นสมาชิกเหมือนกัน แทรกคิวได้หรือไม่
ตอนแรกตนนัดแถลง 13.30 น. แต่คิวชนกัน จึงเลื่อนเวลามาเป็น 11.30 น. ซึ่งทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ต้องตื่นเช้าขึ้น เกือบมาไม่ทันเพื่อมาแถลงข่าว
“ผมบอกตามว่าแบบนี้ไม่ได้คนที่มีตำแหน่งเกือบสูงสุดควรมีพฤติกรรมที่น่าเคารพ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เจ้าหน้าที่ควรแจ้งว่าจะโดนสมาชิกท่านอื่นตำหนิ ผมคนหนึ่งที่ไม่ยอม”
ตนคิดว่า นาย
ภราดรทราบอยู่แล้วว่าตนจะมาแถลง จะบอกว่าไม่ทราบเรื่องไม่ได้ เพราะสุดท้ายนาย
ภราดรก็เป็นผู้แถลงจะต้องรับผิดรับชอบ หากยังทำแบบนี้อีกจะมีใครเคารพ
โรม จ่อตั้งกระทู้อนุทิน ถามว้าแดง เอาไฟฟ้าที่ไหนใช้? ปูดบริษัทเอี่ยว ลากไฟให้ ผลิตยาเสพติด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937235
“โรม” ฉะ “กลุ่มว้า” ต้นตอ แหล่งผลิตยาเสพติดในไทย ปูดมีบริษัทส่งไฟฟ้าไปขาย ลั่น ยาพันล้านเม็ด เอาไฟไหนมาใช้ เตรียมตั้งกระทู้ “อนุทิน” ทันที เปิดสมัย 12 ธ.ค. นี้ พ่วงถกหน่วยงานเกี่ยวข้องใน กมธ. 13 ธ.ค.
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกลุ่มว้าแดงที่ประชิดชายแดนไทยว่า ปัญหาตามแนวชายแดนเป็นเรื่องที่ กมธ.กังวลมาโดยตลอด ความกังวลระดับแรก ถ้ามีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ทิ้งระเบิดโดยรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งบางครั้งไม่ได้เจาะจงไปที่กลุ่มกองกำลัง มันไปกระทบต่อชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความขัดแย้ง ทำให้คนเหล่านี้ต้องอยู่อย่างไร้บ้าน มีคนที่จะต้องไปอยู่ตามค่ายต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นบ้านพักของตัวเองเกินกว่า 2 ล้านคน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทันทีคือ เขาจะข้ามไปที่ประเทศไทย ประเทศไทยเรารองรับผู้ลี้ภัยได้เต็มที่ได้แค่ 100,000 คนเท่านั้น เราไม่มีศักยภาพรองรับได้เยอะขนาดนั้น ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจะบอกว่า เป็นเรื่องของเมียนมาอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยไม่ได้ เพราะถ้าเกิดว่าความขัดแย้งเขาหนัก สุดท้ายคนจะหนีมาที่ประเทศเรา
นาย
รังสิมันต์ระบุว่า การจะไม่ให้เขาเข้าประเทศ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถึงที่สุด เขาหนีตาย ต้องทำทุกวิถีทางในการที่จะเอาตัวรอด ซึ่งถ้าเกิดว่าเป็นแบบนี้ เราจะไปขับไล่หรือดำเนินการก็จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย วันนี้เราเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ก็จะไปทำลายภาพลักษณ์หนักขึ้นไปอีก ดังนั้น ต้องบริหารกันดีๆ
“
เมื่อพูดถึงเรื่องว้าแดง ก็จะมีเรื่องการรุกล้ำเขตแดนเข้ามาในประเทศไทยด้วย ผมเองก็จะเอาเรื่องนี้ พิจารณาในวันที่ 13 ธันวาคม รวมกับเรื่องเรือประมงที่ถูกเรือรบเมียนมายิง ว้าเขาโดดเด่นในเรื่องอาชญากรข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยาเสพติดจำนวนมากในหลายกรณีบ่งชี้ว่า แหล่งผลิตยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเขตอิทธิพลของว้า ดังนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่มีการล้ำเขตแดนมาที่ประเทศไทย และมากไปกว่านั้น กลุ่มที่ล้ำเขตแดน ต้องยอมรับว่าเขาเป็นกลุ่มที่อาจจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย มันอาจจะทำให้เราสามารถโยงได้ว่าปัญหายาเสพติดที่มันระบาดหนักในประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันก็อาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้หรือเปล่า ที่มีการรุ่งเรืองทั้งอำนาจและมีกองกำลังต่างๆ มากมาย” นาย
