การทำสมถและวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยการเจริญอานาปานสติและสติปัฏฐาน 4 ด้วยการมีสติระลึกรู้ลมหายใจ เข้า-ออก รู้ลมเข้าตรงจุดไหนภาวนาที่จุดนั้นว่า พุท รู้ลมหายใจออกที่จุดไหนภาวนาว่า โธ ระลึกรู้ที่จุดไหนจิตก็อยู่ที่จุดนั้น นั่นแหละ คือ จิต หรือ ผู้รู้
การระลึกรู้ลมหายใจเข้า-ออกพร้อมภาวนา “พุทโธ” เป็นการลอกชั้นต่างๆ ที่จิตสร้างขึ้น เริ่มตั้งแต่
1.อายตนะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
2.วิญญาณขันธ์ อาการรู้ของจิตผ่านอายตนะทั้ง 6
3.ความสุข ความทุกข์
4.มโนสังขาร ความคิดปรุงแต่ง ความมีตัวตน
5.สัญญา ความทรงจำ จำได้หมายรู้
6.อวิชชา คือ ความมืดบอด ความไม่รู้ (ออกชั่วคราว)
เมื่อลอกออกจนหมด จิตคืนสู่สภาพเดิมแท้เป็น “มหาสติ” สักแต่ว่ารู้ ไร้สัญญา ไร้ความคิดปรุงแต่ง ไร้สุข ไร้ทุกข์ ไร้ความรู้สึกทางกาย ไร้รูปกาย-ลมหายใจ
จิตเด่นดวงหลุดพ้นจากกิเลส อวิชชาและขันธ์ 5 ผ่องใส ส่องสว่างเป็นประภัสสร แต่ยังมีเชื้ออวิชชาหลงเหลืออยู่ จิตตั้งอยู่ท่ามกลางความว่างไร้สมมุติบัญญัติ จิตเกิดปัญญาสว่างไสว นำมาพิจารณาความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จิตจะเกิดปัญญาบ่ายหน่ายขันธ์ 5
“ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ 5” หยุดการเวียน ว่าย ตาย เกิดของจิต
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
จิตเด่นดวงหลุดพ้นจากกิเลส อวิชชาและขันธ์ 5 ผ่องใส ส่องสว่างเป็นประภัสสร
การระลึกรู้ลมหายใจเข้า-ออกพร้อมภาวนา “พุทโธ” เป็นการลอกชั้นต่างๆ ที่จิตสร้างขึ้น เริ่มตั้งแต่
1.อายตนะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
2.วิญญาณขันธ์ อาการรู้ของจิตผ่านอายตนะทั้ง 6
3.ความสุข ความทุกข์
4.มโนสังขาร ความคิดปรุงแต่ง ความมีตัวตน
5.สัญญา ความทรงจำ จำได้หมายรู้
6.อวิชชา คือ ความมืดบอด ความไม่รู้ (ออกชั่วคราว)
เมื่อลอกออกจนหมด จิตคืนสู่สภาพเดิมแท้เป็น “มหาสติ” สักแต่ว่ารู้ ไร้สัญญา ไร้ความคิดปรุงแต่ง ไร้สุข ไร้ทุกข์ ไร้ความรู้สึกทางกาย ไร้รูปกาย-ลมหายใจ
จิตเด่นดวงหลุดพ้นจากกิเลส อวิชชาและขันธ์ 5 ผ่องใส ส่องสว่างเป็นประภัสสร แต่ยังมีเชื้ออวิชชาหลงเหลืออยู่ จิตตั้งอยู่ท่ามกลางความว่างไร้สมมุติบัญญัติ จิตเกิดปัญญาสว่างไสว นำมาพิจารณาความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จิตจะเกิดปัญญาบ่ายหน่ายขันธ์ 5
“ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ 5” หยุดการเวียน ว่าย ตาย เกิดของจิต
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม