วิวาห์ล้อมใจ ตอนที่ 4
กินกลางผิดตัว 2
ในจังหวะนั้นประตูของห้องตรงกันข้ามก็เปิดออกมา และเสียงที่ดังแทรกขึ้นมาก็ทำให้
กำนันชะงักไป เพราะภูตะวันซึ่งแม้จะตกใจที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าตนเองนั้น
กำลังนอนกอดกับกันตาอยู่บนเตียงในห้องนอนที่ทางฝ่ายหญิงพักอยู่ ทำให้เขาก็
แอบรู้สึกเป็นห่วงชื่อเสียงของหญิงสาวมาก
อีกใจชายหนุ่มก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนสนิทมากเช่นกัน เมื่อเริ่มจะรับรู้ได้ว่าสถานการณ์
ข้างนอกกำลังย่ำแย่ ภูตะวันจึงไม่อาจจะทนอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป เขาจึงกล่าวกำชับ
ไม่ให้กันตาตามเขาออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวออกจากห้อง ๆ นั้นมา และเขาก็
รีบเอ่ยขึ้นว่า
“กำนันใจเย็นนะครับ มีอะไรก็ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันก่อนดีกว่านะครับ”
“ก็เหมือนกัน พาเพื่อนเลว ๆ มาทำลูกสาวกู ตายไปซะด้วยกันเลยดีมั้ย” กำนัน
ที่กำลังโกรธจัดก็พาลพาโลไปยังภูตะวันซึ่งเพิ่งจะโผล่มาด้วยอีกคน
ด้วยความเป็นห่วงเจ้านายหนุ่ม เมื่อกันตาได้ยินว่ากำนันจะยิงภูตะวันด้วยอีกคน
หญิงสาวที่ถูกสั่งให้หลบอยู่แต่ในห้องก็กลับรีบเดินออกมาช่วยพูดห้ามกำนันด้วย
อีกแรงทันทีว่า
“กำนันอย่ายิงคุณภูเลยนะคะ ยิงคนมันผิดกฎหมาย มันไม่คุ้มกันหรอกนะคะ”
การที่คู่นี้เพิ่งจะโผล่ออกมาจากห้องนอนห้องเดียวกันก็ทำให้ญารินดากับยาหยี
ที่กำลังยืนตัวลีบกันอยู่ที่มุม ๆ หนึ่งก็แทบอยากจะเป็นลมตามป้าแมวไปด้วย
เหมือนกัน และถึงญารินดาจะอยากเข้าไปถามคำถามและยาหยีจะอยากเข้าไป
โวยวายกับภูตะวัน แต่ด้วยสถานการณ์อันตรึงเครียดระดับความเป็นความตาย
ตรงหน้า ทั้งสองสาวก็เลยได้แต่ยืนมองตาปริบ ๆ กันไปแบบเงียบ ๆ เช่นเดิม
แต่ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปมากกว่านั้น แก้วกิริยาที่แต่งตัวลวก ๆ เสร็จ
เรียบร้อยแล้ว ก็รีบเปิดประตูออกมา และเธอก็รีบก้าวเข้าไปขวางปากกระบอกปืน
ของบิดาเอาไว้ ก่อนที่หล่อนจะพูดออกมาทั้งน้ำตาว่า
“พ่ออย่ายิงคุณพัทธ์เลยนะพ่อ”
ก่อนหน้านี้เมื่อแก้วกิริยาได้ยินเสียงเอะอะข้างนอกห้องประมาณว่าบิดาจะยิง
ปฏิพัทธ์ หล่อนก็รู้สึกตกใจมาก หญิงสาวจึงรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่แบบ
ลวก ๆ เพราะในเวลานั้นเธอก็อดรู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เธอเริ่ม
กลัวว่าเขาจะตาย แล้วยิ่งเพราะความผิดแทบจะทั้งหมดนั้นเกิดจากตัวของ
หญิงสาวเอง หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าหล่อนจะปล่อยให้ปฏิพัทธ์ตายไม่ได้
หลังจากนั้น กำนันโตก็ตวาดไล่ให้ทุกคนลงจากชั้นสองกันไปให้หมด ทำให้
เจ้าบ่าวเจ้าสาวป้ายแดงรีบช่วยกันกวาดต้อนเหล่าบรรดาญาติ ๆ ให้ลงไปรอ
