วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
34
“เพียะ ! ” เสียงฝ่ามือท่านนายพลกระทบใบหน้าปกป้องอย่างแรง แม้ใบหน้าชายหนุ่มจะสะบัดไปตามแรงตบแต่เขายืนนิ่งไม่โต้ตอบหรือหลบเลี่ยง
แต่อย่างใด
“กรี๊ด ! พ่อ อย่าทำเขา ! ” เนตริยาผวาเข้าไปกางกั้นและกอดปกป้องไว้ “หนูรักเขา” แล้วร้องไห้ออกมา
ผู้ชายทั้งสามคนตกตะลึงนิ่งงันไปกับประโยคท้ายนั้นด้วยความรู้สึกและอารมณ์ต่างกัน
“เนตร” ปกป้องครางเสียงแผ่ว ก้มลงมองร่างที่กอดเขาไว้แน่น ใบหน้านวลที่เงยขึ้นมองสบตาเขานั้นหมองไปด้วยน้ำตา หัวใจชายหนุ่มเต้นแรง
อิ่มล้นไปด้วยความสุขยามที่คนรักยอมเปิดเผยความรู้สึกของหล่อนออกมา แม้ปกป้องจะสัมผัสรู้ถึงหัวใจที่เนตริยามีต่อเขา แต่เขาไม่คิดว่าหล่อนจะ
ยอมรับออกมาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
“ตลอดเวลาที่หนูอยู่ที่นั่น เขาไม่เคยทำร้ายหนูเลยสักครั้งและยังให้เกียรติ ดูแลหนูเป็นอย่างดี หมอป้องยอมอุทิศชีวิตทำความดีรักษาชาวบ้านโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เขาพาหนูไปช่วยงานดูแลรักษาสุขภาพให้กับชาวบ้าน ทำให้หนูได้เรียนรู้และเข้าใจคนในพื้นที่เป็นอย่างดีอีกด้วย หมอป้องต้องการให้หนูเข้าใจปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริง เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยนะคะ” เนตริยาอธิบายด้วยเสียงสะอื้น ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องระงับสติอารมณ์มากขึ้น
“ลูก” พลโทเนติศักดิ์เรียกเตือน เขายังคงไม่เชื่อสนิทใจนัก แต่ก็เริ่มโน้มเอียงบ้างแล้วว่าปกป้องไม่ใช่คนเลว
“พ่อคะ ความมุ่งมั่นเสียสละของหมอป้องทำให้หนูประทับใจ ความสุขอย่างเดียวของเขาคือการทำเพื่อคนอื่น เขายอมเหนื่อยยอมทนลำบากตรากตรำเข้าไปรักษาชาวบ้านในป่าลึกที่ขาดแคลนหมอ หนูไม่อยากให้เขาได้รับโทษ เพราะถ้าเขาไม่อยู่ ชาวบ้านหลายคนอาจจะต้องเจ็บป่วยล้มตาย หนูไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”
“ลูกน้องคุณเป็นอย่างที่ลูกผมว่าจริงหรือ” พลโทเนติศักดิ์หันไปถามวิษณุผู้ที่น่าจะรู้จักลูกน้องของเขาดีที่สุด
วิษณุอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะคนผิดเต็มประตูคือลูกน้องของเขา เขาจะต้องระมัดระวังที่จะไม่ไปแก้ต่างให้กับลูกน้องที่เพิ่งจะยอมสารภาพความผิดออกมา แต่ความที่รู้จักปกป้องมานาน เขาก็อยากจะยืนยันตามที่เนตริยากล่าว
อาการนิ่งยอมรับ คือคำยืนยัน
“เขามีส่วนสำคัญในงานด้านการข่าวของคุณด้วยงั้นซิ” น้ำเสียงที่ถาม แสดงถึงความกังขาว่าวิษณุจะเข้าข้างลูกน้องนั้นทำให้วิษณุอดจะร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยืนยันไปตามเนื้อผ้าว่าปกป้องทำงานสำคัญให้เขา
“ใช่ครับ ปกป้องกำลังจะได้เบาะแสของขบวนการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งตัวหัวหน้าใหญ่มากบดานอยู่ในจังหวัดสตูล และเงินทุนในการซื้ออาวุธของขบวนการนี้มาจากการลักลอบค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา...”
คำว่า ‘ค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา’ ทำเอานายทหารระดับนายพลอดจะตาลุกด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
“ปกป้องสามารถเข้าถึงผู้นำขบวนการที่ชื่อสะมะแอได้ ตอนนี้สะมะแอป่วยอยู่และต้องการการรักษาจากหมออย่างปกป้อง หากไม่มีเขาเราคงไม่สามารถระบุตัวตนและพิกัดของค่ายโจรกลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน แม้งานช่วยเหลือชาวบ้านของเขาจะเป็นเพียงแค่หน้าฉาก แต่เขาก็ทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่
ด้วยใจรักอย่างแท้จริง เขาตั้งใจรักษาทุกคนในทุกหมู่บ้านโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นใคร จนชาวบ้านต่างไว้วางใจเขาไม่เว้นแม้แต่สะมะแอหัวหน้าขบวนการ การเสียเขาไปจะทำให้งานที่เราเริ่มทำกันมานานนั้นล้มเหลว” วิษณุหยุดพูดและหันไปมองหน้าของปกป้องที่ยังคงก้มหน้า “แต่....”
