รถญี่ปุ่นรุ่นค่อนข้างใหม่คันนั้นเลี้ยวจากถนนออกนอกหมู่บ้าน มาสู่ทางดินแดงสายที่กว้างพอเพียงให้รถคันหนึ่งวิ่งผ่านได้
พอขับไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มสำอางผู้หนึ่ง ท่าทางมีจริตจะก้านนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ ร้องเสียงแหลมขึ้น
“ว้าย ยายระวี ทำไมถนนมันแคบอย่างนี้ ถ้ารถวิ่งสวนมาจะทำไง”
หญิงสาวรูปหน้าใข่ ขนตาเชิ้งงอนเม้มริมฝีปากแน่น หากแต่มือประคองพวงมาลัยอย่างระวัง ตอบอย่างมั่นใจ
“จะทำไงได้ล่ะ เก็จ รถคันก็ต้องถอยไปยังที่มาน่ะสิ มันไม่มีที่กลับรถ ฉันเข้ามาลึกขนาดนี้แล้ว จะให้ขับถอยหลังไปตลอดจนถึงทางออกหรือไง”
แม้เส้นทางซึ่งกำลังแล่นไม่มีรถวิ่งสวนมา แต่สิ่งที่เจอข้างหน้านั้นร้ายกว่า เพราะพอรถวิ่งต่อไป ไม่นานก็พบว่าทางฝั่งผู้โดยสารเป็นเนินกำแพงดินสูงท่วมหลังคารถ ต้นหมากรากไม้เขียวขจี ส่วนทางฝั่งผู้ขับเป็นแอ่งกระทะลงไป มีพืชผลทางการเกษตรมากมาย
ถนนข้างหน้าบีบเล็กลง จนในที่สุดก็ไปต่อไม่ได้ ชายที่ชื่อเก็จซึ่งประทินหน้าจนขาวนวลอยู่แล้ว ยิ่งซีดเผือดลงไปอีก
“ตายล่ะ ถึงว่าไม่มีรถออกมาสักคัน ติดแหง็กกันอยู่ตรงนี้แน่ ถ้าไม่จอดรถแล้วเดินไป ก็ต้องถอยรถกลับแล้วล่ะ”
ระวีกรนิ่งเงียบเหมือนชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด
“ลงเดินเถอะเก็จ ทิ้งรถไว้ตรงนี้แหละ ยังไงวันนี้ฉันต้องทำในสิ่งที่ตั้งใจมาให้สำเร็จ เร็วเข้า มันเริ่มจะเย็นแล้ว”
โดยไม่ชักช้าหรือรอความเห็นเพื่อนร่วมทางแต่อย่างใด หญิงสาวลงจากรถไปเปิดประตูหลัง คว้าเป้ที่วางบนเบาะแค็บมาสะพายหลังอย่างทะมัดทะแมง
ชายหนุ่มร่างกระตุ้งกระติ้งแอบถอนหายใจ และทำตามอย่างไม่มีทางเลือก
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะออกเดิน ก็เห็นชายคนหนึ่งในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงน้ำทะเลสีซีดผ่านตรงมาทางนี้ เสื้อผ้าคร่ำคร่าแต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน เขาสวมหมวกถักไหมพรมครอบหู จึงเห็นรูปหน้าเป็นเหลี่ยมสันชัดเจน มีผมยาวพ้นหมวกออกมาประต้นคอ
ส่วนสูงของเขาประมาณ 183 ซึ่งเกินมาตรฐานชาวดอยทั่วๆไป ที่หลังสะพายตะกร้า ที่เอวเหน็บมีดเดินป่า
ชายผู้นั้นมองมาอย่างฉงน แต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้มากกว่านั้น
“ว้าย เท่ห์จังเลย “ ชายหนุ่มที่ชื่อเก็จหลุดกริยาออกมา “หุ่นอย่างกับนายแบบเลย อกผาย ไหล่กว้าง อยากเข้าไปดูหน้าใกล้ๆจัง ว่าหล่อแค่ไหน”
ระวีกรหันมาถลึงตาขุ่นใส่เพื่อนเพศทางเลือก ก่อนมองชายผู้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วร้องกึ่งทักกิ่งถามขึ้น
“ สวัสดีค่ะคุณ พวกเราผ่านมา รบกวนถามทางไปโฮมสเตย์ผาทองหน่อยคะ”
เขาไม่ตอบในทันที แต่เดินเข้ามาหาอย่างไม่มีท่าทีคุกคาม เหมือนกับได้ยินไม่ถนัด หรือมิเช่นนั้นก็ฟังภาษากลางไม่ออก
เมื่อเข้ามาใกล้ จึงได้เห็นหน้าว่าเขามีใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนาพาดเฉียงบนดวงตาสีเมล็ดลำไย จมูกโด่งราวประติมากรปั้น ริมฝีปากหยักได้รูป
เก็จมีท่าทีระทดระทวยทันที ทำท่าจะปรี่เข้าไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะสายตาวาวดุของเพื่อนสาวมองมา
“พวกคุณมาผิดที่แล้วครับ” เสียงนุ่มๆทุ้มๆดังขึ้น “แถวนี้ไม่มีหรอกโฮมสเตย์ อีกฟากหนึ่งของดอยนั่นแหละ ปลูกกันพรึ่บอย่างกับดอกเห็ด”
เพื่อนต่างเพศสองคนนิ่งอึ้งไป ไม่รู้เป็นเพราะสำเนียงไทยที่ชัดเจน หรือข้อมูลที่เพิ่งได้รับ
แม้ใจอยากจะกริ้ดกับชายที่อยู่เบื้องหน้าเพียงใด แต่สิ่งที่ได้ยินมาสลักสำคัญกว่า หนุ่มใจสาวถามเสียงสั่นขึ้น
“ถ้าเราไปตอนนี้ยังทันไหมฮ่ะคุณ ที่จะหาโฮมสเตย์ค้างคืน”
ชายหนุ่มผู้นั้นมองเลยหัวไหล่ทั้งคู่ไปยังรถที่จอดอยู่ แล้วพูดขึ้นเรียบๆ
“ให้ดึกดื่นมืดค่ำยังไง ก็มีโฮมสเตย์เปิดรับพวกคุณ มันไม่ต่างอะไรกับโรงแรมในเมืองแล้วครับ ถ้าไปถึงนะ แต่ผมเกรงว่าพวกคุณจะไปไม่ได้”
หญิงสาวมีท่าทีระแวงทันที เสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
“เพราะอะไรคะ ทำไมดิฉันกับเพื่อนถึงจะไปไม่ได้”
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจปฎิกริยาแข็งของหญิงสาว ถามเสียงปกติ
“รถของคุณที่ขับมา โฟร์วีลหรือเปล่า”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว “ เพราะรู้สึกฟังไม่เข้าหู หญิงสาวจึงเริ่มพูดไม่มีหางเสียง “ก็แค่รถเล็กๆแต่ขับไปไหนมาไหนได้แล้วกัน”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นผมก็เสียใจด้วย ที่คุณสองคนหมดหวังแล้วถ้าจะกลับไปทางเก่า ทางที่คุณเข้ามาเป็นทางลาด แต่ถ้าจะกลับไปมันเป็นเนิน รถคุณไม่มีกำลังไต่ถึงแน่นอน ยิ่งทางชื้นแฉะเพราะฝนแล้วด้วย”
“เอ้ะ ใครจะไปรู้”หญิงสาวอุทานเสียงสูง “แล้วทำทางไว้ทำไม ล่อให้คนขับรถมาติดกับงั้นหรือ”
ชายหนุ่มยังคงรักษาสีหน้าปกติปราศจากความไม่พอใจ
“มีป้ายติดอยู่หน้าทางเข้าครับ คุณผู้หญิง ว่ารถยนต์ห้ามเข้า มอเตอร์ไซค์เข้าได้ คำเตือนมีทั้งภาษาไทย กระเหรี่ยงมอญ พม่า ลาว”
หญิงสาวใจหายวาบ เพราะไม่ได้ใส่ใจมองแต่แรก หากภายนอกยังรักษามาดไว้
“แล้วปกติเวลาจะเข้าหมู่บ้านไปซื้อของจำเป็น คุณไปยังไงฮ่ะ “ เก็จถามด้วยน้ำเสียงวิตก
“ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป” ชายหนุ่มตอบอย่างสุภาพ“แต่ก็ใช่ว่าผมจะไปได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะตอนพื้นถนนเป็นหล่มโคลนอย่างนี้”
เก็จมองหน้าชายหนุ่ม ถามต่อด้วยความหวังเรืองรอง
“โธ่คุณ แล้วผมสองคนจะทำยังไงกันดีฮ่ะ ถนนต่อไปมีแต่ทางมอเตอร์ไซค์ รถยนตร์ขับไปไม่ได้”
“เก็บของที่จำเป็น แล้วตามผมไปที่บ้าน” เขาพูดหน้านิ่ง “ถ้าสิ่งที่พวกคุณต้องการคือที่พักค้างคืน บ้านผมสามารถรองรับได้ ถึงแม้จะไม่สบายนัก”
หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความไม่ไว้วางใจอย่างเปิดเผย พลางยิ้มเยาะ
“ที่แท้คุณก็หาลูกค้ามาพักนี่เอง แล้วก็ไม่บอกแต่แรก คิดคืนล่ะเท่าไหร่ล่ะ”
เก็จรีบมาจับแขนเพื่อนเพื่อปราม ส่วนชายหนุ่ยปรายตามองมายังหล่อนด้วยอาการที่ไม่ยินดียินร้าย
“ถ้าคุณคิดอย่างนั้นผมก็จะไม่พูดอะไรอีก” แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เมฆฝนตั้งเค้าแล้ว พวกคุณควรไปเอาเสบียงที่เตรียมมาไปไว้ในรถและอยู่แต่ในรถ ฝนที่นี้ตกแรงมาก และตกข้ามวันข้ามคืนไม่หยุด ผมขอเตือนว่าอย่าได้เดินเท้าต่อไปข้างหน้า แม้ว่าคุณจะมีเสื้อฝนติดมาด้วยก็ตาม ถ้าไม่นับบ้านผมแล้ว บ้านหลังแรกที่คุณจะเจอถัดห่างไปอีกสิบกว่ากิโลเมตร โชคดีครับ”
แล้วเขาก็ยกสองมือสอดจับสายสะพายที่ติดกับตระกร้า หันหลังและเดินไปตามทางที่มาโดยไม่เหลียวหลังมองอีก
สาวในร่างหนุ่มเห็นแล้วใจหาย รีบเขย่าแขนระวีกร
“ยายระวี ทำไมไปพูดกับเขาอย่างนั้น แล้วนี่แล้วเราจะนอนกันยังไง ให้ฉันนอนในรถทั้งคืนกับเธอไม่เอาหรอกนะ แล้วอีกอย่าง “ เก็จทำท่าวิตกจริต “ เรามีอาหารติดรถมาด้วยที่ไหน มาหวังน้ำบ่อหน้าทั้งนั้น ไม่ได้คิดว่าจะขับรถหลง”
ระวีกรกัดริมฝีปาก ท่าทีของหล่อนไม่อ่อนลง
“ฉันจะโทรหาลุงฉันที่เป็นผู้กำกับให้เอารถโฟร์วีลมาลากออก”
“โทรไปเลยย่ะ” เก็จตวัดเสียงประชด “ เบิ่งตามองโทรศัพท์หรือยังจ้ะ ว่ามันมีสัญญาณสักขีดไหม อยู่ใกล้ภูเขาอย่างนี้ไม่งั้นฉันก็แนะนำให้เธอทำแต่แรกแล้ว”
หญิงสาวพูดไม่ออก ชายใจหญิงค้อนควักรู้ทันทีว่าเพื่อนสาวจนหนทางแล้วแต่ยังทำปากแข็งอยู่
เขาจึงไม่ให้ความสำคัญอีกว่าหล่อนจะคิดยังไง รีบวิ่งตามชายหนุ่มไป พลางตะโกนโหวกเหวก
“คุณๆรอก่อนฮะ”
เมื่อตามไปทัน สองคนนั้นหยุดยืนคุยอะไรกันครู่หนึ่ง แลเห็นชายหนุ่มร่างสูงชำเลืองมองมายังระวีกรแว่บหนึ่งก่อนยืนนิ่งรออย่างสงบ
ลักษณะเหมือนสนทนาพาทีกันเรียบร้อย เก็จก็วิ่งกลับมาหาหล่อน แล้วละล่ำละลักพูด
“รีบไปเลยยายระวี คุณนั้นชื่อจงรัก เขาบอกว่าฝนกำลังจะลงเม็ดในอีกไม่ช้า บ้านของเขาขนาดว่าใกล้แล้วยังต้องเดินอีกประมาณหนึ่งกิโล ฝนบนดอยตกหนักมาก กลัวว่าพวกเราโดนฝนเข้าแล้วเปลี่ยวดำจะจับเอา”
หญิงสาวเลิกคิ้วเฉียงสวยตามธรรมชาติอย่างสงสัย
“อะไรคือเปลี่ยวดำ”
“ไข้หวัดนะสิ โอ้ย ฉันก็รู้แค่นี้ตามที่คุณจงรักเขาบอกนั่นแหละ “ชายเพศที่สามร้องอย่างรำคาญ
“รีบไปกันเถอะอย่าเพิ่งถามเลย” แล้วเกจก็คว้าแขนเพื่อนสาวเดินไปข้างหน้า
ตลอดทางที่เดินไป ระวีกรมองหลังชายหนุ่มที่เดินนำหน้าด้วยความรู้สึกไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ หากแต่ฝ่ายนั้นไม่กระโตกกระตากพิรุธอะไรออกมา จังหวะการเดินของเขาเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ แต่น่าแปลกที่เธอกับเก็จต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งถึงจะตามทัน
ฝนเริ่มตกเปาะแปะลงมาในตอนแรก แล้วก็เทโครมลงมาราวกับฟ้ารั่ว ทำให้ทัศนวิสัยพร่ามัวมองไม่เห็นทางเต็มร้อยหนทางก็ลื่นแฉะ รองเท้าเทนนิสที่หญิงสาวสวมมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่เหมาะกับถนนหนทางนี้แม้แต่น้อย
ในที่สุดหล่อนก็ลื่นไถลล้มก้นแปะ จนร้องอุทานออกมา แต่เสียงฝนเสียงลมทำให้เก็จซึ่งพยายามฝ่าสายพิรุณไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่ได้ยิน
ระวีกรพยายามลุกขึ้น ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาข้างหน้าเธอ
“จับมือผม”
หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไป แขนอันแข็งแรงดึงร่างเธอขึ้นมายืนได้บนสองขาตนเอง
ระวีกรนึกว่าเขาจะปล่อยเธอแค่นั้น หากแต่เขากลับจูงมือเธออย่างนุ่มนวลพาเดินไปข้างหน้า
เก็จหันมามองมองอย่างงุนงง แต่เมื่อเห็นด้านหลังที่เปื้อนโคลนของเพื่อนสาวก็พอจะเข้าใจได้
ทางเดินเข้าบ้านหลังนั้น เป็นทางแคบทอดยาว สองฝากทางที่มีรั้วไม้เตี้ยๆกั้น อุดมไปด้วยพืชผักสวนครัว และดอกไม้นานาพันธุ์ มีระแนงไม้สูงสำหรับพืชพันธุ์เลื้อยบางชนิด
บ้านใต้ถุนสูงหลังนั้นเห็นได้ตามชนบททั่วไป ก่อสร้างโดยไม่มีไม้แปรรูปแม้แต่ชิ้นเดียว โคนเสาทุกต้นเป็นไม้ประเภทหนึ่งที่ลำต้นตรง รวมถึงคานอันแข็งแรง ส่วนที่เหลือเป็นไม้ไผ่เสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าผนังบ้านที่ใช้ไม้ไผ่มาสับแฝกติดเป็นฝา หลังคามุงจากเรียงเป็นตับอย่างสวยงาม
เสียงหมาเห่าดังต้อนรับมาจากบนเรือน ระวีกรกับเก็จกำลังเก้ๆกังๆว่าจะทำอะไร ชายหนุ่มก็วางตระกร้าที่สะพายมาลงที่ตีนบันได แล้วหันมาพูด
“พวกคุณรอผมตรงนี้ก่อน”
เขาเดินขึ้นเรือนหายไป ไฟฟ้าก็สว่างตามจุดต่างๆ ถึงแม้จะสว่างไสวไม่เท่าในเมือง แต่ก็ช่วยให้เห็นอะไรๆได้ดีมากกว่าเดิม
ถึงแม้เพิ่งมาเยือนเป็นครั้งแรก แต่สองสาวทั้งแท้และทางเลือกก็ตระหนักดีว่า ไฟฟ้ายังไม่มีโอกาสเข้ามาถึงดอยแห่งนี้แหล่งกำเนิดไฟฟ้าในพื้นที่จึงน่าจะะมาจากแผงโซลาร์เซลล์อย่างเดียวตามที่ทราบจากข่าว ซึ่งมั่นใจได้เลยว่ามันต้องถูกติดตั้งอยู่แถวบริเวณนี้ที่ไหนสักแห่งแม้จะยังไม่เห็นได้ด้วยสายตา
ความจริงที่ปรากฏในฝัน โดย Furryjit
พอขับไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มสำอางผู้หนึ่ง ท่าทางมีจริตจะก้านนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ ร้องเสียงแหลมขึ้น
“ว้าย ยายระวี ทำไมถนนมันแคบอย่างนี้ ถ้ารถวิ่งสวนมาจะทำไง”
หญิงสาวรูปหน้าใข่ ขนตาเชิ้งงอนเม้มริมฝีปากแน่น หากแต่มือประคองพวงมาลัยอย่างระวัง ตอบอย่างมั่นใจ
“จะทำไงได้ล่ะ เก็จ รถคันก็ต้องถอยไปยังที่มาน่ะสิ มันไม่มีที่กลับรถ ฉันเข้ามาลึกขนาดนี้แล้ว จะให้ขับถอยหลังไปตลอดจนถึงทางออกหรือไง”
แม้เส้นทางซึ่งกำลังแล่นไม่มีรถวิ่งสวนมา แต่สิ่งที่เจอข้างหน้านั้นร้ายกว่า เพราะพอรถวิ่งต่อไป ไม่นานก็พบว่าทางฝั่งผู้โดยสารเป็นเนินกำแพงดินสูงท่วมหลังคารถ ต้นหมากรากไม้เขียวขจี ส่วนทางฝั่งผู้ขับเป็นแอ่งกระทะลงไป มีพืชผลทางการเกษตรมากมาย
ถนนข้างหน้าบีบเล็กลง จนในที่สุดก็ไปต่อไม่ได้ ชายที่ชื่อเก็จซึ่งประทินหน้าจนขาวนวลอยู่แล้ว ยิ่งซีดเผือดลงไปอีก
“ตายล่ะ ถึงว่าไม่มีรถออกมาสักคัน ติดแหง็กกันอยู่ตรงนี้แน่ ถ้าไม่จอดรถแล้วเดินไป ก็ต้องถอยรถกลับแล้วล่ะ”
ระวีกรนิ่งเงียบเหมือนชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด
“ลงเดินเถอะเก็จ ทิ้งรถไว้ตรงนี้แหละ ยังไงวันนี้ฉันต้องทำในสิ่งที่ตั้งใจมาให้สำเร็จ เร็วเข้า มันเริ่มจะเย็นแล้ว”
โดยไม่ชักช้าหรือรอความเห็นเพื่อนร่วมทางแต่อย่างใด หญิงสาวลงจากรถไปเปิดประตูหลัง คว้าเป้ที่วางบนเบาะแค็บมาสะพายหลังอย่างทะมัดทะแมง
ชายหนุ่มร่างกระตุ้งกระติ้งแอบถอนหายใจ และทำตามอย่างไม่มีทางเลือก
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะออกเดิน ก็เห็นชายคนหนึ่งในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงน้ำทะเลสีซีดผ่านตรงมาทางนี้ เสื้อผ้าคร่ำคร่าแต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน เขาสวมหมวกถักไหมพรมครอบหู จึงเห็นรูปหน้าเป็นเหลี่ยมสันชัดเจน มีผมยาวพ้นหมวกออกมาประต้นคอ
ส่วนสูงของเขาประมาณ 183 ซึ่งเกินมาตรฐานชาวดอยทั่วๆไป ที่หลังสะพายตะกร้า ที่เอวเหน็บมีดเดินป่า
ชายผู้นั้นมองมาอย่างฉงน แต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้มากกว่านั้น
“ว้าย เท่ห์จังเลย “ ชายหนุ่มที่ชื่อเก็จหลุดกริยาออกมา “หุ่นอย่างกับนายแบบเลย อกผาย ไหล่กว้าง อยากเข้าไปดูหน้าใกล้ๆจัง ว่าหล่อแค่ไหน”
ระวีกรหันมาถลึงตาขุ่นใส่เพื่อนเพศทางเลือก ก่อนมองชายผู้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วร้องกึ่งทักกิ่งถามขึ้น
“ สวัสดีค่ะคุณ พวกเราผ่านมา รบกวนถามทางไปโฮมสเตย์ผาทองหน่อยคะ”
เขาไม่ตอบในทันที แต่เดินเข้ามาหาอย่างไม่มีท่าทีคุกคาม เหมือนกับได้ยินไม่ถนัด หรือมิเช่นนั้นก็ฟังภาษากลางไม่ออก
เมื่อเข้ามาใกล้ จึงได้เห็นหน้าว่าเขามีใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนาพาดเฉียงบนดวงตาสีเมล็ดลำไย จมูกโด่งราวประติมากรปั้น ริมฝีปากหยักได้รูป
เก็จมีท่าทีระทดระทวยทันที ทำท่าจะปรี่เข้าไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะสายตาวาวดุของเพื่อนสาวมองมา
“พวกคุณมาผิดที่แล้วครับ” เสียงนุ่มๆทุ้มๆดังขึ้น “แถวนี้ไม่มีหรอกโฮมสเตย์ อีกฟากหนึ่งของดอยนั่นแหละ ปลูกกันพรึ่บอย่างกับดอกเห็ด”
เพื่อนต่างเพศสองคนนิ่งอึ้งไป ไม่รู้เป็นเพราะสำเนียงไทยที่ชัดเจน หรือข้อมูลที่เพิ่งได้รับ
แม้ใจอยากจะกริ้ดกับชายที่อยู่เบื้องหน้าเพียงใด แต่สิ่งที่ได้ยินมาสลักสำคัญกว่า หนุ่มใจสาวถามเสียงสั่นขึ้น
“ถ้าเราไปตอนนี้ยังทันไหมฮ่ะคุณ ที่จะหาโฮมสเตย์ค้างคืน”
ชายหนุ่มผู้นั้นมองเลยหัวไหล่ทั้งคู่ไปยังรถที่จอดอยู่ แล้วพูดขึ้นเรียบๆ
“ให้ดึกดื่นมืดค่ำยังไง ก็มีโฮมสเตย์เปิดรับพวกคุณ มันไม่ต่างอะไรกับโรงแรมในเมืองแล้วครับ ถ้าไปถึงนะ แต่ผมเกรงว่าพวกคุณจะไปไม่ได้”
หญิงสาวมีท่าทีระแวงทันที เสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
“เพราะอะไรคะ ทำไมดิฉันกับเพื่อนถึงจะไปไม่ได้”
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจปฎิกริยาแข็งของหญิงสาว ถามเสียงปกติ
“รถของคุณที่ขับมา โฟร์วีลหรือเปล่า”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว “ เพราะรู้สึกฟังไม่เข้าหู หญิงสาวจึงเริ่มพูดไม่มีหางเสียง “ก็แค่รถเล็กๆแต่ขับไปไหนมาไหนได้แล้วกัน”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นผมก็เสียใจด้วย ที่คุณสองคนหมดหวังแล้วถ้าจะกลับไปทางเก่า ทางที่คุณเข้ามาเป็นทางลาด แต่ถ้าจะกลับไปมันเป็นเนิน รถคุณไม่มีกำลังไต่ถึงแน่นอน ยิ่งทางชื้นแฉะเพราะฝนแล้วด้วย”
“เอ้ะ ใครจะไปรู้”หญิงสาวอุทานเสียงสูง “แล้วทำทางไว้ทำไม ล่อให้คนขับรถมาติดกับงั้นหรือ”
ชายหนุ่มยังคงรักษาสีหน้าปกติปราศจากความไม่พอใจ
“มีป้ายติดอยู่หน้าทางเข้าครับ คุณผู้หญิง ว่ารถยนต์ห้ามเข้า มอเตอร์ไซค์เข้าได้ คำเตือนมีทั้งภาษาไทย กระเหรี่ยงมอญ พม่า ลาว”
หญิงสาวใจหายวาบ เพราะไม่ได้ใส่ใจมองแต่แรก หากภายนอกยังรักษามาดไว้
“แล้วปกติเวลาจะเข้าหมู่บ้านไปซื้อของจำเป็น คุณไปยังไงฮ่ะ “ เก็จถามด้วยน้ำเสียงวิตก
“ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป” ชายหนุ่มตอบอย่างสุภาพ“แต่ก็ใช่ว่าผมจะไปได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะตอนพื้นถนนเป็นหล่มโคลนอย่างนี้”