กันที่ชั้นล่าง ก่อนที่แกกับภรรยาจะปิดห้องคุยกับทั้ง 4 คน ซึ่งก็คือ แก้วกิริยา
ปฏิพัทธ์ ภูตะวันและกันตา โดยที่กำนันก็ไล่ถามเรียงคนโดยเริ่มที่กันตาเป็น
คนแรก และเธอก็ตอบสั้น ๆ แบบได้ใจความว่า
“แป้งกินยาแก้แพ้ แล้วก็นอนหลับเป็นตายไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยค่ะ ตื่นมาอีกที
ตอนเช้าแล้วเพราะได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าห้อง ก็พึ่งจะมาเห็นว่าคนที่นอน
ข้าง ๆ กันเป็นพี่ภูเนี่ยแหละค่ะ”
ประโยคท้ายนี้ก็ทำให้ใบหน้าขาว ๆ ของกันตาเปลี่ยนเป็นสีแดงสุกปลั่งขึ้นมา
ทันที เพราะจริง ๆ แล้วทั้งคู่ไม่ได้แค่ตื่นมาเจอว่าอีกคนนั้นนอนอยู่ข้าง ๆ ตัว
แต่ต่างคนต่างก็กำลังกอดซบกับอีกฝ่ายอยู่ แถมลำแขนของคนตัวใหญ่ก็ยัง
กอดรัดเรือนกายของเธอเอาไว้อย่างแนบแน่นอีกต่างหาก
ส่วนภูตะวันก็เล่าไปตามจริงว่าเขานั้นไปเข้าห้องน้ำตอนดึก แต่คงเพราะเมา
มาก ตอนกลับห้องมาถึงได้เข้าห้องผิดฝั่ง แถมเขาก็ยังยืนยันอีกว่า
“ผมเมามากครับ มาถึงเตียงก็นอนเลย ไม่ได้ดูว่าคนที่นอนอยู่ไม่ใช่ไอ้พัทธ์
แต่คือผมไม่ได้ตั้งใจจะเข้าผิดห้องจริง ๆ นะครับ”
ส่วนแก้วกิริยา หล่อนก็เอาแต่นั่งน้ำตาหยดด้วยความกลัว แต่แล้ว
เมื่อปฏิพัทธ์เริ่มพูดออกมา หญิงสาวก็ถึงกับต้องหันไปมองหน้าของชายหนุ่ม
เพราะคำที่เขาพูดออกมาก็คือ...
วิวาห์ล้อมใจ ตอนที่ 4 ค่ะ
กินกลางผิดตัว 2
ในจังหวะนั้นประตูของห้องตรงกันข้ามก็เปิดออกมา และเสียงที่ดังแทรกขึ้นมาก็ทำให้
กำนันชะงักไป เพราะภูตะวันซึ่งแม้จะตกใจที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าตนเองนั้น
กำลังนอนกอดกับกันตาอยู่บนเตียงในห้องนอนที่ทางฝ่ายหญิงพักอยู่ ทำให้เขาก็
แอบรู้สึกเป็นห่วงชื่อเสียงของหญิงสาวมาก
อีกใจชายหนุ่มก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนสนิทมากเช่นกัน เมื่อเริ่มจะรับรู้ได้ว่าสถานการณ์
ข้างนอกกำลังย่ำแย่ ภูตะวันจึงไม่อาจจะทนอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป เขาจึงกล่าวกำชับ
ไม่ให้กันตาตามเขาออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวออกจากห้อง ๆ นั้นมา และเขาก็
รีบเอ่ยขึ้นว่า
“กำนันใจเย็นนะครับ มีอะไรก็ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันก่อนดีกว่านะครับ”
“ก็เหมือนกัน พาเพื่อนเลว ๆ มาทำลูกสาวกู ตายไปซะด้วยกันเลยดีมั้ย” กำนัน
ที่กำลังโกรธจัดก็พาลพาโลไปยังภูตะวันซึ่งเพิ่งจะโผล่มาด้วยอีกคน
ด้วยความเป็นห่วงเจ้านายหนุ่ม เมื่อกันตาได้ยินว่ากำนันจะยิงภูตะวันด้วยอีกคน
หญิงสาวที่ถูกสั่งให้หลบอยู่แต่ในห้องก็กลับรีบเดินออกมาช่วยพูดห้ามกำนันด้วย
อีกแรงทันทีว่า
“กำนันอย่ายิงคุณภูเลยนะคะ ยิงคนมันผิดกฎหมาย มันไม่คุ้มกันหรอกนะคะ”
