JJNY : 5in1 เท้งยิ้มรับฉายา│เท้งข้องใจมติ กพช.│ส.ส.ปชน.บี้ปราบแก๊งคอล│ปชน.ลุกอัดรบ.ล่าช้า│รัสเซียอ้างยูเครนหวังสังหาร

เท้ง ยิ้มรับฉายา ยันมีผลงานชัดเจน ไม่ขอเทียบพิธา ปีหน้ายื่นซักฟอกรัฐบาลแน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4972726
 
 
เท้ง ยิ้มรับฉายา ยันมีผลงานชัดเจน ไม่ขอเทียบพิธา ปีหน้ายื่นซักฟอกรัฐบาลแน่ 
 
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ภายหลังสื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งฉายาให้ว่า “เท้งเต้ง” ว่าฉายาที่มอบให้หมายถึง 2 เรื่อง พรรคประชาชนโดดเดี่ยวในสภา อยากจะยืนยันอีกครั้งว่าพรรคประชาชนไม่เคยคิดว่าถูกให้โดดเดี่ยว เราพร้อมทำงานร่วมกับทุกพรรคในการเสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เราพร้อมที่จะสนับสนุน ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งเรื่องการตรวจสอบ ต้นปี 2568 จะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ทั้งนี้หากประชาชนมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทุจริตคอร์รัปชั่น เห็นว่ามีการทุจริตเชิงนโยบาย พรรคประชาชนพร้อมที่จะเป็นตัวกลาง เป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้องประชาชน
สามารถส่งข้อมูลมาได้
 
นายณัฐพงษ์ยินดีรับฉายาไว้ตามข้อคิดเห็นที่ว่า ตนเองดูไม่มีทิศทาง ยืนยันว่าที่ผ่านมามีทิศทาง และมีผลงานที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องค่าไฟแพงที่เมื่อวานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติชะลอโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนไว้ก่อน เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานของพรรคประชาชนที่ส่งเสียงออกมาดังๆ มีผลเกิดขึ้นได้
 
อย่างไรก็ตามต้นปีหน้า นอกจากจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว พรรคประชาชนมีทิศทางชัดเจนในการเสนอปณิธานพรรคประชาชนปี 2568 เราจะเสนอชุดกฎหมายเปลี่ยนประเทศมากกว่า 6 ชุด ทั้งการศึกษา สิ่งแวดล้อม ปลดล็อกที่ดิน การปฏิรูปกองทัพ ทำยังไงให้เดือน เม.ย.ที่จะถึงนี้ เป็นการบังคับเกณฑ์ทหารเป็นครั้งสุดท้าย หรือแม้แต่เรื่องเศรษฐกิจ และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
 
สำหรับความเป็นห่วงเรื่องกระแสนิยม ที่มีการเปรียบเทียบกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคคนก่อน นายณัฐพงษ์ ไม่มีความเป็นห่วงแต่อย่างใด กระแสความนิยมมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา ตนเองตอบชี้แจงในหลายเวทีแล้วว่า ไม่อยากเปรียบเทียบกับอดีตแกนนำคนไหน ตนเองเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า สนามเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะถึงในวันที่ 1 ก.พ.68 จะเป็นอีกหนึ่งสนามที่พรรคประชาชนได้พิสูจน์ให้เห็น ขอโอกาสพี่น้องกับประชาชนให้เราเข้าไปบริหาร อบจ. เพื่อแสดงผลงาน
 
นายณัฐพงษ์ยืนยันว่าไม่รู้สึกน้อยใจ ได้จิตกำลังใจเต็มที่ ส่วนฉายาสภาผู้แทนราษฎร “เหลี่ยม (จน) ชิน” เป็นสิ่งที่สะท้อนบริบทสภาได้ดี และสิ่งที่ประชาชนกำลังมองเข้ามา เรามักจะมองการเมืองไทยเป็นการเมืองที่สกปรก มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ แต่พรรคประชาชนตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล เราทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา อาสารับใช้พี่น้องประชาชน
 
ทั้งนี้บริบทการตรวจสอบ หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่เบาแน่นอน สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีตคือ ฝ่ายค้านทำงานสร้างสรรค์เชิงรุก พรรคประชาชนมีข้อเสนอกฎหมายมากที่สุดในรัฐสภา ร่างกฎหมายอื่นที่มีประโยชน์ต่อประชาชน เราก็พร้อมที่จะโหวตให้
 
ช่วงท้ายนายณัฐพงษ์ระบุว่า ชอบทุกฉายา แต่ชอบฉายาตนเองมากที่สุด เพราะสะท้อนการทำงานของตนเอง



เท้ง ข้องใจ มติ กพช. ชะลอรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนแค่ซื้อเวลา จี้ นายกฯ พูดให้ชัดเจน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4972988

‘ณัฐพงษ์’ สงสัย ‘มติ กพช.’ ชะลอการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน เพื่อซื้อเวลาหรือไม่ ชี้ ‘นายกฯ’ ควรบอกตรงๆ ให้ชัดเจน หากหวั่นเรื่องข้อกฎหมายจริง ไม่งั้นเรื่องไม่จบ เหตุ ปชช.อาจตั้งข้อสังเกต ภาพตีกอล์ฟ ‘ทักษิณ-CEO กลุ่มทุนพลังงาน’
 
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติชะลอการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนว่า การทำหน้าที่เป็นประธาน กพช.น่าจะมีความสำคัญมากกว่า แต่แน่นอนที่สุด ก็อยู่ที่การตัดสินใจของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จะเลือกตัดสินใจทำภารกิจใดที่มีความสำคัญต่อตัวนายกรัฐมนตรีมากกว่ากัน แต่ตนเชื่อว่า การเป็นประธานบอร์ดในที่ประชุม กพช.ซึ่งผลส่งผลกระทบถึงเรื่องประเด็นค่าไฟฟ้า น่าจะมีความสำคัญต่อประชาชนมากกว่า
 
สำหรับมติที่ออกมา ในเรื่องการชะลอการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนนั้น ส่วนหนึ่งตนมองว่า อาจจะเป็นเรื่องการซื้อเวลาหรือไม่ ถ้าตัวนายกรัฐมนตรีเองมองว่า สามารถต้องการยกเลิกโครงการดังกล่าว สิ่งที่ตนคิดว่าประชาชนอยากได้ยิน คือการที่นายกรัฐมนตรีออกมาแถลงข่าว หรือเข้ามาตอบกระทู้ถามสดในสภา โดยบอกตรงๆ ว่าต้องการยกเลิก แต่เพียงแค่ชะลอไว้ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ในเรื่องข้อกฎหมาย หากพูดเช่นนี้ ตนเชื่อว่าสังคมจะสิ้นข้อสงสัย
 
แต่สิ่งที่เราไม่เห็นจากนายกรัฐมนตรี คือความชัดเจน นั่นคือนายกรัฐมนตรีไม่มีความชัดเจนใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เข้าร่วมประชุม ไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน และส่งมติออกมาว่า เป็นการชะลอโครงการไว้ก่อนเพื่อศึกษาเรื่องของข้อกฎหมาย
 
ดังนั้น ตนเองก็มีข้อกังวลเป็นอย่างยิ่งว่า การชะลอในครั้งนี้ จะเป็นแค่การซื้อเวลา เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถเดินหน้าโครงการการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบทำให้ค่าไฟที่แพงอยู่ ยังแพงต่อไปในอนาคตได้
 
