แบ่งปันประสบการณ์ แรงบันดาลใจ ในการลดน้ำหนัก จาก 113 กิโล เหลือ 68 กิโล

 กระทู้ เล่าเรื่องครั้งแรกในชีวิต แนะนำตัวก่อนเลย สวัสดีครับ ผมชื่อหน่อง  สิทธา จินดาพรรณ
          ผมเคยเป็นคนอ้วน น้ำหนักตัว 113 กิโล เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นอายุประมาณ 27 ปี ก็ใช้ชีวิตแบบ สบายๆว่างจากทำงาน กิน แล้วก็นอน นั่งเล่นนอนเล่น เล่นเกม นอนดึก ตื่นสาย และชอบสูบบุหรี่ ด้วย
จนเช้าวันนึง ตื่นมาแล้ว รู้สึกว่าแขนฝั่งซ้าย และหน้าฝั่งซ้ายของตัวเองชา
ก็ไม่คิดอะไร คิดว่า คงนอนตะแคงแล้ว ตื่นเช้ามามีอาการชา เป็นเรื่องปกติ จนในขณะที่กำลังจะเข้าไปห้องน้ำ เตรียมแปรงฟัน พยายามจะบีบ ยาสีฟัน แล้วปรากฏว่า นิ้วมือที่ จับหลอดยาสีฟันไม่สามารถบีบยาสีฟันได้ อมน้ำจะบ้วนปาก และปากทางฝั่งซ้ายหุบไม่สนิท ไม่สามารถอมน้ำไว้ได้ รู้สึกตกใจมาก และคิดว่า อาบน้ำเสร็จ จึงรีบไปหาหมอ  ก่อนพบหมอ ก็ต้องพบพยาบาล เพื่อซักประวัติ ถามอาการ วัดชีพจร ความดัน และชั่งน้ำหนัก ซึ่งปกติไม่เคยชั่งน้ำหนักเลย ผลสรุปน้ำหนักที่ออกมา คือ 113 กิโล ผมรู้แล้วคือ ตกใจตัวเองมาก ส่วนค่าต่างๆ พยาบาลแจ้งผมว่ามันดูแย่ไปหมด ความดันเริ่มสูงเกิน หัวใจเต้น 85 ครั้งต่อนาที ซึ่งพยาบาลแจ้งเลยว่าสูงไปนะ
         จนได้เจอหมอ หมอยังอายุน้อยมากน่าจะพึ่งจบมาใหม่ๆ ซักถามอาการ ซักถามการใช้ชีวิตประจำวัน เช็คนู้นนี่ จน หมอสรุปมาว่า เดี๋ยวให้ไปรับยานะครับ หมอจะให้ยาคลายกล้ามเนื้อไปทาน  คำถามแรกที่ผมถาม คุณหมอคือ "ถ้าผมกินยาหมด ผมจะหายใช่มั้ยครับ"  หมอหนุ่มก็ตอบผมกลับมาว่า การกินยาคือการแก้ที่ปลายเหตุ ถ้าคุณอยากอาการดีขึ้น และหายจากอาการนี้ คุณต้องปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่ คุณต้องออกกำลังกาย และเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ กับร่างกาย ถ้าคุณไม่ทำ อย่างที่บอก ครั้งหน้ามา หมอก็ต้องให้ยาไปทานอีก แบบนี้แหละ


หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล และได้ยา พอกลับมาถึงบ้านผมก็กินยาคลายกล้ามเนื้อก่อนเลยครับ (ซึ่งมันใช่มั้ย)
กินยาเสร็จนอนเลยครับ หวังว่าตื่นมาอาการจะดีขึ้น  ผ่านไป 1 วัน ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มานั่งคิดคำพูดหมอ ว่าหรือเราต้องลองออกกำลังกายจริงๆ ตัดสินใจ วันนั้นเลยว่า จะออกไปวิ่ง ในตอนกลางคืน รอบสวนสาธารณะ ไม่กล้าไปตอนกลางวันครับ เพราะอ้วนมากจนไม่มีเสื้อผ้าจะใส่

พอถึงเวลาวิ่ง ตั้งใจเลยว่าเหงื่อไม่ออกไม่กลับบ้าน และไม่เข้าใจด้วยว่าวิ่ง 1 กิโล มันต้องไกลแค่ไหน สรุปว่า รวมระยะทางไปกลับได้ไม่น่าเกิน 400 เมตรครับ เจ็บหัวเข่า เจ็บข้อเท้า หัวใจเต้นแรงมาก เหนื่อยหายใจไม่ทัน จนทนไม่ไหว พยายาม เดินประคองตัวเองกลับมาที่รถ เพื่อขี่รถกลับบ้าน

Effect เช้าอีกวันหลังตื่นนอน เริ่มส่งสัญญาณบอกผมใหม่ ว่า แขนที่ไม่ค่อยมีแรงส่งไปที่นิ้วมือ เพื่อที่จะบีบยาสีฟัน เหมือนมีแรงขึ้นมานิดๆ เอ๊ะ กำลังใจเริ่มมา  แต่มีข้อแม้ใหม่ในหัวว่า น้ำหนักตอนนี้ 113 กิโล คงวิ่งไม่ไหวแน่ๆ  หาวิธีใหม่ คิดเพิ่มมา อีกอย่างคือ ว่ายน้ำ เช้านั้น อาบน้ำกินข้าวเสร็จ ผมไปหาสระว่ายน้ำเลยครับ พอเดินเข้าไป เจอคนว่ายน้ำกัน แบบว่า รูปร่างปกติดี ทำให้ผมเกิดอาการอาย ที่จะไปถอดเสื้อ กระโดดสระน้ำเดียวกับเขา  ก็เดินออกมา จากสระ กลับมานั่งคิดวิธีใหม่ ก็คิดขึ้นได้ว่าตอนเด็กๆเราชอบปั่นจักรยาน หนีพ่อไปเที่ยวนู้นเที่ยวนี่อยู่บ่อยๆนี่นา ซึ่งเราไปปั่นจักรยานได้นี่ อยากขี่จักรยานก็ต้อง มีจักรยานก่อน ซึ่ง จักรยานเริ่มต้น คันละ  3-4000 ในห้าง ผมมองว่าเป็นอะไรที่แพงนะในตอนนั้น เลยลองมองหาเพื่อนที่มีรถจักรยาน ซึ่งในที่สุดก็หามาจนได้ คือยืมของคนรู้จักที่เค้าไม่ได้ขี่แล้ว จอดทิ้งไว้ข้างบ้านจน สนิมขึ้นโซ่และยางแบน  มันคือ จักรยานยี่ห้อ Turbo มีโช้คตรงกลางรถ หลังจากได้รถมาก็เอาไป ซ่อมบำรุงก่อนเลยครับ ตั้งใจว่า คืนนั้นต้องลากมันไปขี่ให้ได้ น่าจะไปได้ไกล กว่าวิ่งแน่นอน

พอถึงเวลา คืนนั้นผมก็เอาจักรยาน คันเก่งที่พึ่งซ่อมบำรุง มาออกไปหวดเลยครับ ผมสรถปว่า ผมขี่มันไปรอบสวนสาธารณะเลย ตั้ง 2 รอบ ระยะทางประมาณ 5 กิโล  ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี ว่า เหงื่อออกท่วมตัวไปหมด หัวใจเต้นแรงมากๆ รู้สึกการทำงานของปอดที่ไม่เคยใช้งานหนักแบบนี้มานาน  กลับมาถึงบ้านอาบน้ำ นอนหลับเป็นตายเลยครับ
        ในเช้าวันใหม่ที่ตื่นขึ้นมา อาการแขน และมือ อ่อนแรง เริ่มดีขึ้นแบบรู้สึกได้ทันที ถึงมันจะแค่น้อยนิดก็เถอะ แต่มันคือสัญญาณที่ดี ที่กำลังบอกผมว่า ผมมาถูกทางแล้ว ทำให้ มีแรงฮึด ขึ้นมาอีก ผมเริ่มออกปั่นจักรยาน โดยที่เริ่มต้น แบบง่ายๆ โดยไม่ได้โฟกัสที่อะไรเลยนอกจากผลที่กำลังจะได้ รองเท้าผ้าใบเก่าๆ กางเกงฟุตบอล เสื้อยืดเก่าๆ ทุกเย็น และเพิ่มระยะทางปั่นขึ้นมาเรื่อยๆ คงลงรายะเอียดตอนหลังจากนั้นได้ไม่มาก เพราะมันค่อนข้างนานมาแล้ว

    จนอาการ แขนและกล้ามเนื้อฝั่งซ้ายที่ไม่มีแรงผมเริ่มกลับมาหายดี  และผมรู้สึกเริ่มชอบและเริ่มจริงจังกับการปั่นจักรยาน ผมเอาจักรยานไปคืนคนรู้จัก และซื้อรถของตัวเอง  เริ่มรู้จักคนปั่นจักรยานในพื้นที่มากขึ้น  เริ่มไปออกทริปกับคนอื่นๆที่ เค้าปั่นชอบปั่นจักรยานเหมือนกัน และเริ่มปั่นจักรยานไกลขึ้น หลังจากที่อาการแขนและกล้ามเนื้ออ่อนแรง หายแล้ว ผมก็เริ่มโฟกัสเป้าหมายใหม่ว่า ผมจะลดน้ำหนักจริงๆจังๆแล้วนะ จำไม่ได้ว่าตอนนั้นที่อาการดีขึ้นแล้ว น้ำหนักเหลือเท่าไหร่ แต่ยัง 100กิโล + อยู่แน่ๆ  ตอนนั้นใครชวนไปปั่นไหน ไปหมดเลยไกลก็ไม่กลัว คิดว่า คนอื่นปั่นไปได้เราก็ไปได้