เก็จมองหน้าชายหนุ่ม ถามต่อด้วยความหวังเรืองรอง
“โธ่คุณ แล้วผมสองคนจะทำยังไงกันดีฮ่ะ ถนนต่อไปมีแต่ทางมอเตอร์ไซค์ รถยนตร์ขับไปไม่ได้”
“เก็บของที่จำเป็น แล้วตามผมไปที่บ้าน” เขาพูดหน้านิ่ง “ถ้าสิ่งที่พวกคุณต้องการคือที่พักค้างคืน บ้านผมสามารถรองรับได้ ถึงแม้จะไม่สบายนัก”
หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความไม่ไว้วางใจอย่างเปิดเผย พลางยิ้มเยาะ
“ที่แท้คุณก็หาลูกค้ามาพักนี่เอง แล้วก็ไม่บอกแต่แรก คิดคืนล่ะเท่าไหร่ล่ะ”
เก็จรีบมาจับแขนเพื่อนเพื่อปราม ส่วนชายหนุ่ยปรายตามองมายังหล่อนด้วยอาการที่ไม่ยินดียินร้าย
“ถ้าคุณคิดอย่างนั้นผมก็จะไม่พูดอะไรอีก” แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เมฆฝนตั้งเค้าแล้ว พวกคุณควรไปเอาเสบียงที่เตรียมมาไปไว้ในรถและอยู่แต่ในรถ ฝนที่นี้ตกแรงมาก และตกข้ามวันข้ามคืนไม่หยุด ผมขอเตือนว่าอย่าได้เดินเท้าต่อไปข้างหน้า แม้ว่าคุณจะมีเสื้อฝนติดมาด้วยก็ตาม ถ้าไม่นับบ้านผมแล้ว บ้านหลังแรกที่คุณจะเจอถัดห่างไปอีกสิบกว่ากิโลเมตร โชคดีครับ”
แล้วเขาก็ยกสองมือสอดจับสายสะพายที่ติดกับตระกร้า หันหลังและเดินไปตามทางที่มาโดยไม่เหลียวหลังมองอีก
สาวในร่างหนุ่มเห็นแล้วใจหาย รีบเขย่าแขนระวีกร
“ยายระวี ทำไมไปพูดกับเขาอย่างนั้น แล้วนี่แล้วเราจะนอนกันยังไง ให้ฉันนอนในรถทั้งคืนกับเธอไม่เอาหรอกนะ แล้วอีกอย่าง “ เก็จทำท่าวิตกจริต “ เรามีอาหารติดรถมาด้วยที่ไหน มาหวังน้ำบ่อหน้าทั้งนั้น ไม่ได้คิดว่าจะขับรถหลง”
ระวีกรกัดริมฝีปาก ท่าทีของหล่อนไม่อ่อนลง
“ฉันจะโทรหาลุงฉันที่เป็นผู้กำกับให้เอารถโฟร์วีลมาลากออก”
“โทรไปเลยย่ะ” เก็จตวัดเสียงประชด “ เบิ่งตามองโทรศัพท์หรือยังจ้ะ ว่ามันมีสัญญาณสักขีดไหม อยู่ใกล้ภูเขาอย่างนี้ไม่งั้นฉันก็แนะนำให้เธอทำแต่แรกแล้ว”
หญิงสาวพูดไม่ออก ชายใจหญิงค้อนควักรู้ทันทีว่าเพื่อนสาวจนหนทางแล้วแต่ยังทำปากแข็งอยู่
เขาจึงไม่ให้ความสำคัญอีกว่าหล่อนจะคิดยังไง รีบวิ่งตามชายหนุ่มไป พลางตะโกนโหวกเหวก
“คุณๆรอก่อนฮะ”
เมื่อตามไปทัน สองคนนั้นหยุดยืนคุยอะไรกันครู่หนึ่ง แลเห็นชายหนุ่มร่างสูงชำเลืองมองมายังระวีกรแว่บหนึ่งก่อนยืนนิ่งรออย่างสงบ
ลักษณะเหมือนสนทนาพาทีกันเรียบร้อย เก็จก็วิ่งกลับมาหาหล่อน แล้วละล่ำละลักพูด
“รีบไปเลยยายระวี คุณนั้นชื่อจงรัก เขาบอกว่าฝนกำลังจะลงเม็ดในอีกไม่ช้า บ้านของเขาขนาดว่าใกล้แล้วยังต้องเดินอีกประมาณหนึ่งกิโล ฝนบนดอยตกหนักมาก กลัวว่าพวกเราโดนฝนเข้าแล้วเปลี่ยวดำจะจับเอา”
หญิงสาวเลิกคิ้วเฉียงสวยตามธรรมชาติอย่างสงสัย
“อะไรคือเปลี่ยวดำ”
“ไข้หวัดนะสิ โอ้ย ฉันก็รู้แค่นี้ตามที่คุณจงรักเขาบอกนั่นแหละ “ชายเพศที่สามร้องอย่างรำคาญ