ส่วนกรอบเวลาที่ชะลอไป คือระยะเวลาเท่าไหร่นั้น หากดูจากการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ ของ กพช.เอง ยังไม่มีกรอบระยะเวลากฎหมายที่ชัดเจน แต่หากยึดตามกรอบการประกาศการคัดเลือกผู้ได้รับการคัดเลือกกลุ่มที่หนึ่ง จะสิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค.นี้ และกลุ่มที่สอง จะสิ้นสุดในวันที่ 14 ก.พ.2568 ฉะนั้น หากจะชะลอ หรือยับยั้งการดำเนินโครงการการเซ็นสัญญาโครงการดังกล่าวไว้ก่อนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต้องมีมติออกมาอีกขั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อ กพช.มีมติออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไป ก็ต้องตามต่อที่ กกพ.ว่าจะมีมติในการชะลอโครงการดังกล่าวหรือไม่อย่างไร
 
ส่วนประเมินสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีเลี่ยงการเข้ามาตอบกระทู้ในสภา เนื่องจากอาจจะมีเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัวของกลุ่มพลังงานหรือไม่ นายณัฐพงษ์ระบุว่า เป็นสิ่งที่พวกเราตั้งข้อสงสัย และตั้งข้อสังเกตได้ เพราะก่อนหน้านี้ ก็มีประเด็นที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปตีกอล์ฟร่วมกับ CEO ของกลุ่มธุรกิจพลังงาน และตัวนายกรัฐมนตรีเอง กลับไม่ให้ความชัดเจนใดๆ กับสิ่งนี้
 
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ทำให้เราตั้งข้อสงสัยว่า การที่นายกรัฐมนตรีตีกรรเชียงทำหนีปัญหา เป็นเพราะกำลังมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ สิ่งที่พวกเราอยากได้ยิน หากต้องมีการชะลอไว้ก่อนในเรื่องข้อกฎหมายจริงๆ ก็ควรจะออกมาบอกตรงๆ ว่านายกรัฐมนตรีต้องการยกเลิกเพียงแต่ยังมีข้อคิดเห็นในด้านข้อกฎหมายที่กังวลว่า กพช.ไม่สามารถก้าวก่าย กกพ.ที่อยู่ในฐานะองค์กรอิสระ จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาข้อกฎหมายไว้ก่อน ตนมองว่า หากนายกพูดชัดๆ เช่นนี้ ประเด็นน่าจะจบ และพวกเราพร้อมรอการพิจารณาของคณะกรรมการต่อไป
 

 
ส.ส.ปชน. บี้ปราบแก๊งคอล ข้องใจทักษิณ พูดจริงไหม? หลังประกาศชัด ปีหน้าหมดเกลี้ยง ด้าน รมว.ดีอี ลุกแจงยิบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4972668

“สส.ปชน.” จี้ถาม มาตรการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข้องใจ “ทักษิณ”มีอำนาจจริงหรือไม่บอกจากปราบแก๊งคอลฯ ใหม่หมด ด้าน “รมว.ดีอี” ยันเป็นความห่วงใยของ “แม้ว” ขณะที่รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ หลังปีใหม่ ผุดมาตรการคลีนซิ่งข้อความส่งลิงก์ดูดเงิน ย้ำหากค่ายไม่ทำ ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย ขณะที่ “วันนอร์” ได้ทีฝากรัฐบาลแก้ปัญหาด่วน หลังทูต 2 ประเทศ ร้องคนของเขา 43 คน ถูกหลอกไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน
 
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาวาระกระทู้ถามทั่วไป ของ นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ถามนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ชี้แจง เรื่องปัญหาการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และมีข้อสังเกตว่า การกำกับธุรกรรมทางออนไลน์ที่เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน สถาบันการเงิน หรือธนาคาร ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ของรัฐบาลอย่าเกรงใจนายทุนธนาคาร
 
นายประเสริฐชี้แจงว่า การออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) นั้นได้ดำเนินการแล้ว แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอความเห็นจากกฤษฎีกาก่อนจะส่งขอความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ในรายละเอียดของ พ.ร.ก.จะกำหนดการอายัดและคืนเงิน ให้ทำได้รวดเร็ว ตั้งใจให้ไม่เกิน 6 เดือนสามารถคืนได้ แต่วิธีเก่าใช้เวลา 1-2 ปี เป็นอย่างน้อย
 