รังสิมันต์กล่าว
นาย
รังสิมันต์ย้ำว่า เรื่องนี้เป็นวาระสำคัญของประเทศไทยที่ต้องจัดการ คงไม่ได้พิจารณาใช้มาตรการการย้ายฐาน แต่คงจะรวมถึงปัญหายาเสพติดที่เป็นปัญหาร้ายแรงที่จะต้องจัดการอย่างจริงจัง ตนไปลงพื้นที่หลายพื้นที่ หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายาเสพติดในประเทศไทยถูกมาก สะท้อนว่าเราไม่มีศักยภาพในการปราบปรามยาเสพติดขนาดนั้น
“
เมื่อพูดไปถึงว้า ผมเองคงต้องบอกว่าวันนี้ยาเสพติดที่ผลิตต้องมีสารตั้งต้น ต้องใช้พลังงาน ต้องใช้ไฟฟ้า ตามข้อมูลที่ได้รับมาไฟฟ้ามาจากฝั่งไทยที่ขายไปท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มว้า ผมก็เคยอภิปรายโยงไปถึงอดีต ส.ว.แล้ว และมีบริษัทที่มีกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังคือกลุ่มว้า ว้ามีอิทธิพลถึงขนาดที่เอาไฟฟ้าจากฝั่งประเทศไทยไปใช้งานได้ด้วย ผมไม่รู้หรอกครับว่าไฟฟ้าที่ใช้เอาไปใช้ผลิตยาเสพติดหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมรู้คือการผลิตยาเสพติดนับพันล้านเม็ด มันคงต้องใช้ไฟฟ้าไม่มากก็น้อย คำถามก็คือว่าฝ่ายนี้มาจากไหน ถ้าไม่ใช่มาจากประเทศไทย ซึ่งก็มีเส้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอยู่” นาย
รังสิมันต์กล่าว
นาย
รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้ายว่า เปิดสภามาวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ตนจะตั้งกระทู้ถามนาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะทุกอย่างชัดเจนแล้วบริษัทที่เกี่ยวข้อง เช่น เงินที่เกี่ยวข้อง บัญชีม้าต่างๆ มันชัดเจน
มติกมธ.ที่ดิน ลุยสอบไร่ภูนับดาว ไม่สนเกี่ยวหวานใจใคร จ่อเรียกป่าไม้-ส.ป.ก.ลงพื้นที่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937632
“กมธ.ที่ดิน” ลุยตรวจ“ไร่ภูนับดาว“ 13 ธ.ค. ”พูนศักดิ์“ ยัน ไม่เกี่ยวหวานใจนักการเมือง ขอตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานถูกต้องหรือไม่ ชี้ในประเทศมีปัญหาเรื่องที่ดินนับแสนไร่
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา นาย
พูนศักดิ์ จันทร์จำปี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ที่ประชุม กมธ.มีมติให้ลงพื้นที่ในการตรวจสอบถึงประเด็นปัญหารีสอร์ต “
ไร่ภูนับดาว” ในวันที่ 13 ธันวาคม โดยจะลงพื้นที่ตรวจสอบในช่วงเช้า ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) ส่วนกลาง และกรมป่าไม้ เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังดูสถานที่ระหว่างศาลากลางจังหวัด หรือที่ว่าการอำเภอมวกเหล็ก จ.สระบุรี
นาย
