นายอำเภอหนุ่มนิ่งไตร่ตรองสติก่อนตอบ
“ถ้าสิ่งที่น้องริมชลเห็นเป็นร่างคน และเป็นผู้หญิงด้วย พี่ว่าเราเห็นสิ่งเดียวกัน”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่นิ่งเงียบใช้ความคิด จะเป็นด้วยบรรยากาศหรืออะไรก็ตาม หล่อนได้เผลอพูดในแง่บวกออกมา
“นายนี้ใจเย็นเหมือนกันนะ คุมสติได้ดี ไม่ยิงอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ฉันนี่สิพอไฟเปิดขึ้นมาก็ยิงตะบันไม่ได้ตั้งศูนย์เล็งเลย”
ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ริมชล แม้จะไม่กระจ่างนักในความมืด แต่ก็ทำให้ผู้เห็นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
“พี่เคยฝึกมาอย่างหนักครับ พอเห็นว่าเป็นคน อนุสติมันก็เลยยั้งไม่ให้ยิง อีกอย่างมันไม่อยู่ในทางปืน ยิงไปก็ไม่มีความหมาย”
“นายยังเชื่ออีกหรือว่าสิ่งนั้นเป็นคน” หญิงสาวถามขึ้นอย่างสงสัย
เมี่ยงคำมองไปในความมืด ตรงจุดที่เพิ่งยิงกันหูดับตับไหม้ ค่อยๆคิดก่อนตอบ
“พี่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาทำให้เชื่อได้เลยว่าที่เราเห็นนั้นเป็นคน แม้ว่าเราจะเห็นเหมือนกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคน ข้อแรกคือ ผู้หญิงธรรมดาที่ไหนมาค่ำๆมืดๆในป่าคนเดียว ข้อสอง ป่าก็ออกกว้าง ทำไมจำเพาะต้องมาตรงที่เราผูกควายไว้ล่อเสือพอดี ข้อสาม พวกเรากระหน่ำยิงกันขนาดนั้น เขาหลบหลีกได้คล่องมาก ไม่ต้องพรุ่งนี้ลงไปดูรอยเลือด พี่ก็บอกได้ตอนนี้เลยว่ากระสุนยิงไม่ถูกอะไรสิ่งนั้นสักนัด”
ริมชลคิดตามแล้วพยักหน้า นายอำเภอหนุ่มมองนาฬิกาหน้าปัดพรายน้ำที่ข้อมือแล้วพูดขึ้น
“นอนเถอะ คืนนี้เราทำอะไรอีกไม่ได้แล้ว”
“เชิญนายนอนไปคนเดียวเถอะ ยุงริ้นไรออกจะเยอะ” หญิงสาวพูดเสียงสะบัดก็จริง แต่ความเป็นปฎิปักษ์นั่นได้แผ่วลงแล้ว
“เชื่อไหมเมื่อสักครู่ฉันแทบกลั้นใจ ยุงกัดหน้าฉันยังไม่กล้าปัด กลัวเสือรู้ตัว”
“นอนไปไม่ต้องห่วง พี่จะคอยปัดให้” สุ้มเสียงอันนุ่มนวลนั้นทำให้หญิงสาวใจอ่อนไหว วูบวาบแต่แล้วหล่อนก็ทำใจแข็ง ค้อนขวับให้ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นหรือเปล่า
“อย่าเลย นายจะมาหลอกตบหน้าฉันแล้วบอกว่าตบยุงนะสิ”
นายอำเภอหนุ่มไม่ใช่คนพิรี้พิไร เมื่อหญิงสาวปฏิเสธความหวังดี เขาก็ไม่วุ่นวายต่อ บอกราตรีสวัสดิ์สั้นๆ
“ถ้างั้นพี่นอนแล้วนะ” แล้วชายหนุ่มพิงหลังกับต้นไม้ สักพักก็หลับลงดื้อๆ ด้วยความที่ตอนฝึกคุ้นเคยกับการนอนกลางดินกินกลางทรายเป็นอย่างดี
หญิงสาวมองแล้วแค่นเสียงดัง”เชอะ” นึกในใจว่า
“อีตาบ้า บอกจะนอนก็นอน ไม่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนเราเลย”
เอาเข้าจริงๆดึกสงัดน้ำค้างลงหนัก อากาศเย็นสบาย สักพักหล่อนก็ง่วงเหงาหาวนอนเช่นกัน เนื่องจากมีเรื่องให้ทำทั้งวัน เรียกว่าไปเตรียมตัวรับปริญญาแต่เช้ากลับมาบ้านก็เข้าป่าล่าเสือเลยไม่ได้หยุด
หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ริมชลสะดุ้งตื่นมากลางดึก อากาศยังรายรอบด้วยความมืดสนิท หล่อนไม่ผูกนาฬิกาข้อมือเพราะขี้รำคาญ เหลียวจะไปดูเวลาเรือนที่ข้อมือชายหนุ่มบนแคร่เดียวกัน เขาก็ดันหลับในท่านั่งกอดปืน กุมปิดข้อมือข้างนั้นไว้เสียอีก
หล่อนก็เกิดความรู้สึกวังเวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฟังเสียงป่าที่เงียบงัน ไม่เสียงแม้แต่สัตว์แมลง ป่าคงแตกกระเจิงไปแล้ว มิเช่นนั้นต้องได้ยินเสียงสัตว์กลางคืนบ้าง
ทันใดนั้น ริมชลมีความรู้สึกว่าในความสงัดนั้น มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็น และสิ่งนั้นก็ซุ่มมองหล่อนมาจากมุมใดมุมหนึ่งของป่า
ต่อให้มีความก๋ากั่นอย่างไร เนื้อแท้ก็มีความหวาดกลัวเช่นผู้หญิง ดั่งเช่นตอนนี้ ริมชลไม่เคยอยากให้ฟ้าสว่างเร็วๆเท่าคืนนี้มาก่อน
เจ้าควายตัวนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง หล่อนจะชะโงกหน้าลงไปดูก็ไม่กล้า ถึงจะดูก็คงไม่เห็นอะไร แม้ฟ้าจะมีแสงดาวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไร ท่ามกลางป่ารกทึบเช่นนี้
อยากจะเรียกชายหนุ่มข้างๆก็กลัวเสียมาด นึกในใจว่าทนหลับตานอนเข้าไปเดี๋ยวก็ถึงเช้าเอง แต่ขณะจะปิดเปลือกตาลงนั้น
หูหล่อนสำเหนียกเสียงย่ำใบไม้ มันดังอย่างชัดเจนในความเงียบสงัด หรือมิเช่นนั้นเจ้าของเสียงก็จงใจให้ได้ยิน
เสียงฝีเท้านั้นเข้ามาไกลเรื่อยๆ และถ้าฟังไม่ผิดมันมุ่งตรงมาที่ใต้ห้างแห่งนี้ ริมชลหันไปมองทางห้างอีกฝั่ง หล่อนไม่เห็นบนห้างมีความเคลื่อนไหวอะไร ไม่รู้เป็นเพราะว่าหลับสนิทหรือหูทางฝ่ายนั้นจับเสียงไม่ได้
ริมชลนั่งห้าง 2 (ตอนจบ )โดย Furryjit
“ถ้าสิ่งที่น้องริมชลเห็นเป็นร่างคน และเป็นผู้หญิงด้วย พี่ว่าเราเห็นสิ่งเดียวกัน”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่นิ่งเงียบใช้ความคิด จะเป็นด้วยบรรยากาศหรืออะไรก็ตาม หล่อนได้เผลอพูดในแง่บวกออกมา
“นายนี้ใจเย็นเหมือนกันนะ คุมสติได้ดี ไม่ยิงอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ฉันนี่สิพอไฟเปิดขึ้นมาก็ยิงตะบันไม่ได้ตั้งศูนย์เล็งเลย”
ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ริมชล แม้จะไม่กระจ่างนักในความมืด แต่ก็ทำให้ผู้เห็นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
“พี่เคยฝึกมาอย่างหนักครับ พอเห็นว่าเป็นคน อนุสติมันก็เลยยั้งไม่ให้ยิง อีกอย่างมันไม่อยู่ในทางปืน ยิงไปก็ไม่มีความหมาย”
“นายยังเชื่ออีกหรือว่าสิ่งนั้นเป็นคน” หญิงสาวถามขึ้นอย่างสงสัย
เมี่ยงคำมองไปในความมืด ตรงจุดที่เพิ่งยิงกันหูดับตับไหม้ ค่อยๆคิดก่อนตอบ
“พี่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาทำให้เชื่อได้เลยว่าที่เราเห็นนั้นเป็นคน แม้ว่าเราจะเห็นเหมือนกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคน ข้อแรกคือ ผู้หญิงธรรมดาที่ไหนมาค่ำๆมืดๆในป่าคนเดียว ข้อสอง ป่าก็ออกกว้าง ทำไมจำเพาะต้องมาตรงที่เราผูกควายไว้ล่อเสือพอดี ข้อสาม พวกเรากระหน่ำยิงกันขนาดนั้น เขาหลบหลีกได้คล่องมาก ไม่ต้องพรุ่งนี้ลงไปดูรอยเลือด พี่ก็บอกได้ตอนนี้เลยว่ากระสุนยิงไม่ถูกอะไรสิ่งนั้นสักนัด”