การที่คู่นี้เพิ่งจะโผล่ออกมาจากห้องนอนห้องเดียวกันก็ทำให้ญารินดากับยาหยี
ที่กำลังยืนตัวลีบกันอยู่ที่มุม ๆ หนึ่งก็แทบอยากจะเป็นลมตามป้าแมวไปด้วย
เหมือนกัน และถึงญารินดาจะอยากเข้าไปถามคำถามและยาหยีจะอยากเข้าไป
โวยวายกับภูตะวัน แต่ด้วยสถานการณ์อันตรึงเครียดระดับความเป็นความตาย
ตรงหน้า ทั้งสองสาวก็เลยได้แต่ยืนมองตาปริบ ๆ กันไปแบบเงียบ ๆ เช่นเดิม
แต่ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปมากกว่านั้น แก้วกิริยาที่แต่งตัวลวก ๆ เสร็จ
เรียบร้อยแล้ว ก็รีบเปิดประตูออกมา และเธอก็รีบก้าวเข้าไปขวางปากกระบอกปืน
ของบิดาเอาไว้ ก่อนที่หล่อนจะพูดออกมาทั้งน้ำตาว่า
“พ่ออย่ายิงคุณพัทธ์เลยนะพ่อ”
ก่อนหน้านี้เมื่อแก้วกิริยาได้ยินเสียงเอะอะข้างนอกห้องประมาณว่าบิดาจะยิง
ปฏิพัทธ์ หล่อนก็รู้สึกตกใจมาก หญิงสาวจึงรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่แบบ
ลวก ๆ เพราะในเวลานั้นเธอก็อดรู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เธอเริ่ม
กลัวว่าเขาจะตาย แล้วยิ่งเพราะความผิดแทบจะทั้งหมดนั้นเกิดจากตัวของ
หญิงสาวเอง หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าหล่อนจะปล่อยให้ปฏิพัทธ์ตายไม่ได้
หลังจากนั้น กำนันโตก็ตวาดไล่ให้ทุกคนลงจากชั้นสองกันไปให้หมด ทำให้
เจ้าบ่าวเจ้าสาวป้ายแดงรีบช่วยกันกวาดต้อนเหล่าบรรดาญาติ ๆ ให้ลงไปรอ
กันที่ชั้นล่าง ก่อนที่แกกับภรรยาจะปิดห้องคุยกับทั้ง 4 คน ซึ่งก็คือ แก้วกิริยา
ปฏิพัทธ์ ภูตะวันและกันตา โดยที่กำนันก็ไล่ถามเรียงคนโดยเริ่มที่กันตาเป็น
คนแรก และเธอก็ตอบสั้น ๆ แบบได้ใจความว่า
“แป้งกินยาแก้แพ้ แล้วก็นอนหลับเป็นตายไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยค่ะ ตื่นมาอีกที
ตอนเช้าแล้วเพราะได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าห้อง ก็พึ่งจะมาเห็นว่าคนที่นอน
ข้าง ๆ กันเป็นพี่ภูเนี่ยแหละค่ะ”
ประโยคท้ายนี้ก็ทำให้ใบหน้าขาว ๆ ของกันตาเปลี่ยนเป็นสีแดงสุกปลั่งขึ้นมา
ทันที เพราะจริง ๆ แล้วทั้งคู่ไม่ได้แค่ตื่นมาเจอว่าอีกคนนั้นนอนอยู่ข้าง ๆ ตัว
แต่ต่างคนต่างก็กำลังกอดซบกับอีกฝ่ายอยู่ แถมลำแขนของคนตัวใหญ่ก็ยัง
กอดรัดเรือนกายของเธอเอาไว้อย่างแนบแน่นอีกต่างหาก
ส่วนภูตะวันก็เล่าไปตามจริงว่าเขานั้นไปเข้าห้องน้ำตอนดึก แต่คงเพราะเมา
มาก ตอนกลับห้องมาถึงได้เข้าห้องผิดฝั่ง แถมเขาก็ยังยืนยันอีกว่า
“ผมเมามากครับ มาถึงเตียงก็นอนเลย ไม่ได้ดูว่าคนที่นอนอยู่ไม่ใช่ไอ้พัทธ์
แต่คือผมไม่ได้ตั้งใจจะเข้าผิดห้องจริง ๆ นะครับ”
ส่วนแก้วกิริยา หล่อนก็เอาแต่นั่งน้ำตาหยดด้วยความกลัว แต่แล้ว
เมื่อปฏิพัทธ์เริ่มพูดออกมา หญิงสาวก็ถึงกับต้องหันไปมองหน้าของชายหนุ่ม
เพราะคำที่เขาพูดออกมาก็คือ...