วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
36
เนตริยาขับรถเข้าไปยังกรมข่าวทหาร หล่อนต้องการขอบคุณวิษณุที่ช่วยจัดการปัญหาทุกอย่างไม่ให้เรื่องยุ่งยากบานปลาย การมาในครั้งนี้หญิงสาวไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้ามาก่อน
เนตริยาถอดหมวกออกเมื่อเดินเข้าไปในอาคาร หลังจากแจ้งความประสงค์ว่าจะมาพบใครแล้ว เจ้าหน้าที่ขอให้หล่อนรออยู่ที่ห้องรับแขกด้านหน้า วิษณุจะออกมาพบหล่อนที่นั่น เพราะเป็นระเบียบที่ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปในส่วนงานต่างๆ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ต่างแผนกก็ไม่สามารถเดินได้ทั่วตึก แต่ละคนจะติดป้ายชื่อที่มีแถบสีต่างกัน ซึ่งระบุถึงแต่ละแผนกที่ตนสังกัด และอาณาเขตที่อนุญาตให้ผ่านเข้าได้เท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ผู้พันวิษณุ” เนตริยาลุกขึ้นยืนตรงชิดเท้าแสดงความเคารพพันเอกวิษณุที่เดินผ่านประตูด้านในออกมา “สวัสดีครับผู้กองเนตริยา” สีหน้าแสดงอาการแปลกใจที่พบผู้ที่เขาไม่คาดมาก่อน ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว
“เนตรอยากมาขอบคุณที่ผู้พันช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ค่ะ เลยทำให้ความยุ่งยากที่จะต้องอธิบายกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานหมดไป ทำงานสบายใจขึ้นมากเลยค่ะ” กล่าวเสร็จพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วหยิบกล่องของขวัญมามอบให้
“อะไรกันครับนี่ ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“รับไว้เถอะค่ะ เนตรอยากขอบคุณจริงๆ ที่ผู้พันช่วยเราสองคน”
พันเอกวิษณุชะงักกับคำพูดตอนท้าย มองดวงตาโรยๆ นั้น ดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งผ่านพ้นปัญหาอย่างที่เธอมาขอบคุณเขาครั้งนี้ เธอน่าจะดูแจ่มใสมากกว่านี้
“ไม่ต้องห่วงครับ โดยเฉพาะเรื่องเอกสารนั้นเรื่องเล็ก มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว ที่ต้องจัดการกับปัญหาที่ลูกน้องของผมเป็นคนก่อขึ้นมา ว่าแต่ท่านเจ้ากรมยังติดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ไหมครับ”
“คิดว่าไม่แล้วนะคะ เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีกเลย พอเวลาผ่านไปท่านก็คงอยากจะลืม ไม่อยากขุดคุ้ยขึ้นมาอีก มันไม่มีประโยชน์อะไร” เสียงที่แผ่วสะท้านลงในตอนท้าย ทำให้วิษณุสัมผัสได้ถึงความสะเทือนใจบางอย่าง เขาอยากจะเดาว่า ความรักของคนทั้งสองคงมีอุปสรรคไม่มากก็น้อย
“สักวันผมต้องเข้าไปพบท่านเพื่อขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะท่านเจ้ากรมมีเมตตาทำให้ชีวิตลูกน้องผมไม่ต้องไปจบในคุกทหาร”
“เนตรก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ปกป้องเป็นนายทหารที่ดี เขาทุ่มเททำงานเพื่อหน้าที่อย่างแท้จริง เขายอมสละชีวิตและความสุขส่วนตัวเพื่องานที่
เขารัก โดยเฉพาะการช่วยเหลือรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วย ถ้าไม่มีเขาชาวบ้านจะลำบากกว่านี้มาก”
“คุณไม่โกรธปกป้องหรือ ที่ลักพาตัวคุณไปอยู่ในป่านานเป็นเดือน”
“แรกๆ ก็โกรธค่ะ แต่พอเวลาผ่านไปก็เข้าใจอะไรมากขึ้น โกรธเขาไม่ลงหรอกค่ะ แล้วเขาก็ดูแลเนตรเป็นอย่างดีอีกด้วย”
จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยถึงความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่ทำให้ทั้งสองเชื่อมั่นว่านี่คือแผนที่ดีที่สุดที่จะสามารถนำความสงบกลับมาสู่ภาคใต้อีกครั้ง
“งานนี้น่าจะเป็นฝีมือของผู้กองที่ช่วยผลักดัน”
“ไม่หรอกค่ะ เป็นแนวคิดของผู้ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว เนตรเพียงแค่ทำหน้าที่จดบันทึกและพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม”
เนตริยาแกล้งพูดติดตลกให้คนฟังเห็นว่าหล่อนเป็นเพียงมดงาน
“ตรงนั้นล่ะครับ หน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของงาน” วิษณุรับมุกแล้วต่างคนต่างหัวเราะให้กัน
ได้เวลาสมควรแล้ว เนตริยากล่าวลาวิษณุแล้วเดินออกมาจากอาคารกองบัญชาการ หล่อนหยิบหมวกพับออกมาสวม แต่พอเงยหน้าขึ้น ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา...
ร้อยโทปกป้องในเครื่องแบบทหารเต็มยศ อย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงแข็งแรงอย่างชายชาติทหารในเครื่องแบบสีเขียวเข้มและดาวทองบนบ่าทั้งสอง ดูจะสะท้อนกับเปลวแดดยามบ่าย ส่งให้ดวงหน้าคมสันนั้นสว่างไสวโดดเด่น หญิงสาวยอมรับกับตัวเองว่าวันนี้ปกป้องหล่อมากมายและสง่างามราวกับเจ้าชาย
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน ยืนชิดเท้ายกมือขวาขึ้นวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพร้อยเอกหญิงเนตริยาซึ่งมียศสูงกว่าเขา หญิงสาวพยายามระงับความตื่นเต้น หล่อนยกมือขวาขึ้นแตะหมวกรับความเคารพ ทั้งคู่ต่างนิ่งงันจ้องมองกันด้วยหัวใจโหยหา แต่ก็ไม่อาจจะแสดงออกมาในที่นั้นได้
“สวัสดีครับผู้กองเนตริยา” ปกป้องทักทายอย่างเป็นทางการ ดวงตาฉายแววฉงน เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหล่อนที่หน่วยงานของเขา
“สวัสดีค่ะ เอ่อ...” หล่อนก็แปลกใจเช่นกันที่พบเขาในวันนี้ “หมอป้อง” เนตริยาเลือกที่จะเรียกเขาแบบนี้
“ผมไม่นึกว่าจะเจอคุณที่นี่”
เนตริยาจึงเล่าถึงเหตุผลที่หล่อนมาพบกับวิษณุ
ปกป้องรับทราบแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงอาทรว่า
“คุณเป็นอย่างไรบ้าง” ดวงตาของเขาคู่นั้นฉายแววอ่อนโยน อย่างที่เคยทอดมองหล่อนเสมอมา
เนตริยาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ผ่านน้ำเสียงและสายตาของปกป้อง ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจกลับมาอีกครั้ง นับตั้งแต่หล่อนกลับออกมาจากบ้านป่าหลังนั้น
ในมุมๆ หนึ่งของโรงอาหารที่ร้างราผู้คนด้วยไม่ใช่เวลาพักกลางวัน ทั้งคู่เลือกที่จะมาคุยในสถานที่เงียบสงบห่างสายตาผู้คน
“เนตรนึกว่าคุณอยู่ที่สตูล ทำงานข่าวและดูแลสุขภาพของชาวบ้านที่นั่น”
“ครับ ผมยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่ แต่วันนี้ผมจะมายื่นหนังสือลาออกจากราชการ” ปกป้องตอบเรียบๆ เหมือนกำลังพูดถึงลมฟ้าอากาศ ในขณะที่
เนตริยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ลาออก !? ” หล่อนอุทานออกมา อดที่จะใจหายไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก “คุณจะลาออกจากราชการหรือคะ”
ปกป้องก้มศีรษะยืนยัน
“น่าเสียดายแทนหน่วยข่าวกรองที่ต้องสูญเสียคนดีมีฝีมืออย่างคุณไป คุณคงต้องการที่จะทุ่มเทเวลาเพื่อรักษาชาวบ้านอย่างเดียวใช่ไหมคะ” ดูเหมือนหล่อนจะนึกรู้อยู่ในใจมาก่อนแล้วว่าสักวันหนึ่งเขาต้องตัดสินใจเช่นนี้
“ใช่ครับ ผมอยากใช้เวลาทั้งหมดทำงานที่ผมรักเพียงอย่างเดียว อีกทั้งตอนนี้ขบวนการก่อความไม่สงบก็ถูกปราบปรามจนสิ้นซากไปแล้ว คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงในเรื่องความไม่สงบอีกต่อไป ความจำเป็นเรื่องงานข่าวน่าจะน้อยลง”
“คุณเป็นคนที่มีน้ำใจและเสียสละอย่างมาก ชาวบ้านที่นั่นโชคดีจริงๆ ที่มีหมอป้องคอยดูแล” เนตริยาพยายามพูดคุยต่อบทสนทนาไปอย่างนั้นเอง แต่ภายในใจของเธอกลับยิ้มไม่ออก
“ขอแสดงความยินดีและขอบคุณผู้กองนะครับกับความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างดีที่สุด”
“คงต้องแสดงความยินดีกับคนทั้งประเทศมากกว่าค่ะ และถ้าทุกฝ่ายดำเนินงานได้ตรงตามเป้าหมายของแผน แดนใต้จะสงบร่มเย็น ไม่มีใครต้องบาดเจ็บล้มตายกันอีกแล้ว”
ปกป้องยิ้มพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายเปี่ยมด้วยความหวังในสิ่งที่หล่อนกล่าว ใจหวนระลึกถึงรุ่นพี่และเพื่อนร่วมงานที่สาธารณสุขยะลา จากนี้คนเหล่านั้นจะออกหน่วยทำงานในหมู่บ้านได้อย่างปลอดภัย รวมถึงชาวบ้านตาดำๆ ที่จะไม่ต้องมารับเคราะห์อีกต่อไป
“เนตรก็ต้องขอบคุณที่คุณทำให้เนตรได้ไปเรียนรู้จักว่าคนในพื้นที่เขาเป็นอย่างไร และ...” หล่อนหยุดเว้นระยะมองสบตาผู้ชายตรงหน้า “ได้รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่รักชาติ ทุ่มเทเสียสละแม้แต่ความสุขของตัวเอง เนตรภูมิใจที่ได้มีโอกาสรู้จักและร่วมงานกับเขา”
ปกป้องยิ้มให้ ซาบซึ้งกับสิ่งที่หล่อนพูด
“ยังโกรธผมอยู่ไหม ที่พาคุณไปพบกับความยากลำบากและอันตราย”
เนตริยาส่ายหน้า แล้วทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไปราวกับอับจนคำพูด
ความรู้สึกผะผ่าวในอกที่เนตริยาพยายามต่อสู้อยู่แต่ไม่สำเร็จนั้น ผลักดันให้หล่อนรวบรวมความกล้าถามออกมาว่า
“คำๆ นั้น....” ช่างยากลำบากสำหรับหล่อนเหลือเกิน “ถึงคุณไม่ได้พูดออกมา แต่ใจคุณ....ยังยืนยันอยู่ไหม” เสียงที่ถามสั่นสะท้าน ไม่ต่างไปจากหัวใจคนถาม
ปกป้องจ้องดวงตาคู่สวยที่เริ่มระเรื่อแดงขึ้น เขาอยากจะดึงมือบอบบางมากุมไว้ แล้วยืนยันคำรักคำนั้นสักร้อยครั้งพันครั้ง แต่....
