เธอ....ในฝัน ตอนจบ

นวนิยายสะท้อนสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน
และผลประโยชน์ที่ต้องมาก่อนความผิดชอบชั่วดี
 

นิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์และวางจำหน่ายแล้ว 
ไม่มีประโยชน์หากใครคิดจะคัดลอกหรือทำซ้ำ

บทส่งท้าย

       “พราว ! ”

     “พี่พราว หนูพูดอะไรผิดไปหรือคะ” ตอนท้ายพิชญาหันมาถามทุกคนในโต๊ะด้วยความงุนงง

     พิเชษฐ์จุ๊ปากห้ามลูกสาว พลางหันไปสบตามารดาของพราวพรรณ ดูเหมือนอาหารมื้อนั้นจะกร่อยไปถนัดใจ

     พนิดาไม่ได้ตามเข้าไปปลอบบุตรสาวแต่อย่างใด ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจว่าพราวพรรณยังไม่หายเสียใจเรื่องหย่าร้างกับสามี  มีแต่เธอเพียงผู้เดียวที่เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง

     เมื่อถึงเวลาเข้านอน ผู้เป็นมารดาจึงเข้าไปในห้อง พราวพรรณนอนหันหลังเงียบอย่างจะให้เข้าใจว่าหล่อนหลับไปแล้ว

    “พราว” พนิดาเข้าไปนั่งข้างเตียงพลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความสงสารจับใจ “ลูกรักพ่อโตเขามากใช่ไหม”

    ไม่มีคำตอบ แต่ร่างบอบบางนั้นมีอาการสั่นสะท้าน หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้นอย่างสุดความสามารถ

   “ถ้าลูกรักเขา ก็ทำตามที่ใจปรารถนาเถอะนะ ไม่ต้องแคร์ใครทั้งสิ้น”

    หล่อนพลิกตัวกลับมามองมารดาด้วยดวงตาที่เปียกชุ่ม 

    “พราวแคร์แต่แม่เท่านั้น”

     เห็นความโศกเศร้าของลูกแล้ว ผู้เป็นแม่ใจหายยิ่งนักเพราะไม่เคยเห็นพราวพรรณเสียใจมากมายอย่างนี้มาก่อน นับจากวันที่บิดาเสียชีวิต

    “แม่ไม่รักพราว พราวไม่เสียใจเพราะพราวทำให้แม่ผิดหวัง แต่พราวไม่อยากให้แม่ต้องมาเสียชื่อเสียงเพราะพราวไปรักกับโต ใครจะนินทาว่าพราวอย่างไร พราวไม่แคร์ แต่อย่าให้เขามาว่าแม่ได้ว่าเลี้ยงลูกไม่ดี” ความในใจพรั่งพรูออกมาด้วยเสียงเจือสะอื้น

    “พราว ! ทำไมพูดแบบนั้น ใครบอกว่าแม่ไม่รักลูก” พนิดาอุทานออกมาด้วยความตกใจกับสิ่งที่ลูกเพิ่งจะเปิดเผยให้รู้ในวันนี้

   “แม่รักพี่เพชร” 

    พนิดาชะงัก อ้ำอึ้ง นี่เธอแสดงอะไรออกมาให้ลูกน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้เชียวหรือ

    “แม่เสียใจที่ทำให้ลูกรู้สึกอย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าแม่ไม่รักลูก การแสดงความรักของแม่ต่อลูกแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันเพราะลูกกับเพชรก็มีบุคลิกที่แตกต่างกัน” พนิดาพยายามอธิบายแล้วดึงบุตรสาวเข้ามากอด ทั้งเพื่อปลอบประโลมและถ่ายทอดความรักให้ เธอไม่เคยทำอย่างนี้มานานแล้วตั้งแต่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่ มาวันนี้จึงได้รู้ซึ้งแก่ใจว่าความรักความอบอุ่นนั้นบอกได้มากมายจากการสัมผัส  

     “แม่รักพราวนะ รักมากก็ห่วงมากและทำให้ต้องเคี่ยวเข็ญสารพัด ส่วนเพชรนั่น แม่ไม่มีอะไรต้องไปเคี่ยวเข็ญเขา ก็อย่างที่พราวเคยพูดนั่นแหละว่าเพชรเขาเก่งเขาดีทุกอย่าง แต่พราวไม่รู้หรอกว่าเพชรเขาก็เคยน้อยใจนะว่าแม่สนใจพราวมากกว่าเขา”

     พราวพรรณค่อยๆ ผละตัวออกจากอ้อมแขน มองหน้าผู้บังเกิดเกล้าอย่างตื่นเต้นกับความรู้ใหม่

     "พี่เพชรน่ะรึคะน้อยใจแม่เรื่องพราว”

      มารดาพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้ม ทั้งรักทั้งสงสารลูกสุดหัวใจ นี่พราวพรรณจมอยู่กับความน้อยเนื้อต่ำใจนี้มานานเท่าใด และคงพยายามทำทุกอย่างเพื่อชนะหัวใจผู้เป็นแม่ และคงรวมไปถึง….

      คิดมาถึงตอนนี้  แววตาของพนิดาก็สลดลงเมื่อถามว่า

     “ลูกแต่งงานกับทัดเพื่อตามใจแม่ เพราะกลัวแม่ไม่รักใช่ไหม”

     “เรื่องชีวิตครอบครัวมันเป็นปัญหาของพราวเอง แม่ได้แนะนำผู้ชายที่เห็นว่ามีพร้อมทุกอย่างที่จะไม่พาลูกไปลำบากให้แล้ว หากพราวเป็นแม่ พราวก็คงทำแบบนี้เช่นกัน ทัดเขาเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง เขามีพร้อมทุกอย่างที่ผู้หญิงควรจะภูมิใจ เขาทำให้พราวรักเขาได้ไม่ยากหรอกค่ะ” หญิงสาวหวนระลึกถึงครั้งหนึ่งที่หล่อนเคยรักและภูมิใจที่ได้แต่งงานกับเขา พร้อมกับเชื่อเสมอว่าจะร่วมชีวิตกับเขาไปจนกว่าจะตายจากกัน  

      “แต่คงไม่มีใครบอกได้หรอกค่ะว่า ผู้ชายคนนั้นเขาจะรักพราวไปนานแค่ไหน รักมากเท่ากับที่เขารักตัวเองหรือเปล่า” 

      พนิดาถอนหายใจ ยอมรับในความจริงข้อนี้

     “แล้วโตล่ะ….”

     พราวพรรณก้มหน้า สะท้อนใจ

     “ถ้าเพียงเขาบอกพราวสักนิด…” เสียงตอนท้ายเริ่มสั่นเครือ นึกถึงความรู้สึกที่เต็มตื้นในใจและความอบอุ่นยามอยู่ใกล้เขา  

       ครั้งนั้น หล่อนเองก็ผิดที่พยายามขับไล่ไสส่งเขาไปให้เพื่อนเพราะไม่อยากแย่งหนุ่มที่เพื่อนรัก ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาสนใจหล่อนมากกว่า ประจวบเหมาะกับที่หล่อนได้รู้จักกับทัดพงศ์ จึงตัดสินใจคบหาเขาอย่างจริงจังเพื่อเป็นการยืนยันให้นงค์วดีมั่นใจว่าหล่อนจะไม่แย่งฐานิสร์ อีกทั้งช่วงนั้นเขาเองก็เงียบหายไปพักใหญ่ ทำให้พราวพรรณคิดไปว่าเขาคงไม่สนใจหล่อนแล้ว หล่อนจึงตกลงปลงใจกับทัดพงศ์ ซึ่งหญิงสาวก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าหล่อนตัดสินใจแต่งงานเพราะเหตุผลหลายๆ อย่างมากกว่าหัวใจ  
 
      “อย่างไรเสีย แม่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี” 

      “แม่คะ อย่าไปคิดอีกเลย มันจบไปแล้ว เราเรียกมันกลับคืนมาแก้ไขอีกไม่ได้แล้ว”

       “แม่ทนเห็นพราวตรอมใจแบบนี้ไม่ไหวนะ แม่อาจจะตรอมใจตามไปอีกคนก็ได้”

       พนิดาเองก็ต้องทำใจให้ยอมรับในความรักที่บุตรสาวมีให้ฐานิสร์ เพราะตั้งแต่พราวพรรณโตเป็นสาว แม้จะมีชายหนุ่มมาติดพันหลายรายแต่ไม่เคยเห็นว่าบุตรสาวจะมี ‘อาการหนัก’ เหมือนครั้งนี้ และฐานิสร์ ในสายตาของพนิดา เป็นผู้ชายที่ดูมั่นคง เสมอต้นเสมอปลาย ความรักที่เขามีต่อพราวพรรณมานานปีโดยไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าบุตรสาวของเธอจะแต่งงานไปกับผู้ชายอีกคนหนึ่งแล้วก็ตาม ย่อมพิสูจน์ให้ประจักษ์ชัดว่ามิใช่รักแค่เพียงรูปกายแต่รักที่หัวใจ ซึ่งพนิดาคิดว่าหาได้ยากในสังคมยุคนี้

      เช่นนี้แล้วพนิดาจึงเชื่อว่าพราวพรรณคงไม่ผิดหวังอีกเป็นครั้งที่สอง

      สองแม่ลูกสบตากัน พนิดาดึงมือบุตรสาวมาบีบให้กำลังใจก่อนจะบอกว่า

      “ไปหาโตเถอะนะ ถ้าพราวรักเขา ก็ไม่ต้องกลัวหรอกเรื่องเสียชื่อเสียงอะไรนั่น ขอลูกมีความสุขแม่ก็พอใจแล้ว”

       พราวพรรณมองสบตามารดาด้วยความขอบคุณอย่างลึกซึ้ง แต่การจะตัดสินใจอย่างที่ท่านแนะนำนั้น ยังเป็นอะไรที่หล่อนลังเล

       “พราวไม่กล้าไปหาเขา กลัวว่ามันอาจจะสายเกินไป เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่รักพราวแล้วก็ได้” หล่อนสารภาพออกมาเบาๆ ใจหายวูบไหวไปกับความคิดนั้น

       มารดาส่ายหน้า แล้วยิ้มขำ

      “โธ่เอ๋ย เด็กโง่ ถ้าเขาจะเปลี่ยนใจนะ เขาคงไม่รอลูกมาจนถึงป่านนี้หรอก”

       คำพูดของมารดายังคงกังวานอยู่ในใจ เป็นกำลังใจให้หล่อนอย่างดียิ่ง นึกย้อนไปถึงวันแรกที่ที่หล่อนเห็นเขาที่ร้าน เอ เพลส  และครั้งที่ไปเที่ยวเกาะกุฎีด้วยกัน ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนยังจำรายละเอียดต่างๆ ได้ชัดเจน

        นานกว่าสามปีแล้วซินะที่เขาและหล่อนรู้จักกันมา กี่ครั้งกี่หนที่เที่ยวด้วยกัน ผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้ายด้วยกันมา ไม่เคยสักครั้ง ที่เขาจะทำให้หล่อนไม่เชื่อมั่นในความรักและหวังดีของเขา 
 

        ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอนเย็น ทำให้ฐานิสร์รีบกลับบ้านเพราะฝนตกครั้งไร กรุงเทพฯ มักจะเป็นอัมพาต บ่อยครั้งที่รถติดไม่ขยับเป็นชั่วโมง เสียเวลาและเหน็ดเหนื่อยโดยใช่เหตุ และช่วงนี้งานที่ออฟฟิศก็เริ่มซาไปมากแล้ว

       ฤดูนี้เป็นฤดูหนาวแท้ๆ แต่ฝนก็ตก ใครบางคนบอกว่าเป็นฝนชะช่อมะม่วง เขาก็ได้แต่รับฟัง และหลายคนก็ยินดีที่จะเชื่อ  ฤดูกาลมันผิดแปลกไปหมดแล้ว แต่คนเราก็พยายามหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง เลือกจะเชื่อในเหตุผลที่ตัวเองรับได้มากกว่าจะค้นหาความจริง โดยไม่มองว่าทุกวันนี้มนุษย์เราทำร้ายโลกใบนี้อย่างไรบ้าง

       เทคโนโลยีที่นำความก้าวหน้าและความสะดวกสบายมาให้มนุษย์ กำลังทำลายสภาวะแวดล้อมของโลกและนำมาซึ่งภัยพิบัติต่างๆ นานา ที่ร้ายแรงกว่าครั้งในอดีต

       หลายครั้งที่เขาเดินทางไปต่างจังหวัด เขาสังเกตเห็นข้าวกล้าที่ปักดำแล้วต้องมาแห้งตายไปเพราะฝนทิ้งช่วง ให้นึกสงสารชาวนาที่ลงทุนลงแรงไปสูญเปล่า