ริมชลคิดตามแล้วพยักหน้า นายอำเภอหนุ่มมองนาฬิกาหน้าปัดพรายน้ำที่ข้อมือแล้วพูดขึ้น
“นอนเถอะ คืนนี้เราทำอะไรอีกไม่ได้แล้ว”
“เชิญนายนอนไปคนเดียวเถอะ ยุงริ้นไรออกจะเยอะ” หญิงสาวพูดเสียงสะบัดก็จริง แต่ความเป็นปฎิปักษ์นั่นได้แผ่วลงแล้ว
“เชื่อไหมเมื่อสักครู่ฉันแทบกลั้นใจ ยุงกัดหน้าฉันยังไม่กล้าปัด กลัวเสือรู้ตัว”
“นอนไปไม่ต้องห่วง พี่จะคอยปัดให้” สุ้มเสียงอันนุ่มนวลนั้นทำให้หญิงสาวใจอ่อนไหว วูบวาบแต่แล้วหล่อนก็ทำใจแข็ง ค้อนขวับให้ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นหรือเปล่า
“อย่าเลย นายจะมาหลอกตบหน้าฉันแล้วบอกว่าตบยุงนะสิ”
นายอำเภอหนุ่มไม่ใช่คนพิรี้พิไร เมื่อหญิงสาวปฏิเสธความหวังดี เขาก็ไม่วุ่นวายต่อ บอกราตรีสวัสดิ์สั้นๆ
“ถ้างั้นพี่นอนแล้วนะ” แล้วชายหนุ่มพิงหลังกับต้นไม้ สักพักก็หลับลงดื้อๆ ด้วยความที่ตอนฝึกคุ้นเคยกับการนอนกลางดินกินกลางทรายเป็นอย่างดี
หญิงสาวมองแล้วแค่นเสียงดัง”เชอะ” นึกในใจว่า
“อีตาบ้า บอกจะนอนก็นอน ไม่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนเราเลย”
เอาเข้าจริงๆดึกสงัดน้ำค้างลงหนัก อากาศเย็นสบาย สักพักหล่อนก็ง่วงเหงาหาวนอนเช่นกัน เนื่องจากมีเรื่องให้ทำทั้งวัน เรียกว่าไปเตรียมตัวรับปริญญาแต่เช้ากลับมาบ้านก็เข้าป่าล่าเสือเลยไม่ได้หยุด
หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ริมชลสะดุ้งตื่นมากลางดึก อากาศยังรายรอบด้วยความมืดสนิท หล่อนไม่ผูกนาฬิกาข้อมือเพราะขี้รำคาญ เหลียวจะไปดูเวลาเรือนที่ข้อมือชายหนุ่มบนแคร่เดียวกัน เขาก็ดันหลับในท่านั่งกอดปืน กุมปิดข้อมือข้างนั้นไว้เสียอีก
หล่อนก็เกิดความรู้สึกวังเวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฟังเสียงป่าที่เงียบงัน ไม่เสียงแม้แต่สัตว์แมลง ป่าคงแตกกระเจิงไปแล้ว มิเช่นนั้นต้องได้ยินเสียงสัตว์กลางคืนบ้าง
ทันใดนั้น ริมชลมีความรู้สึกว่าในความสงัดนั้น มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็น และสิ่งนั้นก็ซุ่มมองหล่อนมาจากมุมใดมุมหนึ่งของป่า
ต่อให้มีความก๋ากั่นอย่างไร เนื้อแท้ก็มีความหวาดกลัวเช่นผู้หญิง ดั่งเช่นตอนนี้ ริมชลไม่เคยอยากให้ฟ้าสว่างเร็วๆเท่าคืนนี้มาก่อน
เจ้าควายตัวนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง หล่อนจะชะโงกหน้าลงไปดูก็ไม่กล้า ถึงจะดูก็คงไม่เห็นอะไร แม้ฟ้าจะมีแสงดาวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไร ท่ามกลางป่ารกทึบเช่นนี้
อยากจะเรียกชายหนุ่มข้างๆก็กลัวเสียมาด นึกในใจว่าทนหลับตานอนเข้าไปเดี๋ยวก็ถึงเช้าเอง แต่ขณะจะปิดเปลือกตาลงนั้น
หูหล่อนสำเหนียกเสียงย่ำใบไม้ มันดังอย่างชัดเจนในความเงียบสงัด หรือมิเช่นนั้นเจ้าของเสียงก็จงใจให้ได้ยิน
เสียงฝีเท้านั้นเข้ามาไกลเรื่อยๆ และถ้าฟังไม่ผิดมันมุ่งตรงมาที่ใต้ห้างแห่งนี้ ริมชลหันไปมองทางห้างอีกฝั่ง หล่อนไม่เห็นบนห้างมีความเคลื่อนไหวอะไร ไม่รู้เป็นเพราะว่าหลับสนิทหรือหูทางฝ่ายนั้นจับเสียงไม่ได้