“แม้ปัญหาที่ผมก่อไว้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีสิทธิ์อยู่ดี” ปกป้องถอนหายใจ ดวงหน้าสลดลง “ชีวิตของผมก็แค่ในป่าที่แสนลำบาก
ยากเข็ญ รักษาชาวบ้านเจ็บป่วยยากไร้ ในขณะที่อนาคตของคุณอยู่ที่นี่ หน้าที่การงาน ความสะดวกสบาย ครอบครัวที่อบอุ่นของคุณ ผมไม่กล้า
ไม่มีสิทธิ์ที่จะดึงคุณไปลำบากแบบนั้นอีกแล้ว”
“หน้าที่การงานที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น ชีวิตที่สะดวกสบายในกรุงเทพฯ จะมีประโยชน์อะไรถ้า
ไร้หัวใจ”
“เนตร” ปกป้องครางออกมา
“เนตรแค่อยากรู้ว่า ใจคุณยังอยากจะบอกคำนั้นกับเนตรไหม” เสียงตอนท้ายเริ่มสั่นเครือลงด้วยความรู้สึกสะท้อนสะท้านอยู่ในหัวใจ
“ผมไม่อาจเห็นแก่ตัว พรากลูกสาวคนเดียวมาจากครอบครัวคุณได้...ลืมผมเสียเถิดเนตริยา”
หัวใจของเนตริยากระตุกวูบคล้ายตกลงมาจากที่สูง
“ลืม..? คุณจะให้เนตรลืมหรือคะ คุณลืมได้หรือ”
“คิดเสียว่ามันเป็นเพียงฝันร้าย....” เสียงตอนท้ายแผ่วหายไปในลำคอ
หญิงสาวมองสบตาแดงก่ำคู่นั้นของเขา หากเขาจะทำท่าหมางเมิน มองเธออย่างไร้เยื่อใย เธอจะตัดใจ แต่นี่..สีหน้าแววตาของเขาที่ไม่อาจข่มได้
มันฟ้องให้เธอรู้ว่าเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“จริงซินะ คนอย่างคุณเสียสละได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งหัวใจตัวเอง” แม้วาจาประชดประชันนั้นจะหมายมุ่งให้คนฟังเจ็บ แต่เป็นหล่อนเองที่เจ็บมากกว่า
น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลรินผลักดันให้เนตริยารีบลุกขึ้น หล่อนจะมาร้องไห้ให้คนแถวนี้เห็นไม่ได้ หญิงสาวรีบเดินก้มหน้างุดกลับไปที่รถทันที ภายในรถที่ติดฟิล์มสีเข้มช่วยพรางไม่ให้ใครเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ภายในกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นแทบจะขาดใจ
คำพูดของเขาสะท้อนก้องอยู่ในใจ ‘ลืมผมเสียเถิดเนตริยา’
นึกเสียว่าความหลังครั้งกระนั้น เหมือนนอนหลับฝันชั่วคืน
มันอาจจะหวาน มันอาจจะชื่น พอลืมตาตื่น ความชื่นก็หาย
ลืมเสียเถิดเรื่องความหลัง ลืมรักที่ฝังใจไม่หน่าย
บุญเราสองครองกันแต่เพียงใจ จะมั่นหมายปองกาย ไม่ได้เลย
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 36
เนตริยาถอดหมวกออกเมื่อเดินเข้าไปในอาคาร หลังจากแจ้งความประสงค์ว่าจะมาพบใครแล้ว เจ้าหน้าที่ขอให้หล่อนรออยู่ที่ห้องรับแขกด้านหน้า วิษณุจะออกมาพบหล่อนที่นั่น เพราะเป็นระเบียบที่ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปในส่วนงานต่างๆ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ต่างแผนกก็ไม่สามารถเดินได้ทั่วตึก แต่ละคนจะติดป้ายชื่อที่มีแถบสีต่างกัน ซึ่งระบุถึงแต่ละแผนกที่ตนสังกัด และอาณาเขตที่อนุญาตให้ผ่านเข้าได้เท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ผู้พันวิษณุ” เนตริยาลุกขึ้นยืนตรงชิดเท้าแสดงความเคารพพันเอกวิษณุที่เดินผ่านประตูด้านในออกมา “สวัสดีครับผู้กองเนตริยา” สีหน้าแสดงอาการแปลกใจที่พบผู้ที่เขาไม่คาดมาก่อน ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว
“เนตรอยากมาขอบคุณที่ผู้พันช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ค่ะ เลยทำให้ความยุ่งยากที่จะต้องอธิบายกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานหมดไป ทำงานสบายใจขึ้นมากเลยค่ะ” กล่าวเสร็จพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วหยิบกล่องของขวัญมามอบให้
“อะไรกันครับนี่ ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“รับไว้เถอะค่ะ เนตรอยากขอบคุณจริงๆ ที่ผู้พันช่วยเราสองคน”
พันเอกวิษณุชะงักกับคำพูดตอนท้าย มองดวงตาโรยๆ นั้น ดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งผ่านพ้นปัญหาอย่างที่เธอมาขอบคุณเขาครั้งนี้ เธอน่าจะดูแจ่มใสมากกว่านี้
“ไม่ต้องห่วงครับ โดยเฉพาะเรื่องเอกสารนั้นเรื่องเล็ก มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว ที่ต้องจัดการกับปัญหาที่ลูกน้องของผมเป็นคนก่อขึ้นมา ว่าแต่ท่านเจ้ากรมยังติดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ไหมครับ”
“คิดว่าไม่แล้วนะคะ เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีกเลย พอเวลาผ่านไปท่านก็คงอยากจะลืม ไม่อยากขุดคุ้ยขึ้นมาอีก มันไม่มีประโยชน์อะไร” เสียงที่แผ่วสะท้านลงในตอนท้าย ทำให้วิษณุสัมผัสได้ถึงความสะเทือนใจบางอย่าง เขาอยากจะเดาว่า ความรักของคนทั้งสองคงมีอุปสรรคไม่มากก็น้อย
“สักวันผมต้องเข้าไปพบท่านเพื่อขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะท่านเจ้ากรมมีเมตตาทำให้ชีวิตลูกน้องผมไม่ต้องไปจบในคุกทหาร”
“เนตรก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ปกป้องเป็นนายทหารที่ดี เขาทุ่มเททำงานเพื่อหน้าที่อย่างแท้จริง เขายอมสละชีวิตและความสุขส่วนตัวเพื่องานที่
เขารัก โดยเฉพาะการช่วยเหลือรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วย ถ้าไม่มีเขาชาวบ้านจะลำบากกว่านี้มาก”
“คุณไม่โกรธปกป้องหรือ ที่ลักพาตัวคุณไปอยู่ในป่านานเป็นเดือน”
“แรกๆ ก็โกรธค่ะ แต่พอเวลาผ่านไปก็เข้าใจอะไรมากขึ้น โกรธเขาไม่ลงหรอกค่ะ แล้วเขาก็ดูแลเนตรเป็นอย่างดีอีกด้วย”
จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยถึงความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่ทำให้ทั้งสองเชื่อมั่นว่านี่คือแผนที่ดีที่สุดที่จะสามารถนำความสงบกลับมาสู่ภาคใต้อีกครั้ง
“งานนี้น่าจะเป็นฝีมือของผู้กองที่ช่วยผลักดัน”
“ไม่หรอกค่ะ เป็นแนวคิดของผู้ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว เนตรเพียงแค่ทำหน้าที่จดบันทึกและพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม”
เนตริยาแกล้งพูดติดตลกให้คนฟังเห็นว่าหล่อนเป็นเพียงมดงาน
“ตรงนั้นล่ะครับ หน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของงาน” วิษณุรับมุกแล้วต่างคนต่างหัวเราะให้กัน
ได้เวลาสมควรแล้ว เนตริยากล่าวลาวิษณุแล้วเดินออกมาจากอาคารกองบัญชาการ หล่อนหยิบหมวกพับออกมาสวม แต่พอเงยหน้าขึ้น ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา...
ร้อยโทปกป้องในเครื่องแบบทหารเต็มยศ อย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงแข็งแรงอย่างชายชาติทหารในเครื่องแบบสีเขียวเข้มและดาวทองบนบ่าทั้งสอง ดูจะสะท้อนกับเปลวแดดยามบ่าย ส่งให้ดวงหน้าคมสันนั้นสว่างไสวโดดเด่น หญิงสาวยอมรับกับตัวเองว่าวันนี้ปกป้องหล่อมากมายและสง่างามราวกับเจ้าชาย
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน ยืนชิดเท้ายกมือขวาขึ้นวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพร้อยเอกหญิงเนตริยาซึ่งมียศสูงกว่าเขา หญิงสาวพยายามระงับความตื่นเต้น หล่อนยกมือขวาขึ้นแตะหมวกรับความเคารพ ทั้งคู่ต่างนิ่งงันจ้องมองกันด้วยหัวใจโหยหา แต่ก็ไม่อาจจะแสดงออกมาในที่นั้นได้
“สวัสดีครับผู้กองเนตริยา” ปกป้องทักทายอย่างเป็นทางการ ดวงตาฉายแววฉงน เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหล่อนที่หน่วยงานของเขา
“สวัสดีค่ะ เอ่อ...” หล่อนก็แปลกใจเช่นกันที่พบเขาในวันนี้ “หมอป้อง” เนตริยาเลือกที่จะเรียกเขาแบบนี้
“ผมไม่นึกว่าจะเจอคุณที่นี่”
เนตริยาจึงเล่าถึงเหตุผลที่หล่อนมาพบกับวิษณุ
ปกป้องรับทราบแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงอาทรว่า
“คุณเป็นอย่างไรบ้าง” ดวงตาของเขาคู่นั้นฉายแววอ่อนโยน อย่างที่เคยทอดมองหล่อนเสมอมา
เนตริยาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ผ่านน้ำเสียงและสายตาของปกป้อง ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจกลับมาอีกครั้ง นับตั้งแต่หล่อนกลับออกมาจากบ้านป่าหลังนั้น
ในมุมๆ หนึ่งของโรงอาหารที่ร้างราผู้คนด้วยไม่ใช่เวลาพักกลางวัน ทั้งคู่เลือกที่จะมาคุยในสถานที่เงียบสงบห่างสายตาผู้คน
“เนตรนึกว่าคุณอยู่ที่สตูล ทำงานข่าวและดูแลสุขภาพของชาวบ้านที่นั่น”
“ครับ ผมยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่ แต่วันนี้ผมจะมายื่นหนังสือลาออกจากราชการ” ปกป้องตอบเรียบๆ เหมือนกำลังพูดถึงลมฟ้าอากาศ ในขณะที่
เนตริยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ลาออก !? ” หล่อนอุทานออกมา อดที่จะใจหายไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก “คุณจะลาออกจากราชการหรือคะ”
ปกป้องก้มศีรษะยืนยัน
“น่าเสียดายแทนหน่วยข่าวกรองที่ต้องสูญเสียคนดีมีฝีมืออย่างคุณไป คุณคงต้องการที่จะทุ่มเทเวลาเพื่อรักษาชาวบ้านอย่างเดียวใช่ไหมคะ” ดูเหมือนหล่อนจะนึกรู้อยู่ในใจมาก่อนแล้วว่าสักวันหนึ่งเขาต้องตัดสินใจเช่นนี้
“ใช่ครับ ผมอยากใช้เวลาทั้งหมดทำงานที่ผมรักเพียงอย่างเดียว อีกทั้งตอนนี้ขบวนการก่อความไม่สงบก็ถูกปราบปรามจนสิ้นซากไปแล้ว คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงในเรื่องความไม่สงบอีกต่อไป ความจำเป็นเรื่องงานข่าวน่าจะน้อยลง”
“คุณเป็นคนที่มีน้ำใจและเสียสละอย่างมาก ชาวบ้านที่นั่นโชคดีจริงๆ ที่มีหมอป้องคอยดูแล” เนตริยาพยายามพูดคุยต่อบทสนทนาไปอย่างนั้นเอง แต่ภายในใจของเธอกลับยิ้มไม่ออก
“ขอแสดงความยินดีและขอบคุณผู้กองนะครับกับความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างดีที่สุด”
“คงต้องแสดงความยินดีกับคนทั้งประเทศมากกว่าค่ะ และถ้าทุกฝ่ายดำเนินงานได้ตรงตามเป้าหมายของแผน แดนใต้จะสงบร่มเย็น ไม่มีใครต้องบาดเจ็บล้มตายกันอีกแล้ว”
ปกป้องยิ้มพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายเปี่ยมด้วยความหวังในสิ่งที่หล่อนกล่าว ใจหวนระลึกถึงรุ่นพี่และเพื่อนร่วมงานที่สาธารณสุขยะลา จากนี้คนเหล่านั้นจะออกหน่วยทำงานในหมู่บ้านได้อย่างปลอดภัย รวมถึงชาวบ้านตาดำๆ ที่จะไม่ต้องมารับเคราะห์อีกต่อไป
“เนตรก็ต้องขอบคุณที่คุณทำให้เนตรได้ไปเรียนรู้จักว่าคนในพื้นที่เขาเป็นอย่างไร และ...” หล่อนหยุดเว้นระยะมองสบตาผู้ชายตรงหน้า “ได้รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่รักชาติ ทุ่มเทเสียสละแม้แต่ความสุขของตัวเอง เนตรภูมิใจที่ได้มีโอกาสรู้จักและร่วมงานกับเขา”
ปกป้องยิ้มให้ ซาบซึ้งกับสิ่งที่หล่อนพูด
“ยังโกรธผมอยู่ไหม ที่พาคุณไปพบกับความยากลำบากและอันตราย”
เนตริยาส่ายหน้า แล้วทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไปราวกับอับจนคำพูด
ความรู้สึกผะผ่าวในอกที่เนตริยาพยายามต่อสู้อยู่แต่ไม่สำเร็จนั้น ผลักดันให้หล่อนรวบรวมความกล้าถามออกมาว่า
“คำๆ นั้น....” ช่างยากลำบากสำหรับหล่อนเหลือเกิน “ถึงคุณไม่ได้พูดออกมา แต่ใจคุณ....ยังยืนยันอยู่ไหม” เสียงที่ถามสั่นสะท้าน ไม่ต่างไปจากหัวใจคนถาม
ปกป้องจ้องดวงตาคู่สวยที่เริ่มระเรื่อแดงขึ้น เขาอยากจะดึงมือบอบบางมากุมไว้ แล้วยืนยันคำรักคำนั้นสักร้อยครั้งพันครั้ง แต่....
“แม้ปัญหาที่ผมก่อไว้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีสิทธิ์อยู่ดี” ปกป้องถอนหายใจ ดวงหน้าสลดลง “ชีวิตของผมก็แค่ในป่าที่แสนลำบาก
ยากเข็ญ รักษาชาวบ้านเจ็บป่วยยากไร้ ในขณะที่อนาคตของคุณอยู่ที่นี่ หน้าที่การงาน ความสะดวกสบาย ครอบครัวที่อบอุ่นของคุณ ผมไม่กล้า
ไม่มีสิทธิ์ที่จะดึงคุณไปลำบากแบบนั้นอีกแล้ว”
“หน้าที่การงานที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น ชีวิตที่สะดวกสบายในกรุงเทพฯ จะมีประโยชน์อะไรถ้า ไร้หัวใจ”
“เนตร” ปกป้องครางออกมา
“เนตรแค่อยากรู้ว่า ใจคุณยังอยากจะบอกคำนั้นกับเนตรไหม” เสียงตอนท้ายเริ่มสั่นเครือลงด้วยความรู้สึกสะท้อนสะท้านอยู่ในหัวใจ
“ผมไม่อาจเห็นแก่ตัว พรากลูกสาวคนเดียวมาจากครอบครัวคุณได้...ลืมผมเสียเถิดเนตริยา”
หัวใจของเนตริยากระตุกวูบคล้ายตกลงมาจากที่สูง
“ลืม..? คุณจะให้เนตรลืมหรือคะ คุณลืมได้หรือ”
“คิดเสียว่ามันเป็นเพียงฝันร้าย....” เสียงตอนท้ายแผ่วหายไปในลำคอ
หญิงสาวมองสบตาแดงก่ำคู่นั้นของเขา หากเขาจะทำท่าหมางเมิน มองเธออย่างไร้เยื่อใย เธอจะตัดใจ แต่นี่..สีหน้าแววตาของเขาที่ไม่อาจข่มได้
มันฟ้องให้เธอรู้ว่าเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“จริงซินะ คนอย่างคุณเสียสละได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งหัวใจตัวเอง” แม้วาจาประชดประชันนั้นจะหมายมุ่งให้คนฟังเจ็บ แต่เป็นหล่อนเองที่เจ็บมากกว่า
น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลรินผลักดันให้เนตริยารีบลุกขึ้น หล่อนจะมาร้องไห้ให้คนแถวนี้เห็นไม่ได้ หญิงสาวรีบเดินก้มหน้างุดกลับไปที่รถทันที ภายในรถที่ติดฟิล์มสีเข้มช่วยพรางไม่ให้ใครเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ภายในกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นแทบจะขาดใจ
คำพูดของเขาสะท้อนก้องอยู่ในใจ ‘ลืมผมเสียเถิดเนตริยา’
นึกเสียว่าความหลังครั้งกระนั้น เหมือนนอนหลับฝันชั่วคืน
มันอาจจะหวาน มันอาจจะชื่น พอลืมตาตื่น ความชื่นก็หาย
ลืมเสียเถิดเรื่องความหลัง ลืมรักที่ฝังใจไม่หน่าย
บุญเราสองครองกันแต่เพียงใจ จะมั่นหมายปองกาย ไม่ได้เลย