พูนศักดิ์กล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะดำเนินการสอบข้อเท็จจริงในการใช้เอกสารสิทธิของ ส.ป.ก. ว่าดำนเนินการโดยชอบหรือไม่ โดยย้ำว่าไม่ได้มองเป็นประเด็นทางการเมือง แต่เป็นการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะการแจกจ่ายที่ดิน ส.ป.ก.และการดำเนินการใช้สิทธิของผู้ที่ได้รับที่ดิน ซึ่งถือเป็นปัญหาหลักของประเทศ ทาง กมธ.ฯประเมินแล้วว่ามีที่ดินหลายแสนไร่ที่มีปัญหาในเรื่องสิทธิ เพราะปัจจุบันทั่วประเทศไทยมีปัญหาเรืองที่ดิน ทั้งเอกสารสิทธิ ที่ดินของประชาชนถูกลิดรอน หลังจากการประกาศเขตป่าอุทยาน จนไปทับที่ทำกินของประชาชน ที่อยู่มานานแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ รวมถึงการแจกจ่ายสิทธิอาจจะให้กับคนที่ไม่มีคุณสมบัติ หรือมีคุณสมบัติแต่ถ่ายโอนให้บุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ทายาทตามกฎหมาย หรือประกอบกิจการที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ กมธ.ฯจะต้องสรุป และทำเป็นนโยบายเพื่อเสนอให้รัฐบาลแก้ไขในรัฐบาลต่อไป
“
เคสไร่ภูนับดาว เรามองว่าเป็นเคสหนึ่งในจำนวนหลายเคสที่เกิดขึ้น จึงถือโอกาสทำการตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินร่วมกัน” นาย
พูนศักดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีการเมืองแทรกแซง เพราะมีข่าวของหวานใจนักการเมือง เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว นายพูนศักดิ์กล่าวว่า ยืนยันว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้ของ กมธ.ฯ ไม่ได้ดูว่าการเมืองทำให้มีประเด็นนี้เกิดขึ้นหรือไม่ แต่เป็นการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ทำโดยมิชอบ ส่วนเส้นทางการเงิน 10 ล้านบาทนั้น คิดว่าเกินขอบเขตการทำงานของ กมธ.ที่ดิน แต่ควรจะเป็นคณะกรรมาธิการอื่น เข้ามาตรวจสอบมากกว่า
กลุ่มส.ว.พันธุ์ใหม่ยันจุดยืน ให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวทำประชามติ ชี้ประชาชนเข้าถึงได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937224
“ส.ว.พันธุ์ใหม่” ยันจุดยืนเสียงข้างมากชั้นเดียวทำประชามติ “นันทนา”จี้กำหนดกรอบเวลาให้ทันเลือกตั้งปี 70
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่รัฐสภา น.ส.
นันทนา นันทวโรภาส ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ แถลงจุดยืนถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ว่า ไม่ว่ามติของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ จะออกมาเป็นอย่างไร ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ที่เป็นเสียงข้างน้อยมีจุดยืนให้ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียวในการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เพราะทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ ตอบสนองเรื่องมุมมองทัศนคติ และเจตจำนงประชาชนได้ จึงไม่ควรกำหนดใช้เป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น
“
การทำประชามติควรเป็นเจตนาประชาชนเช่นเดียวกับการออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ถ้าไปกำหนดว่าการเลือกตั้งทุกครั้งต้องเป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น อาจจะไม่ได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชน เพราะคนที่ไม่สามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งอาจมีเหตุผลมากมายที่ไม่ออกมา การใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวจะผลักดันให้การแก้รัฐธรรมนูญบรรลุเป้าหมาย และถ้าเป็นไปได้ควรมีกรอบเวลาเร็วพอในการทำประชามติ ให้เสร็จทันการเลือกตั้งปี 2570” น.ส.
