เมื่อเจริญอานาปานสติ คือ มีสติรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมออก รู้ลมสั้น รู้ลมยาว รู้ลมหยาบ รู้ลมละเอียด รู้ปีติเกิด รู้ปีติดับ รู้สุขเกิด รู้สุขดับ รู้ลมหายใจดับ รู้กายดับ รู้อุเบกขา คือ ไม่สุข ไม่ทุกข์จนจิตรวมใหญ่ จิตหดเล็กเหมือนพุ่งผ่านรูเข็ม
เกิดสภาวะที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสอวิชชา จิตจะคลายออกจากขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ 5 พังทลายลงให้เห็นต่อหน้า ขันธ์ 5 เกิดจากการประชุมของธาตุ 6 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ความว่างและธาตุรู้ (จิต)
จิตแยกออกจากขันธ์ 5 ไม่สามารถสัมผัสถึงกาย ความคิดปรุงแต่ง ความรู้สึกสุข ทุกข์ ความทรงจำ ความรู้สึกรู้ทางอายตนะทั้ง 6 จิตว่างจริงๆ ไร้สมมุติปรุงแต่ง จิตตั้งมั่น ส่องสว่างเป็นประภัสสรท่ามกลางความว่างไร้สมมุติบัญญัติ ไร้กว้าง ไร้ยาว ไร้สูง ไร้สุข ไร้ทุกข์ ไร้กาลเวลา ไร้สมมุติทุกประการ
ฐีติ แปลว่า ตั้งมั่นดำรงอยู่
จิตเกิดปัญญาตื่นรู้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ 5 เราไม่ใช่จิต เรา คือ การปรุงแต่งของจิตที่มีอวิชชาครอบงำ เมื่อไร้อวิชชา ความปรุงแต่งก็ไม่เกิดขึ้น ไม่มีตัวเรา ของเราอีกต่อไป
ถ้ายังแยกธาตุแยกขันธ์ แยกจิตแยกกายไม่เป็น อย่ามาคุยเรื่องปัญญา
เกิดสภาวะที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสอวิชชา จิตจะคลายออกจากขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ 5 พังทลายลงให้เห็นต่อหน้า ขันธ์ 5 เกิดจากการประชุมของธาตุ 6 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ความว่างและธาตุรู้ (จิต)
จิตแยกออกจากขันธ์ 5 ไม่สามารถสัมผัสถึงกาย ความคิดปรุงแต่ง ความรู้สึกสุข ทุกข์ ความทรงจำ ความรู้สึกรู้ทางอายตนะทั้ง 6 จิตว่างจริงๆ ไร้สมมุติปรุงแต่ง จิตตั้งมั่น ส่องสว่างเป็นประภัสสรท่ามกลางความว่างไร้สมมุติบัญญัติ ไร้กว้าง ไร้ยาว ไร้สูง ไร้สุข ไร้ทุกข์ ไร้กาลเวลา ไร้สมมุติทุกประการ
ฐีติ แปลว่า ตั้งมั่นดำรงอยู่
จิตเกิดปัญญาตื่นรู้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ 5 เราไม่ใช่จิต เรา คือ การปรุงแต่งของจิตที่มีอวิชชาครอบงำ เมื่อไร้อวิชชา ความปรุงแต่งก็ไม่เกิดขึ้น ไม่มีตัวเรา ของเราอีกต่อไป