วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
9
เนตริยาหายไข้แล้วแต่ร่างกายยังคงบอบช้ำจากการถูกน้ำที่ไหลบ่าล้นตลิ่งซัดจนร่างลอยไปกระแทกกับต้นไม้ รอยฟกช้ำที่หน้าผากเริ่มจางไปบ้าง
ที่ห้องทำงาน ปกป้องให้เนตริยานั่งบนเตียงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กอาการ และดูแผลที่หน้าผาก
“วันนี้ยังระบมอยู่อีกไหม”
เนตริยาคลำตามตัว แล้วตอบว่า “ยังมีบ้าง”
“แต่ไม่ถึงกับปวดใช่ไหม”
เนตริยาส่ายหน้า
“ถ้างั้นผมไม่ต้องให้ยานะ รออีกวันสองวันอาการระบมจะค่อยๆ หายไป” เขาบอกแล้วหันไปหยิบยาบรรเทาอาการฟกช้ำที่เตรียมไว้ข้างๆ บีบยา
จากหลอดลงที่ปลายนิ้วของเขาแล้วเอื้อมมือจะป้ายยาที่รอยแดงนั่น แต่หญิงสาวเบี่ยงศีรษะออก
“ยังเจ็บอยู่หรือ” เขาถามอย่างสงสัยกับท่าทางปฏิเสธนั้น
“ฉันทำเองได้” ตอบสะบัดๆ พร้อมกับเชิดหน้าหยิ่งด้วยอาการถือตัว
“แล้วมองเห็นแผลหรือ”
หญิงสาวไม่ตอบพร้อมกับจะแย่งหลอดยาไปทำเอง ปกป้องจึงรีบป้ายยาที่อยู่ปลายนิ้วนั้นฉับให้ที่แผล พร้อมกับทำความเข้าใจกับหญิงสาวว่า
“คุณบาดเจ็บ เป็นหน้าที่ผมที่จะต้องดูแล”
“ใช่ซิ นายกลัวไม่ได้เงินค่าไถ่ใช่ไหม” หล่อนสวนทันควัน
“แน่น้อน” ทำเสียงสูง “ไม่ยังงั้นผมจะลำบากลักพาตัวคุณมาทำไม”
“แล้วนายส่งข่าวให้พ่อแม่ฉันหรือยัง” เนตริยาถามอย่างวิตกกังวล ป่านนี้บุพการีทั้งสองจะห่วงใยหล่อนขนาดไหน แม่คงร้องไห้ทุกวันแน่ๆ
“ส่งแล้ว ผมใช้ซิมมือถือของคุณส่ง message ไปให้” ปกป้องส่งข้อความไปบอกพลโทเนติศักดิ์ว่าเนตริยาปลอดภัยดี พร้อมทั้งขู่ว่าหากไม่อยาก
ให้ลูกสาวเสียชื่อสียง อย่าแจ้งความ แล้วลูกจะกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย
“แล้วท่านตอบมาหรือยัง”
“ยัง” เขาโกหกออกไป ทั้งๆ ที่บิดาของเนตริยาถามกลับมาแล้วว่าเป็นการจับตัวเรียกค่าไถ่หรือไม่ และต้องการเงินเท่าไหร่ แต่เขายังไม่ได้ตอบ
กลับไปในตอนนั้น จะประวิงเวลาไปก่อน และหากเขาจะตอบ เขาต้องขับรถออกไปหาสถานที่ไกลๆ เพื่อตำรวจจะไม่สามารถสืบหาพิกัดของเขาได้
อีกทั้งพื้นที่ป่าที่เขาอยู่เป็นจุดอับสัญญาณ ที่ถึงแม้จะเป็นผลดีว่าไม่มีใครตามหาเขาเจอก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องการติดต่อกับภายนอกโดยเฉพาะกับหน่วยเหนือ เขาต้องเข้าไปในเมือง ซึ่งข้อจำกัดของปกป้องนั้นวิษณุเข้าใจดีและพอใจที่มันจะเป็นเช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยของสายข่าวของเขานั่นเอง