นันทนากล่าว
ด้านนาย
พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กล่าวว่า การทำประชามติด้วยหลักเสียงข้างมาก 2 ชั้นนั้น ในต่างประเทศทำให้ผลการทำประชามติบิดเบือน เพราะจะส่งผลให้ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ประชามติผ่านจะรณรงค์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิน้อยที่สุด อาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ประชาชน ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศพยายามล้มการใช้หลักเสียงข้างมาก 2 ชั้นทำประชามติ จึงไม่จำเป็นที่ไทยต้องไปยึดปฏิบัติตาม
JJNY : 5in1 โรมซัดภราดร│โรมจ่อตั้งกระทู้อนุทินถามว้าแดง│ลุยสอบไร่ภูนับดาว│ส.ว.พันธุ์ใหม่ยันจุดยืน│ชาวเกาหลีใต้ชุมนุมใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937061
วีนฉ่ำ!!! ‘โรม’ ซัด ‘ภราดร’ ตำแหน่งสูง แต่ปาดหน้าแซงคิวแถลงข่าว ลั่น หากทำอีก จะมีใครเคารพ มอง ปธ.-รองสภา ส.ส. เป็นสมาชิกเท่ากัน
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามกำหนดการที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน จะรับหนังสือต่อประชาชนชาวประมง จ.พังงา ในเรื่องของความเดือดร้อนที่เรือประมงของประเทศไทย ถูกเรือรบของประเทศเมียนมายิงนั้น ปรากฏว่าเมื่อนายรังสิมันต์มาตามเวลานัดพบว่า นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2 กำลังแถลงอยู่ สร้างความไม่พอใจให้กับนายรังสิมันต์ ทันทีที่นายภราดรแถลงเสร็จ ทางนายรังสิมันต์จึงได้เดินปรี่ไปสอบถาม
โดยนายรังสิมันต์เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีคิวแถลงข่าว ตนก็มีเช่นกันแต่ก็ต้องเลื่อนออกไปซึ่งเข้าใจได้ว่าคิวเต็มไม่ควรแซง แต่วันนี้กลับมีการแทรกคิวของตน จึงเกิดเป็นคำถามในใจ ไม่ว่าจะเป็นประธานสภา รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร ในพื้นฐานเราเท่ากันเป็นสมาชิกเหมือนกัน แทรกคิวได้หรือไม่
ตอนแรกตนนัดแถลง 13.30 น. แต่คิวชนกัน จึงเลื่อนเวลามาเป็น 11.30 น. ซึ่งทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ต้องตื่นเช้าขึ้น เกือบมาไม่ทันเพื่อมาแถลงข่าว
“ผมบอกตามว่าแบบนี้ไม่ได้คนที่มีตำแหน่งเกือบสูงสุดควรมีพฤติกรรมที่น่าเคารพ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เจ้าหน้าที่ควรแจ้งว่าจะโดนสมาชิกท่านอื่นตำหนิ ผมคนหนึ่งที่ไม่ยอม”
ตนคิดว่า นายภราดรทราบอยู่แล้วว่าตนจะมาแถลง จะบอกว่าไม่ทราบเรื่องไม่ได้ เพราะสุดท้ายนายภราดรก็เป็นผู้แถลงจะต้องรับผิดรับชอบ หากยังทำแบบนี้อีกจะมีใครเคารพ
โรม จ่อตั้งกระทู้อนุทิน ถามว้าแดง เอาไฟฟ้าที่ไหนใช้? ปูดบริษัทเอี่ยว ลากไฟให้ ผลิตยาเสพติด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937235
“โรม” ฉะ “กลุ่มว้า” ต้นตอ แหล่งผลิตยาเสพติดในไทย ปูดมีบริษัทส่งไฟฟ้าไปขาย ลั่น ยาพันล้านเม็ด เอาไฟไหนมาใช้ เตรียมตั้งกระทู้ “อนุทิน” ทันที เปิดสมัย 12 ธ.ค. นี้ พ่วงถกหน่วยงานเกี่ยวข้องใน กมธ. 13 ธ.ค.
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกลุ่มว้าแดงที่ประชิดชายแดนไทยว่า ปัญหาตามแนวชายแดนเป็นเรื่องที่ กมธ.กังวลมาโดยตลอด ความกังวลระดับแรก ถ้ามีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ทิ้งระเบิดโดยรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งบางครั้งไม่ได้เจาะจงไปที่กลุ่มกองกำลัง มันไปกระทบต่อชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความขัดแย้ง ทำให้คนเหล่านี้ต้องอยู่อย่างไร้บ้าน มีคนที่จะต้องไปอยู่ตามค่ายต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นบ้านพักของตัวเองเกินกว่า 2 ล้านคน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทันทีคือ เขาจะข้ามไปที่ประเทศไทย ประเทศไทยเรารองรับผู้ลี้ภัยได้เต็มที่ได้แค่ 100,000 คนเท่านั้น เราไม่มีศักยภาพรองรับได้เยอะขนาดนั้น ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจะบอกว่า เป็นเรื่องของเมียนมาอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยไม่ได้ เพราะถ้าเกิดว่าความขัดแย้งเขาหนัก สุดท้ายคนจะหนีมาที่ประเทศเรา
นายรังสิมันต์ระบุว่า การจะไม่ให้เขาเข้าประเทศ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถึงที่สุด เขาหนีตาย ต้องทำทุกวิถีทางในการที่จะเอาตัวรอด ซึ่งถ้าเกิดว่าเป็นแบบนี้ เราจะไปขับไล่หรือดำเนินการก็จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย วันนี้เราเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ก็จะไปทำลายภาพลักษณ์หนักขึ้นไปอีก ดังนั้น ต้องบริหารกันดีๆ
“เมื่อพูดถึงเรื่องว้าแดง ก็จะมีเรื่องการรุกล้ำเขตแดนเข้ามาในประเทศไทยด้วย ผมเองก็จะเอาเรื่องนี้ พิจารณาในวันที่ 13 ธันวาคม รวมกับเรื่องเรือประมงที่ถูกเรือรบเมียนมายิง ว้าเขาโดดเด่นในเรื่องอาชญากรข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยาเสพติดจำนวนมากในหลายกรณีบ่งชี้ว่า แหล่งผลิตยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเขตอิทธิพลของว้า ดังนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่มีการล้ำเขตแดนมาที่ประเทศไทย และมากไปกว่านั้น กลุ่มที่ล้ำเขตแดน ต้องยอมรับว่าเขาเป็นกลุ่มที่อาจจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย มันอาจจะทำให้เราสามารถโยงได้ว่าปัญหายาเสพติดที่มันระบาดหนักในประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันก็อาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้หรือเปล่า ที่มีการรุ่งเรืองทั้งอำนาจและมีกองกำลังต่างๆ มากมาย” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์ย้ำว่า เรื่องนี้เป็นวาระสำคัญของประเทศไทยที่ต้องจัดการ คงไม่ได้พิจารณาใช้มาตรการการย้ายฐาน แต่คงจะรวมถึงปัญหายาเสพติดที่เป็นปัญหาร้ายแรงที่จะต้องจัดการอย่างจริงจัง ตนไปลงพื้นที่หลายพื้นที่ หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายาเสพติดในประเทศไทยถูกมาก สะท้อนว่าเราไม่มีศักยภาพในการปราบปรามยาเสพติดขนาดนั้น
“เมื่อพูดไปถึงว้า ผมเองคงต้องบอกว่าวันนี้ยาเสพติดที่ผลิตต้องมีสารตั้งต้น ต้องใช้พลังงาน ต้องใช้ไฟฟ้า ตามข้อมูลที่ได้รับมาไฟฟ้ามาจากฝั่งไทยที่ขายไปท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มว้า ผมก็เคยอภิปรายโยงไปถึงอดีต ส.ว.แล้ว และมีบริษัทที่มีกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังคือกลุ่มว้า ว้ามีอิทธิพลถึงขนาดที่เอาไฟฟ้าจากฝั่งประเทศไทยไปใช้งานได้ด้วย ผมไม่รู้หรอกครับว่าไฟฟ้าที่ใช้เอาไปใช้ผลิตยาเสพติดหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมรู้คือการผลิตยาเสพติดนับพันล้านเม็ด มันคงต้องใช้ไฟฟ้าไม่มากก็น้อย คำถามก็คือว่าฝ่ายนี้มาจากไหน ถ้าไม่ใช่มาจากประเทศไทย ซึ่งก็มีเส้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอยู่” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวทิ้งท้ายว่า เปิดสภามาวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ตนจะตั้งกระทู้ถามนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะทุกอย่างชัดเจนแล้วบริษัทที่เกี่ยวข้อง เช่น เงินที่เกี่ยวข้อง บัญชีม้าต่างๆ มันชัดเจน
มติกมธ.ที่ดิน ลุยสอบไร่ภูนับดาว ไม่สนเกี่ยวหวานใจใคร จ่อเรียกป่าไม้-ส.ป.ก.ลงพื้นที่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937632
“กมธ.ที่ดิน” ลุยตรวจ“ไร่ภูนับดาว“ 13 ธ.ค. ”พูนศักดิ์“ ยัน ไม่เกี่ยวหวานใจนักการเมือง ขอตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานถูกต้องหรือไม่ ชี้ในประเทศมีปัญหาเรื่องที่ดินนับแสนไร่
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ที่ประชุม กมธ.มีมติให้ลงพื้นที่ในการตรวจสอบถึงประเด็นปัญหารีสอร์ต “ไร่ภูนับดาว” ในวันที่ 13 ธันวาคม โดยจะลงพื้นที่ตรวจสอบในช่วงเช้า ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) ส่วนกลาง และกรมป่าไม้ เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังดูสถานที่ระหว่างศาลากลางจังหวัด หรือที่ว่าการอำเภอมวกเหล็ก จ.สระบุรี
นายพูนศักดิ์กล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะดำเนินการสอบข้อเท็จจริงในการใช้เอกสารสิทธิของ ส.ป.ก. ว่าดำนเนินการโดยชอบหรือไม่ โดยย้ำว่าไม่ได้มองเป็นประเด็นทางการเมือง แต่เป็นการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะการแจกจ่ายที่ดิน ส.ป.ก.และการดำเนินการใช้สิทธิของผู้ที่ได้รับที่ดิน ซึ่งถือเป็นปัญหาหลักของประเทศ ทาง กมธ.ฯประเมินแล้วว่ามีที่ดินหลายแสนไร่ที่มีปัญหาในเรื่องสิทธิ เพราะปัจจุบันทั่วประเทศไทยมีปัญหาเรืองที่ดิน ทั้งเอกสารสิทธิ ที่ดินของประชาชนถูกลิดรอน หลังจากการประกาศเขตป่าอุทยาน จนไปทับที่ทำกินของประชาชน ที่อยู่มานานแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ รวมถึงการแจกจ่ายสิทธิอาจจะให้กับคนที่ไม่มีคุณสมบัติ หรือมีคุณสมบัติแต่ถ่ายโอนให้บุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ทายาทตามกฎหมาย หรือประกอบกิจการที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ กมธ.ฯจะต้องสรุป และทำเป็นนโยบายเพื่อเสนอให้รัฐบาลแก้ไขในรัฐบาลต่อไป
“เคสไร่ภูนับดาว เรามองว่าเป็นเคสหนึ่งในจำนวนหลายเคสที่เกิดขึ้น จึงถือโอกาสทำการตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินร่วมกัน” นายพูนศักดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีการเมืองแทรกแซง เพราะมีข่าวของหวานใจนักการเมือง เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว นายพูนศักดิ์กล่าวว่า ยืนยันว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้ของ กมธ.ฯ ไม่ได้ดูว่าการเมืองทำให้มีประเด็นนี้เกิดขึ้นหรือไม่ แต่เป็นการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ทำโดยมิชอบ ส่วนเส้นทางการเงิน 10 ล้านบาทนั้น คิดว่าเกินขอบเขตการทำงานของ กมธ.ที่ดิน แต่ควรจะเป็นคณะกรรมาธิการอื่น เข้ามาตรวจสอบมากกว่า
กลุ่มส.ว.พันธุ์ใหม่ยันจุดยืน ให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวทำประชามติ ชี้ประชาชนเข้าถึงได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4937224
“ส.ว.พันธุ์ใหม่” ยันจุดยืนเสียงข้างมากชั้นเดียวทำประชามติ “นันทนา”จี้กำหนดกรอบเวลาให้ทันเลือกตั้งปี 70
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ แถลงจุดยืนถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ว่า ไม่ว่ามติของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ จะออกมาเป็นอย่างไร ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ที่เป็นเสียงข้างน้อยมีจุดยืนให้ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียวในการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เพราะทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ ตอบสนองเรื่องมุมมองทัศนคติ และเจตจำนงประชาชนได้ จึงไม่ควรกำหนดใช้เป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น
“การทำประชามติควรเป็นเจตนาประชาชนเช่นเดียวกับการออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ถ้าไปกำหนดว่าการเลือกตั้งทุกครั้งต้องเป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น อาจจะไม่ได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชน เพราะคนที่ไม่สามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งอาจมีเหตุผลมากมายที่ไม่ออกมา การใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวจะผลักดันให้การแก้รัฐธรรมนูญบรรลุเป้าหมาย และถ้าเป็นไปได้ควรมีกรอบเวลาเร็วพอในการทำประชามติ ให้เสร็จทันการเลือกตั้งปี 2570” น.ส.นันทนากล่าว
ด้านนายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กล่าวว่า การทำประชามติด้วยหลักเสียงข้างมาก 2 ชั้นนั้น ในต่างประเทศทำให้ผลการทำประชามติบิดเบือน เพราะจะส่งผลให้ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ประชามติผ่านจะรณรงค์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิน้อยที่สุด อาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ประชาชน ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศพยายามล้มการใช้หลักเสียงข้างมาก 2 ชั้นทำประชามติ จึงไม่จำเป็นที่ไทยต้องไปยึดปฏิบัติตาม