เล่าสู่กันฟัง - รักษาลูก จน LD เกือบหาย แต่ฟ้าผ่าที่กลางใจ ส่งโรคใหม่มาให้ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง”

----- เกริ่นนำ
ผมและครอบครัวรักษาอาการ LD ของน้องจนแทบจะเรียกว่า หายเหมือนเด็กปกติ อาจมีกวนๆ มั่ง แต่ก็ไม่มีพิษภัยกับใคร เขาอยู่ข้างนอกกับคนอื่นๆ ค่อนข้างเป๊ะ โดยเฉพาะครู เพื่อน ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติได้ แต่อยู่กับพ่อแม่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ตอนนี้น้องอายุ 12 ย่าง 13 อยู่ชั้น ม 1 เรียนได้ปกติ กับเด็กปกติในชั้นเรียน ในห้องเรียนวิทย์-คอมที่เขาเลือกเอง ใน ร.ร.ธรรมดา มีความรับผิดชอบระดับหนึ่งตามวัย ไปกลับโรงเรียนเองได้เช้าผมไป drop ที่ป้ายรถเมล์ และข้ามสะพานลอยและเดินไปอีกหน่อยเข้าไปโรงเรียน ส่วนตอนเย็นให้กลับบ้านเอง จะโดยวิธีการใดก็แล้ว แต่ จะนั่งวินมอไซค์จากโรงเรียนมาบ้าน เดินจาก รร มา แล้วมาขึ้นสองแถว หรือจะไปแวะห้างซื้อของกินก็ตามแต่ ภายในวงเงินค่าขนมแต่ละวันต้องบริหารจัดการเอาเอง
กระทู้ของผมเกี่ยวกับน้องตอนรักษา LD
https://ppantip.com/topic/32396067
https://ppantip.com/topic/33263961
https://ppantip.com/topic/35645534
https://ppantip.com/topic/38443978
 
----- ปฐมบท ...
วันที่พวกเราเจอว่าเขามีอาการ คือ วันที่เขานั่งเล่นเกมส์ และบังเอิญเหมือนว่าจะมีตุ่มแดงที่คอ แม่จึงเอามือเอื้อมไปแตะ แต่ปรากฎว่าเขาปัดและไปโดนบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่ต้นคอ ก็อุทานออกมาว่าเจ็บ จึงเริ่มจับ ปรากฏว่า น้องเจ็บแต่ไม่มาก ซึ่งก็เห็นว่า บวมจริง ถามว่าเอ๊ะใจมาก่อนไหม ก็ เห็นว่า บวมๆ แต่ด้วยความที่หลังๆ เขาน้ำหนักขึ้น ก็เลยไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไร อาการบวม นี้ ก็เข้าใจว่า อาจเป็นอาการอักเสบทั่วไป ไม่ได้ตื่นเต้นหรือคิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร เพราะ เคยมี case ของพี่สาวที่เป็นต่อมน้ำเหลืองโต แล้วหายไปเอง (ปกติหากร่างกายปกติ มันจะหายและยุบไปเอง)  และเนื่องจาก วันที่เจอเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็น และวันอังคารมีนัดหาหมอพัฒนาการที่ รพ จึงไม่ได้ตกใจหรือแปลกใจอะไร 
 
วันอังคาร ( 13 ธค) หลังจากปรึกษา พัฒนาการของน้องเรียบร้อย ก็ถามอาจารย์หมอ หมอก็ลองคลำก็บอกว่า มันโตนะ หมอสอบถามว่า นานหรือยัง ก็แจ้งไปว่าเจอเมื่ออาทิตย์เย็น แต่หมอถามน้อง น้องบอกว่า เป็นมาเกือบสัปดาห์แต่มันไม่เจ็บ เพิ่งมากดแล้วเจ็บเมื่อวันเสาร์ หมอจึงจ่ายยาให้ทาน ซึ่งเป็นแอลม๊อกซิลินให้ทานทั่วไป แต่อาจารย์ ก็ทำนัดหมออายุรกรรมไว้ต่ออีก 1 สัปดาห์ และอาจารย์ย้ำว่า หากไม่ยุบไม่หายต้องมาหาหมอตามที่นัดไว้นะ เพื่อมาตรวจให้ละเอียด
 
หลังจากทานยา จากวันอังคาร จนถึงวันเสาร์ (17 ธค)  ก็สังเกตเห็นว่า มันไม่ยุบ จึงไปหา ศูนย์แพทย์ ซึ่งเขาก็ส่งไปให้ อาจารย์หมอกุมารเวชดู  และท่านก็คลำทุกจุด ทั้งบริเวณคอ ใต้รักแร้ ขาหนีบ และลองเคาะท้อง ท่านแจ้งว่า ต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ โตบ้าง ขาหนีบไม่เจอ คอชัดเจน แต่น้องไม่ค่อยร่วมมือบอกจั๊กกะจี้ หมอจึงขอ เจาะเลือดและขอ x-ray ปอด คอดลงมาถึงเอว เมื่อเวลาผ่านไปสัก ครึ่งชั่วโมง พบหมออีกครั้ง ครั้งนี้หมอสีหน้าเคร่งเครียดมาก หมอพูดว่า อยากส่งต่อให้คุณหมอท่านอื่นดู พร้อมเรียกพยาบาล และแจ้งว่า เรามีแพทย์ cancer ไหม (ผมได้ยินไม่ถนัด แต่ก็พอทราบศัพท์คำนี้) พยาบาลหายไปซักพักแล้วเข้ามาแจ้ง อาจารย์หมอว่า ต้อง รพ เลยค่ะอาจารย์ หมอท่านนั้นแจ้งว่า ขอให้ไป รพ นะครับ ผมก็ถามย้ำว่าน้องเป็นอะไร อาจารย์ก็บ่ายเบี่ยง จนเหมือนคิดว่า ผมน่าจะรู้ จึงตอบว่า ผมไม่กล้าวินิจฉัย แต่ผมจะเขียนหนังสือส่งตัวให้ พร้อมให้ไป copy ฟิล์ม x-ray ไปด้วย หมอย้ำว่า คุณต้องไป รพ นะครับ แต่ในใจผมรู้แล้วว่ามันใช่แน่ๆ ตั้งแต่หมอพูดว่า cancer ลูกผมอาจเป็น มะเร็ง  แต่ก็คิดว่า ไม่น่าจะใช่ แต่ในใจนึงก็สับสนมาก ทางผมและภรรยาก็พยายามถามหมอตลอด ซึ่งหมอก็เหมือนจะรู้ว่า ผมรู้ ตอบอย่างเดียวว่า ให้ รพ วินิฉัย ทางนี้อาจวินิจฉัยได้ไม่ครบถ้วน ผมมามองอ่านผลเลือดค่าปกติหมด แต่ผมอ่านผลฟิล์ม x-ray แปลเป็นไทย ต่อมไทมัสและหัวใจ โตผิดปกติเล็กน้อย จนข้ามวันอาทิตย์ เช้าวันรุ่งขึ้น (18 ธค) ผมจะลองไปตรวจอีกที่กับอีกหมอ ที่ รพ เอกชน แต่ภรรยาผมทัดทาน  
 
ผมทนรอ 2 วัน ในความรู้สึกที่กระวนกระวาย จนถึงวันอังคาร (20 ธค) ที่ อาจารย์หมอพัฒนาการ ช่วยนัดหมออายุรกรรมให้ ซึ่งก็ไปนั่งรอปกติ พอไปถึงคิวตรวจ เจอ นิสิตแพทย์มาเรียกไปถามเยอะมาก จนสรุปว่า จะให้ยากลับบ้าน แต่เป็นยาที่แรงขึ้น (อ๊อกเมนติน) แต่เนื่องจาก ผมมี film x-ray ไป และภรรยาผมบอกว่ามี file x-ray มาด้วย แต่เป็นในรูปแบบ cd ต้องไปลงในระบบก่อน นิสิตแพทย์ท่านนั้น ก็บอกว่า กำลังจะบอกว่า อยากดูฟิล์มด้วย ผมไปดำเนินการใช้เวลาประมาณ 45 นาที หมอท่านนั้นบอกว่า ขอดูผลสรุปที่เป็นกระดาษแนบมากับฟิล์ม x-ray ที่ ศูนย์แพทย์แจ้งมาที และสักพักหมอท่านนั้นเดินออกมา แจ้งว่า เดี๋ยวขอปรึกษา พี่ก่อน พอสักพักใหญ่ หมอท่านั้น เดินออกมา บอกว่า คุณพ่อ ขอเจาะเลือดน้องอีกครั้ง และขอ x-ray ใหม่ ซึ่งผมยังไม่แปลกใจ เพราะว่า รพ ส่วนใหญ่ไม่เชื่อผลจากภายนอกเท่าใด
 
แต่เมื่อผมเดินเอาใบเจาะเลือดมาให้พยาบาล พยาบาลที่ชั้นตรวจถามคำนึงขึ้นมาว่า คุณพ่อพอทราบไหม ทำไมหมอให้คาเข็ม ซึ่งผมรุ้ทันทีว่าการคาเข็ม คือ การต้องนอน รพ และหมอท่านั้น ซึ่งจากเดิมมีสีหน้าไม่เครียด ปรากฏว่า หน้าเครียดเดินผ่านมาพอดีบอกว่า คุณพ่อต้องขอให้น้อง admit นะคะ อยากตรวจละเอียด ผมถาม น้องเป็นอะไร หมอบอก ขอตรวจละเอียดก่อนนะ ตอนนั้นผมและภรรยาใจไม่ดีเลย น้องเริ่มกระบวนการคาเข็ม และเจาะให้น้ำเกลือ แต่เนื่องจากเป็น รพ รัฐ กระบวนการหาห้องก็จะช้าหน่อย 

----- เริ่ม admit
ผมโชคดีตรงที่น้องมาหาหมอพัฒนากรตั้งแต่เล็ก และอาจารย์หมอเป็นคนส่งต่อน้องให้ตรวจกับอายุรกรรม จึงทำให้ได้ห้องไม่ช้ามากนัก พอน้องเริ่มกระบวนการคาเข็ม ติดพักเที่ยงพอดี พยาบาลแจ้งว่า ให้ลงไปหาข้าวปลาให้น้องทานก่อน ให้น้องนอนบนเตียง ชั้นตรวจไปก่อน ก็บอกน้องให้รอ  กว่าจะลงลิฟท์ได้ ก็ใช้เวลานาน ร้านอาหารก็อยู่ไกล ระหว่างทางเดินไปร้านอาหาร พยาบาลโทรเข้ามามือถือบอกว่าผมได้ ห้องแล้ว ให้รีบขึ้นมา ผมและภรรยาก็ต้องรีบซื้อหาอาหาร และรีบขึ้นไป ปรากฏว่า เป็นห้องสามัญ ซึ่งผมก็เข้าใจ แต่ก็แจ้งกับพยาบาลในเบื้องต้นทีชั้นตรวจแล้วว่า ขอห้องคู่ เพราะน้องมีภาวะ LD อยากจะเฝ้าน้อง และน้องส่วนใหญ่จะนอนกับแม่ตลอด แต่เมื่อได้ห้องสามัญก็เข้าใจได้ 
 
เมื่อมาที่ตึก น้องก็ถูกซักประวัติอย่างหนักจาก นศ แพทย์ และหมอที่มาเรียน วว ซึ่งโรคมะเร็งจะถูกตีเป็นโรคเลือด สักพักมีหมอมาแนะนำตัว และแจ้งว่า จะเก็บเลือดน้องอย่างละเอียดทุกอย่าง และผล film x-ray ก็มา ก้ดูแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากศูนย์แพทย์เท่าใดนัก แต่ถามหมอว่า น้องเป็นอะไร หมอก็บอกว่า น่าจะเป็นแบบที่คุณพ่อคุณแม่สันนิษฐานไว้ แต่ผมก็ยังใจดีสู้เสือ แบบมีความหวัง บอก อาจไม่เป็นก็ได้ใช่ไหม หมอบอกว่า น่าจะแน่นอนนะคะ เพราะเวลาเราตั้งเราจะตั้งที่สูงสุดไว้ก่อนค่ะ วันนั้นเป็นวันที่ผมและภรรยาเจ็บปวดมากวันหนึ่ง 
 
ก่อนผมจะวิ่งกลับไปบ้านเพื่อไปเอาของใช้ที่จำเป็นและกลับมาที่ รพ อีกครั้ง พยาบาลเดินมาแจ้งว่า คุณแม่จะเฝ้าไหม ผมและภรรยาก็ งง เพราะ ห้องสามัญมันเฝ้าไม่ได้ อ้อ รพ มีกฎการเยี่ยมเป็นเวลา คือ 11-13 น. และ 17-19 น. แต่พยาบาลบอกว่า เฝ้าได้ แต่มารู้ทีหลังว่า พยาบาลเห็นว่า น้องเป็น LD กลัวเอาไม่อยู่ จึงให้แม่เฝ้า แม่ก็เฝ้าตามสภาพที่เอื้ออำนวยให้นั่งมากกว่านอน และสุดท้าย คือ งง มาก มีเจ้าหน่าที่ธุรการของ รพ มาตำหนิบอกว่า มีเวลาเยี่ยมอยู่นะคะ ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งผมและภรรยาเข้าใจ แต่พยาบาลบอกให้อยุ่ก็เลยแจ้งเขาไปว่า พยาบาลบอกว่า ให้อยู่ดูน้องได้ แต่น้องธุรการนี่ก็มาย้ำเตือนว่า ไม่ได้ แต่สุดท้ายภรรยาผมก็อยู่ เพราะถือว่า พยาบาลอนุญาติแล้ว ไม่สนใจ 555 พอตอนเย็นมากหมอมาแจ้งว่า ผลเลือดที่เจาะไปปกติทุกอย่าง อย่างน้อยใจชื้นหน่อยละว่า ไม่มีอาการบ่งชี้
 
ผมและภรรยามีความคล้อยตามว่า น้องอาจจะเป็นโรคนั้นจริงๆ เพราะดูเหมือน หมอจะมั่นใจมาก แต่ถ้าเวลาที่น้องถามผมจะบอกน้องว่า น้องเป็นแค่ต่อมน้ำเหลืองโต อาจต้องรักษานานหน่อย แต่คำพูดที่แทงใจดำและเหมือนน้องรู้ว่า โรคต่อมน้ำเหลืองนี้ไม่ธรรมดาเป็นคำพูดที่ผมสะเทือนมากเพราะเป็นช่วงที่ผมอยู่กับน้องคนเดียว และน้องก็บอกขึ้นมาว่า 

“ป๊า ถ้าหนูไม่หาย หนูก็จะไม่ได้อยู่ในโลกนี้ใช่ไหม”  

คำพูดนี้ ทำผมสะเทือนมาก น้ำตาผมคลอแต่ไม่ไหล และให้ไหลไม่ได้ น้ำตาจะหล่นไม่ได้ ผมพูดตอบกลับด้วยเสียงที่เรียบกับน้องปนสั่น ไม่หรอก หมอรักษาหายอยู่แล้ว แต่นานหน่อยนะ และผมก็รีบไปห้องน้ำทันที ทันทีที่ผมปิดประตุห้องน้ำ น้ำตาไหลออกมาอย่างพร่างพรู และต้องรีบสงบ เพื่อกลับไปดูลูกต่อ

----- เจาะน้ำไขสันหลังตรงสะโพกและย้ายห้อง
Step 2 ของหมอก็บอกว่า ขอเจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจ ซึ่งหมอก็แจ้งวิธีการและจะเจาะในวันรุ่งขึ้น (21 ธค) ซึ่งพอตอนเช้า เขาก็มารเริ่มกระบวนการเจาะน้ำไขสันหลังไป ตรวจด้วยการบล็อกหลัง สภาพของเด็ก ทุกท่านน่าจะเข้าใจว่า เจ็บขนาดไหนแม้มีการบล๊อกหลัง ร้องลั่นห้องสามัญ ทั้งชั้น และก็หลับไปหลังจากทำ ซึ่งหมอแจ้งว่า อาจไม่ต้องรอผลตรวจเป็นทางการแค่ดูเฉยๆ ประมาณ 2-3 ชม ก็พอจะทราบแล้วว่าเป็นหรือไม่ ผลสรุปออกมา ไม่เป็นไม่พบไม่เจอ ผมใจชื้นขึ้นมาก ผมคิดเสมอว่า ถ้าเจ็บแล้วไม่เจอไม่เป็น ก็คือจบ แต่ไม่จบ หมอบอกว่าไม่เสมอไป ต้องแน่ใจ Clear คือ การเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ แต่ขอรอผลทางการอีกสักหน่อย ซึ่งระหว่างนี้ ปรากฏว่าได้ห้องเป็นห้องคู่แล้ว ได้ย้ายห้อง และได้เฝ้าไข้ได้อย่างเป็นทางการ และจะได้ไม่โดนธุรการตำหนิ
 
เหตุแห่งการไม่ได้ห้องคู่แต่แรก - ผมและภรรยาเพิ่งมาทราบสาเหตุก่อนออกจาก รพ รอบ 2 ว่า สาเหตุที่ไม่ได้ห้องคู่ตั้งแต่ต้นคือ น้องเป็น LD ทาง ward แต่ละ ward ขอตั้งรับก่อน โดย ward สามัญก็ตั้งรับโดยให้แม่อยู่ดูแลน้อง และสังเกตอาการน้องว่า จะ ok ไหมและรายงาน ward ห้องคู่ ส่วน ward ห้องคู่ จริงๆ น้องต้องมาอยู่ที่ ward ตั้งแต่วันแรกที่เข้า แต่ ward ขอตั้งรับ โดยประชุมพยาบาลใน ward ตั้งรับกัน เพราะคิดว่า น้องต้องยาก ต้องเยอะ เตียงน้องเป็นเตียงกรง เด็กเล็ก 555 ซึ่งผมเข้าใจนะครับ เพราะ เขาไม่ได้รู้จักลูกเรามาตั้งแต่ต้น และพอมา ward ห้องคู่แรกๆ พยาบาลทำหน้าเหมือนไม่อยากมายุ่งน้องเยอะ หน้าบึ้งๆ และประเด็นที่สำคัญ คือ ใน ward ห้องคู่ มีการติด covid มิน่าให้เราไปอยู่ห้องคนเดียว ทุกห้องมีเด็กคนเดียวทั้งที่เป็นห้องคู่

ถัดไป เริ่มกระบวนการรักษา ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่