“ฉันไม่เชื่อ คุณพ่อฉันต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะตอบกลับมา” เนตริยาดึงเขากลับมาจากภวังค์ความคิด
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผมจะเจรจากับทางฝ่ายคุณอย่างไร แค่อยู่เฉยๆ ทำตามที่ผมบอกแล้วคุณจะปลอดภัย ได้กลับบ้านแน่นอน”
“แต่...คุณพ่อ คุณแม่...” เนตริยารู้สึกคล้ายลำคอตีบตันเมื่อนึกถึงผู้บังเกิดเกล้าว่าจะทุกข์ใจเพียงใด แต่หล่อนจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้
หญิงสาวพยายามกล้ำกลืนน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
“ผมว่าตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ พรุ่งนี้ผมมีงานจะให้คุณทำ ส่วนผม มีงานที่ต้องทำเหมือนกัน” ปกป้องรีบตัดบท เขาไม่อยากเห็น
น้ำตาผู้หญิง
ถูกไล่เช่นนี้ เนตริยาจำต้องลุกเดินออกไปจากห้องทำงานของเขา ได้ยินเสียงแสวงกับนาดีร์คุยกันอยู่ข้างล่าง หญิงสาวยืนเคว้งคว้างอยู่กลางบ้าน ถามตัวเองว่าหล่อนจะทำอย่างไร ผู้ชายทั้งสามคนปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระอยู่ในบ้านนี้ ไม่มีการคุมขังกักบริเวณหรือล่ามโซ่แต่อย่างใด พวกเขาคงแน่ใจแล้วกระมังว่า หล่อนน่าจะเข็ดขยาดการหลบหนีไปแล้ว เพราะถึงแม้หล่อนจะสามารถขโมยรถขับไปได้ แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะเส้นทางมหาโหดนั่นเอง แถมน้ำป่าที่ถาโถมเข้ามาหาเธอในตอนนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจนเนตริยาหวาดผวาทุกครั้งที่นึกย้อนไปถึง อีกทั้งความรู้สึกร้าวระบมลึกๆ ตามตัวนั่นอีก
มันทำให้หล่อนทดท้อ
หญิงสาวเดินกลับไปที่ห้องอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ บอกตัวเองว่าแม้วันนี้จะดูเหมือนอับจนหนทาง แต่มันต้องมีวันหน้า วันที่หล่อนจะสบโอกาสหนีรอดพ้นไปจากที่นี่
ปกป้องนั่งทำงานเงียบๆ ในห้อง จัดตารางงานว่าวันพรุ่งนี้เขาจะต้องไปเยี่ยมชาวบ้านคนไหน ซึ่งป่วยเป็นอะไร และต้องเตรียมยาหรืออุปกรณ์ใดบ้าง ซึ่งเขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เนตริยาจะต้องออกไปลงพื้นที่กับเขา ไปเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือเขาอย่างที่เขาเคยช่วยพ่อ แล้วหล่อนจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ชนิดที่คนทำงานนั่งโต๊ะอย่างหล่อนไม่เคยสัมผัส เขาจะให้หล่อนคีย์ข้อมูลเพื่อบันทึกประวัติอาการผู้ป่วย เพราะตอนนี้เขาได้นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาช่วยเก็บข้อมูล ซึ่งทำให้เขาทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าช่วงแรกที่เขายังต้องพึ่งเอกสารและแฟ้มคนไข้
แต่กระนั้น การทำงานด้านการรักษาคนเดียวปราศจากคำแนะนำของพ่อที่เคยพร่ำสอน ทำให้เขานึกถึงวันเก่าๆ ที่สองพ่อลูกนั่งทำงานด้วยกัน
ภาพถ่ายของนายแพทย์ปริญญ์แขวนติดอยู่ที่ผนังเหนือตู้เอกสาร ทุกครั้งที่เขาเข้ามาในห้องทำงาน ปกป้องจะชำเลืองมองไปที่ภาพบิดาก่อนที่จะ
เริ่มงานเสมอ ภาพของนายแพทย์ปริญญ์เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้ปกป้องตั้งใจมุมานะทำงานแม้จะเหนื่อยยากลำบากเพียงใดก็ตาม เพราะเขาคิดว่าเขาไม่ได้ทำงานเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของพ่อเพียงอย่างเดียวแต่เขายังทำงานรับใช้ประเทศชาติอีกด้วย
ปกป้องนึกย้อนไป ในตอนนั้นที่เขาคอยเฝ้าดูแลพ่อของเขาจนกระทั่งวาระสุดท้าย เขารับปากกับนายแพทย์ปริญญ์ว่าจะสานต่องานที่พ่อเขาสร้างไว้อย่างดีที่สุด
‘ได้ยินลูกสัญญาอย่างนี้ พ่อก็นอนตายตาหลับ’
‘อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ พ่อจะต้องหาย’ ปกป้องพยายามให้กำลังใจบิดา แม้เขาจะรู้ว่าเวลาแห่งการจากพรากใกล้เข้ามาทุกที
‘ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนั่น พ่อให้ลูกดูบัญชีทุกบัญชีแล้ว ลูกก็รู้ว่าสถานะทางการเงินของเราไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายสอน พี่ชายของแสวงเขาจะนำรายได้จากสวนยางของเราเข้าบัญชีให้ทุกเดือน’ ปริญญ์พูดไปหยุดหอบหายใจไป ‘หรือถ้ากลัวว่าเงินจะไม่พอจริงๆ พ่อยังมีที่ดินที่กรุงเทพฯ อีกหลายแปลง ถามแม่เขา’ พร้อมกับพยักพเยิดไปที่พรพรรณซึ่งยืนน้ำตาคลอเฝ้าอยู่ปลายเตียง ‘แม่เขาเก็บโฉนดไว้ เอาที่ดินไปขายซะแล้วเอาเงินมาทำงาน’
‘ครับพ่อ’ เขารับปากพร้อมน้ำตารินร่วง แม้จนวาระสุดท้าย พ่อก็ยังห่วงชาวบ้านพวกนั้น ปกป้องเกือบจะหลุดปากออก ไปว่า ตอนนี้เขาไม่ได้ตกงานไม่ใช่ไม่มีรายได้อย่างที่พ่อเข้าใจ แต่เขารับราชการทหารมีรายได้พอสมควรและยังเงินเบี้ยกันดารที่เขาต้องมาฝังตัวอยู่ในพื้นที่ เป็นจำนวนเงินที่จะไม่ทำให้เขาขัดสนแต่อย่างใด
พ่ออย่าห่วงเลย ...พ่อเหนื่อยแล้ว ทำมามากแล้ว...
ลูกชายของพ่อจะสานต่ออุดมการณ์นี้เอง ...หลับให้สบายเถิด
งานศพของนายแพทย์ปริญญ์ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ปรากฏว่าผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมาร่วมงานอย่างเนืองแน่นเพื่อแสดงความอาลัยและระลึกถึงคุณงามความดีของนายแพทย์ปริญญ์
และในงานปกป้องได้พบผู้ใหญ่หลายคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้ที่เคยเคารพนับถือกันมากับพ่อของเขา คนเหล่านั้นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะสนับสนุนเขาให้สืบทอดงานของพ่อต่อไป มันทำให้ปกป้องเกิดกำลังใจอย่างมาก โดยเฉพาะเพื่อนพ่อที่เป็นหมอและรู้ว่าเขาไม่ได้เรียนจบแพทย์มา
แต่คนเหล่านี้ไม่คิดจะกีดกันเขาไปจากงานที่เสียสละอย่างมากเช่นนี้ มีแต่แนะนำว่า หากเกินกำลังที่เขาจะดูแลไหว ก็ให้ส่งต่อคนไข้เข้ามาในเมือง
ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลสตูลยินดีช่วยเหลือเต็มที่
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 9-10
ที่ห้องทำงาน ปกป้องให้เนตริยานั่งบนเตียงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กอาการ และดูแผลที่หน้าผาก
“วันนี้ยังระบมอยู่อีกไหม”
เนตริยาคลำตามตัว แล้วตอบว่า “ยังมีบ้าง”
“แต่ไม่ถึงกับปวดใช่ไหม”
เนตริยาส่ายหน้า
“ถ้างั้นผมไม่ต้องให้ยานะ รออีกวันสองวันอาการระบมจะค่อยๆ หายไป” เขาบอกแล้วหันไปหยิบยาบรรเทาอาการฟกช้ำที่เตรียมไว้ข้างๆ บีบยา
จากหลอดลงที่ปลายนิ้วของเขาแล้วเอื้อมมือจะป้ายยาที่รอยแดงนั่น แต่หญิงสาวเบี่ยงศีรษะออก
“ยังเจ็บอยู่หรือ” เขาถามอย่างสงสัยกับท่าทางปฏิเสธนั้น
“ฉันทำเองได้” ตอบสะบัดๆ พร้อมกับเชิดหน้าหยิ่งด้วยอาการถือตัว
“แล้วมองเห็นแผลหรือ”
หญิงสาวไม่ตอบพร้อมกับจะแย่งหลอดยาไปทำเอง ปกป้องจึงรีบป้ายยาที่อยู่ปลายนิ้วนั้นฉับให้ที่แผล พร้อมกับทำความเข้าใจกับหญิงสาวว่า
“คุณบาดเจ็บ เป็นหน้าที่ผมที่จะต้องดูแล”
“ใช่ซิ นายกลัวไม่ได้เงินค่าไถ่ใช่ไหม” หล่อนสวนทันควัน
“แน่น้อน” ทำเสียงสูง “ไม่ยังงั้นผมจะลำบากลักพาตัวคุณมาทำไม”
“แล้วนายส่งข่าวให้พ่อแม่ฉันหรือยัง” เนตริยาถามอย่างวิตกกังวล ป่านนี้บุพการีทั้งสองจะห่วงใยหล่อนขนาดไหน แม่คงร้องไห้ทุกวันแน่ๆ
“ส่งแล้ว ผมใช้ซิมมือถือของคุณส่ง message ไปให้” ปกป้องส่งข้อความไปบอกพลโทเนติศักดิ์ว่าเนตริยาปลอดภัยดี พร้อมทั้งขู่ว่าหากไม่อยาก
ให้ลูกสาวเสียชื่อสียง อย่าแจ้งความ แล้วลูกจะกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย
“แล้วท่านตอบมาหรือยัง”
“ยัง” เขาโกหกออกไป ทั้งๆ ที่บิดาของเนตริยาถามกลับมาแล้วว่าเป็นการจับตัวเรียกค่าไถ่หรือไม่ และต้องการเงินเท่าไหร่ แต่เขายังไม่ได้ตอบ
กลับไปในตอนนั้น จะประวิงเวลาไปก่อน และหากเขาจะตอบ เขาต้องขับรถออกไปหาสถานที่ไกลๆ เพื่อตำรวจจะไม่สามารถสืบหาพิกัดของเขาได้
อีกทั้งพื้นที่ป่าที่เขาอยู่เป็นจุดอับสัญญาณ ที่ถึงแม้จะเป็นผลดีว่าไม่มีใครตามหาเขาเจอก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องการติดต่อกับภายนอกโดยเฉพาะกับหน่วยเหนือ เขาต้องเข้าไปในเมือง ซึ่งข้อจำกัดของปกป้องนั้นวิษณุเข้าใจดีและพอใจที่มันจะเป็นเช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยของสายข่าวของเขานั่นเอง
“ฉันไม่เชื่อ คุณพ่อฉันต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะตอบกลับมา” เนตริยาดึงเขากลับมาจากภวังค์ความคิด
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผมจะเจรจากับทางฝ่ายคุณอย่างไร แค่อยู่เฉยๆ ทำตามที่ผมบอกแล้วคุณจะปลอดภัย ได้กลับบ้านแน่นอน”
“แต่...คุณพ่อ คุณแม่...” เนตริยารู้สึกคล้ายลำคอตีบตันเมื่อนึกถึงผู้บังเกิดเกล้าว่าจะทุกข์ใจเพียงใด แต่หล่อนจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้
หญิงสาวพยายามกล้ำกลืนน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
“ผมว่าตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ พรุ่งนี้ผมมีงานจะให้คุณทำ ส่วนผม มีงานที่ต้องทำเหมือนกัน” ปกป้องรีบตัดบท เขาไม่อยากเห็น
น้ำตาผู้หญิง
ถูกไล่เช่นนี้ เนตริยาจำต้องลุกเดินออกไปจากห้องทำงานของเขา ได้ยินเสียงแสวงกับนาดีร์คุยกันอยู่ข้างล่าง หญิงสาวยืนเคว้งคว้างอยู่กลางบ้าน ถามตัวเองว่าหล่อนจะทำอย่างไร ผู้ชายทั้งสามคนปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระอยู่ในบ้านนี้ ไม่มีการคุมขังกักบริเวณหรือล่ามโซ่แต่อย่างใด พวกเขาคงแน่ใจแล้วกระมังว่า หล่อนน่าจะเข็ดขยาดการหลบหนีไปแล้ว เพราะถึงแม้หล่อนจะสามารถขโมยรถขับไปได้ แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะเส้นทางมหาโหดนั่นเอง แถมน้ำป่าที่ถาโถมเข้ามาหาเธอในตอนนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจนเนตริยาหวาดผวาทุกครั้งที่นึกย้อนไปถึง อีกทั้งความรู้สึกร้าวระบมลึกๆ ตามตัวนั่นอีก
มันทำให้หล่อนทดท้อ
หญิงสาวเดินกลับไปที่ห้องอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ บอกตัวเองว่าแม้วันนี้จะดูเหมือนอับจนหนทาง แต่มันต้องมีวันหน้า วันที่หล่อนจะสบโอกาสหนีรอดพ้นไปจากที่นี่
ปกป้องนั่งทำงานเงียบๆ ในห้อง จัดตารางงานว่าวันพรุ่งนี้เขาจะต้องไปเยี่ยมชาวบ้านคนไหน ซึ่งป่วยเป็นอะไร และต้องเตรียมยาหรืออุปกรณ์ใดบ้าง ซึ่งเขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เนตริยาจะต้องออกไปลงพื้นที่กับเขา ไปเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือเขาอย่างที่เขาเคยช่วยพ่อ แล้วหล่อนจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ชนิดที่คนทำงานนั่งโต๊ะอย่างหล่อนไม่เคยสัมผัส เขาจะให้หล่อนคีย์ข้อมูลเพื่อบันทึกประวัติอาการผู้ป่วย เพราะตอนนี้เขาได้นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาช่วยเก็บข้อมูล ซึ่งทำให้เขาทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าช่วงแรกที่เขายังต้องพึ่งเอกสารและแฟ้มคนไข้