        ผู้ที่ประสบปัญหาโดยตรงกับตัวเองเท่านั้นจึงจะตระหนัก ในขณะที่ประชาชนส่วนอื่นๆ ที่ยังไม่เจอปัญหาก็ยังคงทำร้ายโลกใบนี้ต่อไป กว่าทุกคนจะเริ่มต้นคิด ทุกอย่างก็อาจจะสายเกินไป เขาเชื่อว่าผลพวงจากปัญหาที่จะเกิดขึ้นคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า ไม่ต้องรอให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานด้วยซ้ำ

        ฐานิสร์เสร็จจากรับประทานอาหารมื้อเย็นแล้ว ยังคงนั่งอ้อยอิ่งจิบเบียร์อยู่ที่โต๊ะอาหารเล็กๆ ริมระเบียงที่ร่มครึ้มด้วยไม้ประดับและไม้หอมนานาพันธุ์ สายตาเหม่อมองฝนที่โปรยปรายลงมาจากกลุ่มเมฆสีเทาดำก้อนใหญ่ที่ลอยต่ำลง ฝนตกหนักมาเกือบชั่วโมงแล้ว หากยังไม่ยอมหยุด ชาวบ้านที่อยู่เบื้องล่าง ไม่ได้อยู่ตึกสูงอย่างเขาคงเจอปัญหาน้ำท่วม

       เส้นฝนสีขาวเทาทำให้แสงไฟโฆษณาที่เคยระยิบระยับสร้างความงดงามยามราตรีของกรุงเทพฯ มีอันต้องพร่าพรายไป  คืนวันฝนตกอย่างนี้ทำให้บรรยากาศเหงาเศร้าบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับชีวิตของเขา แต่เขาก็พยายามปรับตัวให้เคยชินกับมันและมองในทางบวกว่าเป็น ชีวิตที่แสนสงบ ต่างหากเล่า 

      นึกขำเพื่อนชายบางคนที่มีครอบครัวแล้ว บ่นอิจฉาความเป็นชายโสดของเขา

      ‘แล้วนายจะรู้ว่า นรกมีจริง’

      ‘อย่างนั้นเชียวหรือ’ เขาพยายามกลั้นหัวเราะกับคำพูดเกินจริงของเพื่อน

      แล้วเพื่อนผู้นั้นก็บรรยายถึงความทุกข์ยากและภาระรับผิดชอบที่มีต่อเมียและลูก

      ‘ก็ถ้าชีวิตแต่งงานมันไม่มีอะไรดี จะทนอยู่ไปทำไมล่ะ’ ฐานิสร์ย้อนถาม

       คนบ่นอึ้งไปนานก่อนตอบเสียงอ่อย 

      ‘ก็รักน่ะ เมียฉันนะทั้งสวยทั้งเอ๊าะ หาใหม่แบบนี้ไม่มีอีกแล้ว ส่วนลูก ไม่ต้องพูดถึง เกิดมาไม่เคยรักอะไรเท่ารักลูกเลย  นายลองมีแล้วจะรู้’

       ฐานิสร์ได้แต่ยิ้มขัน สำหรับเขาถึงไม่ลองก็มั่นใจว่าหากเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก ต่อให้นรกมีจริง เขาก็ยินดีจะฝ่าฟันความยากลำบากนั้น ขอเพียงมีคนเคียงข้างคอยเป็นกำลังใจก็พอ

      เสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านทำให้เขาสะดุ้ง แล้วจึงเดินไปรับสาย พนักงานต้อนรับของคอนโดมิเนียมนั่นเอง

       “คุณฐานิสร์ มีแขกมารอพบอยู่ข้างล่างค่ะ” พูดจบแล้วก็วางหู ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากถามว่าเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย  ครั้นจะโทรศัพท์กลับไปถามใหม่ก็ขี้เกียจเรื่องมาก

       สงสัยจริงว่าเป็นใครมาหาเขาเวลานี้ ขณะลงลิฟต์ไปยังชั้นล่าง อดที่จะมองสำรวจตัวเองในกระจกภายในลิฟต์ไม่ได้ ชุดอยู่บ้านเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ไม่น่าเกลียดอะไร

       พอลิฟต์เปิดออก เขาก็ต้องตกตะลึงที่เห็นหญิงสาวที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นเธอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่