    ปั่นจนถึงจุดนึง และตอนนั้นผมตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วด้วย เพราะคิดว่าไหนๆก็สุขภาพดีขึ้นเยอะแล้วอะไรไม่ดีก็เลิกมันไปเลยดีกว่า  ถึงตอนที่มาชั่งน้ำหนักอีกที น้ำหนักตอนนั้นผมก็ เหลือ 92 กิโลแล้ว  มีแต่คนทักว่าผอมลงมาก ด้วยการที่ปั่นบ่อย หัวใจ การหายใจ ชีพจร ค่าความดันต่าง และ ระบบต่างๆร่างกายเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ผมปั่น จักรยานเยอะมาก เพราะรู้สึกชอบผลที่ได้จากมัน  จนเพื่อนที่ที่ปั่นจักรยานด้วยกัน เริ่ม แนะนำว่า ทำไมไม่ลองไปแข่งจักรยาน รุ่นน้ำหนัก เกิน 85 กิโลกรัมดูละ ปั่นบ่อยขนาดนี้แข็งแรงขนาดนี้ ไปลองดูสิ้ เผื่อจะติดถ้วยบ้าง  หลังจากผมได้ยิน ผมก็เริ่มรู้สึกสนใจ และอยากไปลองดู ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่าจะติดถ้วยอะไรเลย ที่น่าตื่นเต้นมากกว่านั้นคือ ผมอยากรู้ว่า ร่างกายของผมมันพัฒนามาได้มากขนาดไหนแล้ว ก็เลยเริ่มลองไปหาสนามที่เค้าจัดแข่งจักรยาน ในพื้นที่ หรือ จังหวัดใกล้เคียงดู และเริ่ม ลงแข่งตามแต่ละสนามมาเรื่อยๆ ซึ่ง ผมติดถ้วยอันดับแทบทุกสนาม มันยิ่งทำให้ผมสนุกกับการปั่นจักรยาน มากขึ้นไปอีก

  ถึง จุดๆ นึง น้ำหนักก็ลงมาต่ำกว่า 85 กิโลลงมาแล้ว เข้าช่วงสถานการโควิดพอดี งานแข่งจักรยานก็หายไป ผมก็กลับมาโฟกัส ออกกำลังกายด้วยการวิ่งบ้าง  บอดี้เวท บ้าง ออกไปปั่นจักรยานน้อยลง ซึ่งมันก็เป็นการออกกำลังกายแบบใหม่ ที่ผมก็ต้องมาศึกษาเพิ่มเติมใหม่ ซึ่งจริงๆวิ่ง เนี่ย ผมยังขยาด จากตอนน้ำหนัก 113 กิโลอยู่ เพราะเจ็บข้อเข่า ข้อเท้าไปหลายวัน  แต่ก็นั่นมันตอน 113 กิโล ตอนนี้ 84 กิโล แล้ว ไปลองใหม่ มันก็น่าจะต้องดีขึ้นสิ้ ลองสักตั้งจะเป็นอะไรไป




แต่เอ๊ะ ผิดคาดครับ น้ำหนักที่หายไป และความแข็งแรงที่ผมได้มา มันทำให้ผมวิ่งและสนุกกว่าเดิมเยอะเลยผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากๆ  และถึงช่วงที่น้ำหนักลงมาถึง 80 กิโล ผมเริ่มปรับ เรื่องอาหารการกินใหม่ ทั้งหมดจุดนี้แหละครับ พีคเลยจุดพีคในชีวิต เล่าต่อไม่ไหวจริงๆ ยาวมากจนไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วครับ ไล่ดูจากรูป ผมว่าเพื่อนๆน่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลง มาถึงจุดนี้ ผมเริ่มเข้าใจระบบร่างกายตัวเองมากขึ้น
ว่าการลดน้ำหนักจริงๆ ซึ่งผมไม่ใช้นักวิชาการอะไร แต่มันทำให้ผมเข้าใจในระบบร่างกายตัวเองจริงๆ กินยังไง นอนยังไง กินแค่ไหน ออกกำลังกายยังไง







เล่าแบบบ้านๆนะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ   ปัจจุบันที่ผมออกมาเล่าเรื่องนี้ ผมสามารถดึงน้ำหนักลงมาถึง 68-70กิโลแล้ว ซึ่งผมคิดว่า มันคือ ค่าที่ผมพอใจ ที่สุด ในชีวิตผมเลย มันมีทั้ง กล้ามเนื้อร่างกายที่ชัดเจน มวลไขมันที่น้อยลงเหลือแค่ 10-12% เท่านั้น ทำอาหารทานเองยิ่งช่วยได้อีกเยอะเลย หลังจากทราบผลจากการตรวจสุขภาพประจำปี  จึงอยากนำเรื่องเล่านี้มาแบ่งปั่น เพื่อเป็นประสบการณ์กับ คนที่คิดว่า ฉันอ้วนมากแล้ว คงลงไปไม่ได้แล้ว  เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากลดน้ำหนักนะครับ (ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นเลยหากปราศจากการลงมือทำ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่