“รีบไปกันเถอะอย่าเพิ่งถามเลย” แล้วเกจก็คว้าแขนเพื่อนสาวเดินไปข้างหน้า
ตลอดทางที่เดินไป ระวีกรมองหลังชายหนุ่มที่เดินนำหน้าด้วยความรู้สึกไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ หากแต่ฝ่ายนั้นไม่กระโตกกระตากพิรุธอะไรออกมา จังหวะการเดินของเขาเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ แต่น่าแปลกที่เธอกับเก็จต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งถึงจะตามทัน
ฝนเริ่มตกเปาะแปะลงมาในตอนแรก แล้วก็เทโครมลงมาราวกับฟ้ารั่ว ทำให้ทัศนวิสัยพร่ามัวมองไม่เห็นทางเต็มร้อยหนทางก็ลื่นแฉะ รองเท้าเทนนิสที่หญิงสาวสวมมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่เหมาะกับถนนหนทางนี้แม้แต่น้อย
ในที่สุดหล่อนก็ลื่นไถลล้มก้นแปะ จนร้องอุทานออกมา แต่เสียงฝนเสียงลมทำให้เก็จซึ่งพยายามฝ่าสายพิรุณไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่ได้ยิน
ระวีกรพยายามลุกขึ้น ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาข้างหน้าเธอ
“จับมือผม”
หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไป แขนอันแข็งแรงดึงร่างเธอขึ้นมายืนได้บนสองขาตนเอง
ระวีกรนึกว่าเขาจะปล่อยเธอแค่นั้น หากแต่เขากลับจูงมือเธออย่างนุ่มนวลพาเดินไปข้างหน้า
เก็จหันมามองมองอย่างงุนงง แต่เมื่อเห็นด้านหลังที่เปื้อนโคลนของเพื่อนสาวก็พอจะเข้าใจได้
ทางเดินเข้าบ้านหลังนั้น เป็นทางแคบทอดยาว สองฝากทางที่มีรั้วไม้เตี้ยๆกั้น อุดมไปด้วยพืชผักสวนครัว และดอกไม้นานาพันธุ์ มีระแนงไม้สูงสำหรับพืชพันธุ์เลื้อยบางชนิด
บ้านใต้ถุนสูงหลังนั้นเห็นได้ตามชนบททั่วไป ก่อสร้างโดยไม่มีไม้แปรรูปแม้แต่ชิ้นเดียว โคนเสาทุกต้นเป็นไม้ประเภทหนึ่งที่ลำต้นตรง รวมถึงคานอันแข็งแรง ส่วนที่เหลือเป็นไม้ไผ่เสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าผนังบ้านที่ใช้ไม้ไผ่มาสับแฝกติดเป็นฝา หลังคามุงจากเรียงเป็นตับอย่างสวยงาม
เสียงหมาเห่าดังต้อนรับมาจากบนเรือน ระวีกรกับเก็จกำลังเก้ๆกังๆว่าจะทำอะไร ชายหนุ่มก็วางตระกร้าที่สะพายมาลงที่ตีนบันได แล้วหันมาพูด
“พวกคุณรอผมตรงนี้ก่อน”
เขาเดินขึ้นเรือนหายไป ไฟฟ้าก็สว่างตามจุดต่างๆ ถึงแม้จะสว่างไสวไม่เท่าในเมือง แต่ก็ช่วยให้เห็นอะไรๆได้ดีมากกว่าเดิม
ถึงแม้เพิ่งมาเยือนเป็นครั้งแรก แต่สองสาวทั้งแท้และทางเลือกก็ตระหนักดีว่า ไฟฟ้ายังไม่มีโอกาสเข้ามาถึงดอยแห่งนี้แหล่งกำเนิดไฟฟ้าในพื้นที่จึงน่าจะะมาจากแผงโซลาร์เซลล์อย่างเดียวตามที่ทราบจากข่าว ซึ่งมั่นใจได้เลยว่ามันต้องถูกติดตั้งอยู่แถวบริเวณนี้ที่ไหนสักแห่งแม้จะยังไม่เห็นได้ด้วยสายตา