ฝ่ายค้าน ไม่ยอม! จี้เลื่อนซักฟอก ไม่เกิน 3 ก.พ. ดักคอ อย่าดึงนาน-ยุบสภา-ปิดกั้น
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7456141
ฝ่ายค้าน รุมอัด ครม. กำหนดเวทีซักฟอกหลัง 15 ก.พ. ชี้ไร้เหตุผล จี้เลื่อนซักฟอกไม่เกิน 3 ก.พ. ดักคอ อย่าดึงนาน-ยุบสภาหนี-ปิดกั้น
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 12 ม.ค. 2566 ที่รัฐสภา นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติส่งหนังสือแจ้งกลับมายังสภาฯ เรื่องญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่าสะดวกที่จะมีการประชุมญัตติดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป โดยมอบให้นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาประชุมหารือกับวิป 2 ฝ่าย เพื่อกำหนดวันและเวลาที่จะอภิปรายอีกครั้งนั้น
นายสุขุมพงศ์ กล่าวต่อว่า ฝ่ายค้านเห็นว่าการที่ครม.ให้เริ่มอภิปรายวันที่ 15 ก.พ.นั้น ถือว่าล่าช้า ซึ่งท่านไม่ได้แจ้งเหตุผล ทราบเพียงเหตุผลจากสื่อมวลชนเท่านั้นว่า ท่านอ้างว่าวันที่ 14 ก.พ. เป็นวันแห่งความรัก อยากให้คนรักกัน ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าว ฝ่ายค้านเห็นว่าการที่มีหนังสือเช่นนี้ น่าจะคลาดเคลื่อน น่าจะขาดเหตุผล จึงขอให้กำหนดวันประชุมใหม่ ไม่เกินวันที่ 1-3 ก.พ.นี้
ด้านนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนมี 3 ประเด็นที่อยากจะเน้นย้ำ 1.อย่าดึงนาน 2.อย่ายุบสภาหนี 3.อย่าปิดกั้น คือต้องให้เวลาอภิปรายอย่างเต็มที่ เนื่องจากฝ่ายค้านมีประเด็นที่จะต้องอภิปรายหลายเรื่อง ตั้งแต่ที่รัฐบาลแถลงนโยบายมา ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการลงมติในสภา แต่ประชาชนจะลงมติในคูหา เราต้องการอภิปรายเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เต้น เปรียบประยุทธ์ เป็นเหล้าเก่าในขวดแตก หลังเข้ารทสช. ศูนย์รวมอดีต ไม่มีอนาคต
https://www.matichon.co.th/politics/news_3768027
‘เต้น’ อัด ‘บิ๊กตู่’ เข้า รทสช. แค่ที่รวมแต่คนเป็นอดีต เย้ย อีกไม่นานคงเป็นอดีตนายกฯ บ้าง จวก สัปปายะสภา กลายเป็นสถานที่สับ ‘ประยุทธ์’ ของคนที่ต้องการเพิ่มกล้วย ลั่น ต้องหยุดความอัปยศนี้ได้แล้ว
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 12 มกราคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ด้วยว่า นึกว่า พล.อ.
ประยุทธ์ จะแสดงแสนยานุภาพทางการเมืองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ หลังจากยึดครองอำนาจต่อเนื่องมา 8 ปี แต่พบว่า ไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่เป็นเหล้าเก่าในขวดแตกคือ การรวมเอาคนที่แตกออกจากพรรคต่างๆ มาอยู่ด้วยกันและพบว่า ไม่มีบุคคลที่เป็นที่รู้จัก หรือเป็นที่ยอมรับกันในสังคม เป็นคนใหม่ทางการเมือง ปรากฏตัวร่วมงานกับ พล.อ.
ประยุทธ์ แต่อย่างใด จึงมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่อดีต เพราะเต็มไปด้วยอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี
ตนจึงเชื่อว่าจะส่งผลให้ พล.อ.
ประยุทธ์ กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในไม่ช้า ดังนั้น การตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเต็มตัวของ พล.อ.
ประยุทธ์ แท้จริงไม่ใช่เป้าหมาย แค่การเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีก 2 ปี ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่อีกฟากฝั่งหนึ่ง มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหว สับไพ่รอหรือไม่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ได้ศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 โดยระบุว่า มีปัญหาที่น่าสนใจในบทบัญญัติในมาตรา 158 ว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี โดย ส.ว.กลุ่มนี้ชี้ว่ามีบทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาแก้ไข
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า จึงตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดบทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เคยมีปฏิกิริยา ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยมีท่าทีที่แสดงออกว่า ไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ส.ว.250 คน ยกมือตามสั่งมาตลอด แต่เมื่อ พล.อ.
ประยุทธ์ จะอยู่ครบ 8 ปีจริง กลับมีมติเห็นตรงกันว่ามาตรานี้มีปัญหา หมายความว่า พล.อ.
ประยุทธ์จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ต้องใช้เสียง ส.ส.และ ส.ว.แก้ไขมาตรานี้แน่นอน
“
ถ้าไม่ได้เตรียมกันไว้ ก็ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดให้ชัดว่า หลังเลือกตั้งแล้ว จะอยู่แค่เวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ผมไม่ได้ก้าวก่ายงานการเมืองของท่าน แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดให้ชัดว่าไม่ใช่เตรียมกันไว้ ไม่ใช่การสับไพ่รอ เมื่อเลือกตั้งให้เสร็จแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ มาจั่วน็อกชนะ ผมขอส่งสัญญาณให้ประชาชนรู้เท่าทัน วันนี้หากเส้นทางที่จะยุติ พล.อ.ประยุทธ์ มีทางเดียวคือการได้รัฐบาลประชาธิปไตยมาจะเกิดได้คือ จำเป็นต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่งในฟากฝั่งประชาธิปไตยชนะเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ยืนหนึ่งเอาไว้ก่อน ไม่ใช่แค่ 2 ปี แต่จะเป็น 4 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ต่อ ผมขอเรียกร้องโดยตรงถึง พล.อ.ประยุทธ์ ผมหวังใจว่าคนที่ประกาศตัวไม่เคยกลัวอะไร เป็นลูกผู้ชาย สง่าผ่าเผยมาตลอด คงไม่อ้ำอึ้ง พูดให้ชัด เพราะคนทั้งประเทศรู้อยู่แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร” นาย
ณัฐวุฒิกล่าว
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า สภาพการเมืองไทยในขณะนี้ คือความล่มสลายทั้งระบบของการเมืองไทย ภายใต้เป้าหมายปฏิรูปหลังรัฐประหาร คือใบเสร็จที่ พล.อ.
ประยุทธ์ เคยประกาศเอาไว้ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นคำลวงโลก ไม่มีการปฏิรูปใดๆ การเมืองย้อนหลังออกไปหลายสิบปี มีการแจกกล้วย ซื้อตัวย้ายพรรคโจ่งแจ้งที่สุดเป็นประวัติการณ์ บทบาทของฝ่ายการเมืองในสภา กลายเป็นพื้นที่พบปะเพื่อต่อรองผลประโยชน์ในการย้ายข้างเท่านั้น ทั้งที่งานหลักของสภาคือ การนำเสนอกฎหมาย นำเสนอทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน ขณะนี้ไร้ความหมายไปแล้วภายใต้รัฐบาลชุดนี้ สภาไม่เรียกว่าล่ม แต่เรียกว่าเละ พล.อ.
ประยุทธ์ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยแสดงความรู้สึกรู้สา เพราะ พล.อ.
ประยุทธ์ไม่ได้ถือกำเนิดในสภา จึงไม่ได้เคารพในแนวทางนี้ คิดอยู่อย่างเดียวคือหาคนเข้าพรรคให้มากๆ สัปปายะสภาสถานกลายเป็นสถานที่สับประยุทธ์ ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มกล้วยดึงตัว ส.ส.เข้าสภาเท่านั้น ตนถือว่าเป็นความอัปยศ และไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ต้องหยุดลงและต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ได้
‘โรม’ ซัดสตช. ยื้อใช้พ.ร.บ.อุ้มหาย ไล่ ‘ผบ.ตร.’ อ้างไม่พร้อม ก็ลาออกไป
https://www.matichon.co.th/politics/news_3768543
‘โรม’ ซัด ‘สตช.’ ยื้อ ‘พ.ร.บ.อุ้มหาย’ อ้างไม่พร้อม ทั้งที่ทุกหน่วยงานเห็นว่าสามารถทำได้ ไล่ ‘ผบ.ตร.’ ถ้าไม่พร้อมก็ลาออก ให้คนอื่นมาทำแทน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 มกราคม ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา พล.ต.อ.
ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในหนังสือขอให้มีการชะลอในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการอุ้มหายและการซ้อมทรมาน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรหลายเดือนแล้ว แม้จะผ่านสภาฯ ไป แต่ก็ยังไม่ได้บังคับใช้ทันที เนื่องจากต้องรอประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และมีการกำหนดระยะเวลาเอาไว้เพื่อให้หน่วยงานราชการได้เตรียมตัว แต่ข้อกังวลหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่เกรงว่าจะดำเนินการไม่ได้ คือกระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหา ที่บังคับให้ติดกล้องบันทึกภาพไว้ เพื่อให้ตรวจสอบได้ว่าเป็นการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการซ้อมทรมาน ทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของหลายๆ ประเทศ หากกลับมาดูที่ประเทศของเรา ที่ผ่านมามีหลายกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการซ้อมทรมาน หรือเป็นการควบคุมตัวที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของสากล
“
เจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ เป็นเจตนารมณ์ที่ดี ซึ่งเราให้เวลากับ สตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากเพียงพอ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ผบ.ตร. กลับบอกว่า ถ้าจะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้จะต้องมีการจัดซื้อกล้องบันทึกภาพและเสียงจำนวนมาก แล้วต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐนับสองแสนนาย และบอกว่าระยะเวลาเท่านี้ไม่เพียงพอ จึงต้องการให้มีการชะลอออกไปก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าการเลื่อนครั้งนี้ ผบ.ตร.คงหมายถึงให้ใช้พระราชกฤษฎีกา ในการเลื่อนบังคับใช้ตัวพระราชบัญญัติดังกล่าวออกไป ซึ่งในความเห็นผมไม่สามารถทำได้” นาย
รังสิมันต์ กล่าว
นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า ทั้งนี้ อนุกรรมาธิการยุติธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญตัวแทน สตช. โดยมี พล.ต.อ.
สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มาชี้แจง ย้ำว่า สตช.มีความพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ ความไม่พร้อมของอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่จะไม่ทำตามกฎหมายฉบับนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็ตอบชัดเจนว่าสามารถปฏิบัติตามได้ หากมีข้อขัดข้องใดก็ใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพแก้ปัญหาไปก่อน หรือหากจำเป็นต้องซื้อกล้องจริงก็สามารถเบิกงบกลางมาใช้ก่อนได้
“
ตกลงท่านเป็นไบโพลาร์หรือ เอาอย่างไรกันแน่ รอง ผบ.ตร. เป็นตัวแทนมาชี้แจงต่ออนุกรรมาธิการ ท่านบอกอย่างชัดเจนว่าพร้อม แล้วเราก็ให้คำแนะนำไปด้วยว่าใช้งบกลางได้ แต่พอมาเวลานี้ท่านกลับทำหนังสืออีกแบบหนึ่ง” นาย
รังสิมันต์ กล่าว
นาย
รังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ อย่าใช้วิชามาร ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อเลื่อนกฎหมายฉบับนี้ออกไป ซึ่งประเทศไทยได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก การกระทำเช่นนี้จึงถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเปรียบเหมือนไร้กระดูกสันหลังต่อสายตาต่างประเทศ ที่ออกกฎหมายที่ดีมาแต่ไม่บังคับใช้ เท่าที่ตนได้สำรวจใน สน.หลายแห่ง ก็เริ่มมีความพร้อมสำหรับการบังคับใช้กฎหมายนี้แล้ว แต่คนแรกที่บอกว่าไม่พร้อมก็คือ ผบ.ตร.เอง ตนเห็นว่าถ้าไม่พร้อมก็ควรออกไป เพราะมีคนอื่นที่พร้อมกว่า
JJNY : 5in1 จี้เลื่อนซักฟอก ไม่เกิน 3 ก.พ.│เต้นเปรียบประยุทธ์│‘โรม’ ซัด สตช.│พริกพุ่ง 300 บ.│ปูตินสั่งปลดฟ้าผ่า แม่ทัพ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7456141
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 12 ม.ค. 2566 ที่รัฐสภา นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติส่งหนังสือแจ้งกลับมายังสภาฯ เรื่องญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่าสะดวกที่จะมีการประชุมญัตติดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป โดยมอบให้นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาประชุมหารือกับวิป 2 ฝ่าย เพื่อกำหนดวันและเวลาที่จะอภิปรายอีกครั้งนั้น
นายสุขุมพงศ์ กล่าวต่อว่า ฝ่ายค้านเห็นว่าการที่ครม.ให้เริ่มอภิปรายวันที่ 15 ก.พ.นั้น ถือว่าล่าช้า ซึ่งท่านไม่ได้แจ้งเหตุผล ทราบเพียงเหตุผลจากสื่อมวลชนเท่านั้นว่า ท่านอ้างว่าวันที่ 14 ก.พ. เป็นวันแห่งความรัก อยากให้คนรักกัน ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าว ฝ่ายค้านเห็นว่าการที่มีหนังสือเช่นนี้ น่าจะคลาดเคลื่อน น่าจะขาดเหตุผล จึงขอให้กำหนดวันประชุมใหม่ ไม่เกินวันที่ 1-3 ก.พ.นี้
ด้านนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนมี 3 ประเด็นที่อยากจะเน้นย้ำ 1.อย่าดึงนาน 2.อย่ายุบสภาหนี 3.อย่าปิดกั้น คือต้องให้เวลาอภิปรายอย่างเต็มที่ เนื่องจากฝ่ายค้านมีประเด็นที่จะต้องอภิปรายหลายเรื่อง ตั้งแต่ที่รัฐบาลแถลงนโยบายมา ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการลงมติในสภา แต่ประชาชนจะลงมติในคูหา เราต้องการอภิปรายเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เต้น เปรียบประยุทธ์ เป็นเหล้าเก่าในขวดแตก หลังเข้ารทสช. ศูนย์รวมอดีต ไม่มีอนาคต
https://www.matichon.co.th/politics/news_3768027
‘เต้น’ อัด ‘บิ๊กตู่’ เข้า รทสช. แค่ที่รวมแต่คนเป็นอดีต เย้ย อีกไม่นานคงเป็นอดีตนายกฯ บ้าง จวก สัปปายะสภา กลายเป็นสถานที่สับ ‘ประยุทธ์’ ของคนที่ต้องการเพิ่มกล้วย ลั่น ต้องหยุดความอัปยศนี้ได้แล้ว
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 12 มกราคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ด้วยว่า นึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงแสนยานุภาพทางการเมืองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ หลังจากยึดครองอำนาจต่อเนื่องมา 8 ปี แต่พบว่า ไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่เป็นเหล้าเก่าในขวดแตกคือ การรวมเอาคนที่แตกออกจากพรรคต่างๆ มาอยู่ด้วยกันและพบว่า ไม่มีบุคคลที่เป็นที่รู้จัก หรือเป็นที่ยอมรับกันในสังคม เป็นคนใหม่ทางการเมือง ปรากฏตัวร่วมงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อย่างใด จึงมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่อดีต เพราะเต็มไปด้วยอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี
ตนจึงเชื่อว่าจะส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในไม่ช้า ดังนั้น การตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเต็มตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ แท้จริงไม่ใช่เป้าหมาย แค่การเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีก 2 ปี ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่อีกฟากฝั่งหนึ่ง มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหว สับไพ่รอหรือไม่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ได้ศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 โดยระบุว่า มีปัญหาที่น่าสนใจในบทบัญญัติในมาตรา 158 ว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี โดย ส.ว.กลุ่มนี้ชี้ว่ามีบทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาแก้ไข
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า จึงตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดบทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เคยมีปฏิกิริยา ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยมีท่าทีที่แสดงออกว่า ไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ส.ว.250 คน ยกมือตามสั่งมาตลอด แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ครบ 8 ปีจริง กลับมีมติเห็นตรงกันว่ามาตรานี้มีปัญหา หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ต้องใช้เสียง ส.ส.และ ส.ว.แก้ไขมาตรานี้แน่นอน
“ถ้าไม่ได้เตรียมกันไว้ ก็ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดให้ชัดว่า หลังเลือกตั้งแล้ว จะอยู่แค่เวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ผมไม่ได้ก้าวก่ายงานการเมืองของท่าน แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดให้ชัดว่าไม่ใช่เตรียมกันไว้ ไม่ใช่การสับไพ่รอ เมื่อเลือกตั้งให้เสร็จแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ มาจั่วน็อกชนะ ผมขอส่งสัญญาณให้ประชาชนรู้เท่าทัน วันนี้หากเส้นทางที่จะยุติ พล.อ.ประยุทธ์ มีทางเดียวคือการได้รัฐบาลประชาธิปไตยมาจะเกิดได้คือ จำเป็นต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่งในฟากฝั่งประชาธิปไตยชนะเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ยืนหนึ่งเอาไว้ก่อน ไม่ใช่แค่ 2 ปี แต่จะเป็น 4 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ต่อ ผมขอเรียกร้องโดยตรงถึง พล.อ.ประยุทธ์ ผมหวังใจว่าคนที่ประกาศตัวไม่เคยกลัวอะไร เป็นลูกผู้ชาย สง่าผ่าเผยมาตลอด คงไม่อ้ำอึ้ง พูดให้ชัด เพราะคนทั้งประเทศรู้อยู่แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า สภาพการเมืองไทยในขณะนี้ คือความล่มสลายทั้งระบบของการเมืองไทย ภายใต้เป้าหมายปฏิรูปหลังรัฐประหาร คือใบเสร็จที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยประกาศเอาไว้ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นคำลวงโลก ไม่มีการปฏิรูปใดๆ การเมืองย้อนหลังออกไปหลายสิบปี มีการแจกกล้วย ซื้อตัวย้ายพรรคโจ่งแจ้งที่สุดเป็นประวัติการณ์ บทบาทของฝ่ายการเมืองในสภา กลายเป็นพื้นที่พบปะเพื่อต่อรองผลประโยชน์ในการย้ายข้างเท่านั้น ทั้งที่งานหลักของสภาคือ การนำเสนอกฎหมาย นำเสนอทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน ขณะนี้ไร้ความหมายไปแล้วภายใต้รัฐบาลชุดนี้ สภาไม่เรียกว่าล่ม แต่เรียกว่าเละ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยแสดงความรู้สึกรู้สา เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ถือกำเนิดในสภา จึงไม่ได้เคารพในแนวทางนี้ คิดอยู่อย่างเดียวคือหาคนเข้าพรรคให้มากๆ สัปปายะสภาสถานกลายเป็นสถานที่สับประยุทธ์ ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มกล้วยดึงตัว ส.ส.เข้าสภาเท่านั้น ตนถือว่าเป็นความอัปยศ และไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ต้องหยุดลงและต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ได้
‘โรม’ ซัดสตช. ยื้อใช้พ.ร.บ.อุ้มหาย ไล่ ‘ผบ.ตร.’ อ้างไม่พร้อม ก็ลาออกไป
https://www.matichon.co.th/politics/news_3768543
‘โรม’ ซัด ‘สตช.’ ยื้อ ‘พ.ร.บ.อุ้มหาย’ อ้างไม่พร้อม ทั้งที่ทุกหน่วยงานเห็นว่าสามารถทำได้ ไล่ ‘ผบ.ตร.’ ถ้าไม่พร้อมก็ลาออก ให้คนอื่นมาทำแทน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 มกราคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในหนังสือขอให้มีการชะลอในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการอุ้มหายและการซ้อมทรมาน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรหลายเดือนแล้ว แม้จะผ่านสภาฯ ไป แต่ก็ยังไม่ได้บังคับใช้ทันที เนื่องจากต้องรอประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และมีการกำหนดระยะเวลาเอาไว้เพื่อให้หน่วยงานราชการได้เตรียมตัว แต่ข้อกังวลหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่เกรงว่าจะดำเนินการไม่ได้ คือกระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหา ที่บังคับให้ติดกล้องบันทึกภาพไว้ เพื่อให้ตรวจสอบได้ว่าเป็นการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการซ้อมทรมาน ทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของหลายๆ ประเทศ หากกลับมาดูที่ประเทศของเรา ที่ผ่านมามีหลายกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการซ้อมทรมาน หรือเป็นการควบคุมตัวที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของสากล
“เจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ เป็นเจตนารมณ์ที่ดี ซึ่งเราให้เวลากับ สตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากเพียงพอ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ผบ.ตร. กลับบอกว่า ถ้าจะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้จะต้องมีการจัดซื้อกล้องบันทึกภาพและเสียงจำนวนมาก แล้วต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐนับสองแสนนาย และบอกว่าระยะเวลาเท่านี้ไม่เพียงพอ จึงต้องการให้มีการชะลอออกไปก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าการเลื่อนครั้งนี้ ผบ.ตร.คงหมายถึงให้ใช้พระราชกฤษฎีกา ในการเลื่อนบังคับใช้ตัวพระราชบัญญัติดังกล่าวออกไป ซึ่งในความเห็นผมไม่สามารถทำได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทั้งนี้ อนุกรรมาธิการยุติธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญตัวแทน สตช. โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มาชี้แจง ย้ำว่า สตช.มีความพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ ความไม่พร้อมของอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่จะไม่ทำตามกฎหมายฉบับนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็ตอบชัดเจนว่าสามารถปฏิบัติตามได้ หากมีข้อขัดข้องใดก็ใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพแก้ปัญหาไปก่อน หรือหากจำเป็นต้องซื้อกล้องจริงก็สามารถเบิกงบกลางมาใช้ก่อนได้
“ตกลงท่านเป็นไบโพลาร์หรือ เอาอย่างไรกันแน่ รอง ผบ.ตร. เป็นตัวแทนมาชี้แจงต่ออนุกรรมาธิการ ท่านบอกอย่างชัดเจนว่าพร้อม แล้วเราก็ให้คำแนะนำไปด้วยว่าใช้งบกลางได้ แต่พอมาเวลานี้ท่านกลับทำหนังสืออีกแบบหนึ่ง” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ อย่าใช้วิชามาร ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อเลื่อนกฎหมายฉบับนี้ออกไป ซึ่งประเทศไทยได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก การกระทำเช่นนี้จึงถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเปรียบเหมือนไร้กระดูกสันหลังต่อสายตาต่างประเทศ ที่ออกกฎหมายที่ดีมาแต่ไม่บังคับใช้ เท่าที่ตนได้สำรวจใน สน.หลายแห่ง ก็เริ่มมีความพร้อมสำหรับการบังคับใช้กฎหมายนี้แล้ว แต่คนแรกที่บอกว่าไม่พร้อมก็คือ ผบ.ตร.เอง ตนเห็นว่าถ้าไม่พร้อมก็ควรออกไป เพราะมีคนอื่นที่พร้อมกว่า