บัญชีม้าที่ยึดอายัดได้และมีเงินคืน มีที่มาและที่ไปจำนวนมาก หากระงับได้ทันที สามารถทำได้ทันที แต่เงินในบัญชีปรากฏเจ้าทุกข์หลายราย ทั้งนี้ มาตรการที่เกี่ยวกับธนาคารนั้น กำหนดให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบเหมือนกับเครือข่ายมือถือ ไม่มีความเกรงใจธนาคาร หรือโอเปอร์เรเตอร์ แต่เราเกรงใจประชาชน ดังนั้น ไม่ต้องห่วงว่า คณะกรรมการและป้องกันภัยไซเบอร์ จะเอาใจธนาคาร ซึ่งหลังปีใหม่นี้จะได้เห็น ระบบคลีนซิ่ง หากพบข้อความไม่เหมาะสม เป็นภัย หรือข้อความหลอกลวงประชาชน ข้อความต้องถูกยกเลิก หากโอเปอร์เรเตอร์ไม่ปฏิบัติตาม ต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการที่ผู้ใช้บริการไปกดลิงก์ดูดเงิน ท่านต้องมาช่วยจ่ายด้วย” นายประเสริฐกล่าว
 
นายประเสริฐชี้แจงด้วยว่า การตัดวงจรของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ใช้ความพยายามมาก ส่วนมาตรการของต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ก็นำมาใช้ ส่วนที่ของเราใช้และต่างชาตินำไปใช้ก็มี เช่น การปิดกั้นข้อมูลนำเข้าคอมพิวเตอร์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยใช้อำนาจของรัฐมนตรี ตามกฎหมาย ซึ่งสิงคโปร์ก็นำไปใช้ รวมถึงการอายัดบัญชีด้วย
 
ทั้งนี้ นายธีรัจชัยได้ถามถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวระหว่างการปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ว่า รู้ถึงจุดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ต่างประเทศ เช่น ชั้น 25 ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา หรือที่เมียวดี ประเทศเมียนมา พร้อมระบุว่า ได้ส่งคนไปประสานแล้ว หากไม่มีกองกำลังดำเนินการ ก็จะส่งกำลังไปดำเนินการ และปีหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดเกลี้ยง ตนไม่ทราบว่า ที่นายทักษิณพูดนั้นจริงหรือไม่ และมีอำนาจจริงหรือไม่ ตนอยากให้จริง และรัฐบาลมีเป้าหมายจะทำได้จริงหรือไม่เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์
 
นายประเสริฐชี้แจงว่า นายทักษิณมีความเป็นห่วงคนไทย โดยกระทรวงดีอี ไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมาประสานงานไปยัง ประเทศมาเลเซีย เมียนมา จีน ลาว และกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในการเข้าไปปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและจะดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ถึงที่สุด
 
ทั้งนี้นายวันมูหะมัดนอร์ได้ฝากในตอนท้ายว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากทูต อย่างน้อย 2 ประเทศ ว่าคนของเขาถูกจับและบังคับให้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยถูกหลอกมาเมืองไทยว่ามาท่องเที่ยวและมีงานทำ แต่กลับถูกจับและส่งไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยผ่านทางด่านแม่สอด ขณะนี้คนของเขา มีประเทศหนึ่งถูกจับ 13 คน อีกประเทศ 30 คน ปัญหาของเราคือเราเป็นประเทศท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวมาก หากเข้ามาแล้วถูกจับไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แบบนี้ทำให้เราเสียบรรยากาศการท่องเที่ยว ทำให้คนไม่กล้ามาประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นผลดี และมีผลกระทบกับประเทศไทย ตนอยากให้รัฐบาลช่วยหาทางแก้ไขโดยด่วน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่