แต่กระนั้น การทำงานด้านการรักษาคนเดียวปราศจากคำแนะนำของพ่อที่เคยพร่ำสอน ทำให้เขานึกถึงวันเก่าๆ ที่สองพ่อลูกนั่งทำงานด้วยกัน
ภาพถ่ายของนายแพทย์ปริญญ์แขวนติดอยู่ที่ผนังเหนือตู้เอกสาร ทุกครั้งที่เขาเข้ามาในห้องทำงาน ปกป้องจะชำเลืองมองไปที่ภาพบิดาก่อนที่จะ
เริ่มงานเสมอ ภาพของนายแพทย์ปริญญ์เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้ปกป้องตั้งใจมุมานะทำงานแม้จะเหนื่อยยากลำบากเพียงใดก็ตาม เพราะเขาคิดว่าเขาไม่ได้ทำงานเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของพ่อเพียงอย่างเดียวแต่เขายังทำงานรับใช้ประเทศชาติอีกด้วย
ปกป้องนึกย้อนไป ในตอนนั้นที่เขาคอยเฝ้าดูแลพ่อของเขาจนกระทั่งวาระสุดท้าย เขารับปากกับนายแพทย์ปริญญ์ว่าจะสานต่องานที่พ่อเขาสร้างไว้อย่างดีที่สุด
‘ได้ยินลูกสัญญาอย่างนี้ พ่อก็นอนตายตาหลับ’
‘อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ พ่อจะต้องหาย’ ปกป้องพยายามให้กำลังใจบิดา แม้เขาจะรู้ว่าเวลาแห่งการจากพรากใกล้เข้ามาทุกที
‘ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนั่น พ่อให้ลูกดูบัญชีทุกบัญชีแล้ว ลูกก็รู้ว่าสถานะทางการเงินของเราไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายสอน พี่ชายของแสวงเขาจะนำรายได้จากสวนยางของเราเข้าบัญชีให้ทุกเดือน’ ปริญญ์พูดไปหยุดหอบหายใจไป ‘หรือถ้ากลัวว่าเงินจะไม่พอจริงๆ พ่อยังมีที่ดินที่กรุงเทพฯ อีกหลายแปลง ถามแม่เขา’ พร้อมกับพยักพเยิดไปที่พรพรรณซึ่งยืนน้ำตาคลอเฝ้าอยู่ปลายเตียง ‘แม่เขาเก็บโฉนดไว้ เอาที่ดินไปขายซะแล้วเอาเงินมาทำงาน’
‘ครับพ่อ’ เขารับปากพร้อมน้ำตารินร่วง แม้จนวาระสุดท้าย พ่อก็ยังห่วงชาวบ้านพวกนั้น ปกป้องเกือบจะหลุดปากออก ไปว่า ตอนนี้เขาไม่ได้ตกงานไม่ใช่ไม่มีรายได้อย่างที่พ่อเข้าใจ แต่เขารับราชการทหารมีรายได้พอสมควรและยังเงินเบี้ยกันดารที่เขาต้องมาฝังตัวอยู่ในพื้นที่ เป็นจำนวนเงินที่จะไม่ทำให้เขาขัดสนแต่อย่างใด
พ่ออย่าห่วงเลย ...พ่อเหนื่อยแล้ว ทำมามากแล้ว...
ลูกชายของพ่อจะสานต่ออุดมการณ์นี้เอง ...หลับให้สบายเถิด
งานศพของนายแพทย์ปริญญ์ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ปรากฏว่าผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมาร่วมงานอย่างเนืองแน่นเพื่อแสดงความอาลัยและระลึกถึงคุณงามความดีของนายแพทย์ปริญญ์
และในงานปกป้องได้พบผู้ใหญ่หลายคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้ที่เคยเคารพนับถือกันมากับพ่อของเขา คนเหล่านั้นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะสนับสนุนเขาให้สืบทอดงานของพ่อต่อไป มันทำให้ปกป้องเกิดกำลังใจอย่างมาก โดยเฉพาะเพื่อนพ่อที่เป็นหมอและรู้ว่าเขาไม่ได้เรียนจบแพทย์มา
แต่คนเหล่านี้ไม่คิดจะกีดกันเขาไปจากงานที่เสียสละอย่างมากเช่นนี้ มีแต่แนะนำว่า หากเกินกำลังที่เขาจะดูแลไหว ก็ให้ส่งต่อคนไข้เข้ามาในเมือง
ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลสตูลยินดีช่วยเหลือเต็มที่