“แต่อะไร” พลโทเนติศักดิ์ถาม
“แต่กฎระเบียบและวินัยของทหารถือเป็นข้อปฏิบัติเคร่งครัดเหนือสิ่งอื่นใด การละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัตินอกเหนือคำสั่งผู้บังคับบัญชาถือเป็นอาญาอันร้ายแรง เขาจะต้องขึ้นศาลทหาร” วิษณุหยุดจ้องมองศิษย์คนโปรดก่อนจะบอกว่า “แล้วหลังจากเขาพ้นโทษแล้ว อาจจะพิจารณาอีกทีว่าเขาจะต้องถูกให้ออกจากราชการหรือไม่”
คำพูดของวิษณุยิ่งทำให้เนตริยารู้สึกสงสารปกป้องขึ้นมาจับใจ หล่อนได้แต่เฝ้าคิดว่าคนที่ทำความดีทำไมถึงจะต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ แม้แต่พลโทเนติศักดิ์ที่เริ่มจะคล้อยตามความดีของปกป้องก็ยังรู้สึกใจหายกับความเด็ดขาดของวิษณุไม่ได้ มีเพียงแต่ปกป้องเท่านั้นที่คงสีหน้าเรียบเฉย เขาเตรียมตัว
เตรียมใจมาแล้วกับสิ่งนี้
“เดี๋ยวก่อนคุณวิษณุ ผมอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงของเขา การพาหนึ่งในคณะกรรมการฯ ไปลงพื้นที่คลุกคลีกับชาวบ้านแบบนั้น มันใช่สิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ต่อแผนยุทธศาสตร์ได้จริงหรือ” เลือดทหารในตัวท่านนายพลโยงใยให้เขามองถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักและพยายามเข้าใจสิ่งที่ปกป้องยอมเสี่ยงกระทำถึงขนาดนี้
ปกป้องเงยหน้าขึ้นสบตากับนายพล
“ผมขอโอกาสอธิบายนะครับ ตั้งแต่ผมรับหน้าที่เข้ามาทำงานข่าวในจังหวัดสตูล พร้อมกับงานดูแลรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยทำให้ผมได้ใกล้ชิดคลุกคลีอยู่กับคนในพื้นที่ นั่นทำให้ผมเห็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมและวัฒนธรรม การเข้าไม่ถึงสวัสดิการที่รัฐควรจะมีหน้าที่จัดหาไว้ให้ การศึกษาและสาธารณสุขที่พวกเขาควรได้รับ รวมถึงช่องโหว่ทางกฎหมายที่เปิดช่องให้พวกทำผิดกฎหมายยังคงลอยนวลอยู่โดยไม่สามารถเอาผิดพวกมันได้ ผมแค่อยากจะส่งข้อความเหล่านี้ออกไปให้ภาครัฐเห็นและเข้าใจ แต่เพราะผมเป็นแค่ทหารตัวเล็กๆ จึงทำให้เสียงเรียกร้องของผมไม่เคยถูกรับฟัง”
ยามนี้ปกป้องหันไปสบตาผู้เป็นครู วิษณุเองก็นึกได้ถึงครั้งหนึ่งที่ปกป้องเคยมาปรึกษาเรื่องนี้ แล้วเขาบอกปัดไปว่ามันเป็นเรื่องของระดับนโยบายเท่านั้น
“และเมื่อผมรู้ว่าผู้กองเนตริยาอยู่ในคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดความสงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผมพยายามเขียนจดหมายติดต่อกับเธอ เพื่ออธิบายในสิ่งที่ผมรู้ให้เธอเข้าใจ แต่จดหมายของผมก็ไม่มีการตอบกลับ ผมเริ่มหมดหวังที่จะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนกระทั่งผมได้ข่าวว่าผู้กองกำลังจะเดินทางมาเข้าร่วมประชุมเตรียมงานในภาคใต้ ผมจึงวางแผนที่จะลักพาตัวเธอให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ มาช่วยงานด้านสาธารณสุขอย่างที่ผมทำ มาคลุกคลีกับชาวบ้าน เพื่อที่เธอจะได้เข้าใจปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริงเหมือนที่ผมเข้าใจ และเมื่อผมพาเธอไปอยู่ที่นั่น เธอก็ได้เรียนรู้อย่างที่ผมตั้งใจไว้จริงๆ เพราะฉะนั้นจากนี้ไป เมื่อผู้กองกลับเข้าไปทำหน้าที่ของคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ ผมเชื่อว่าผู้กองจะสามารถโน้มน้าวและให้ข้อมูลที่ชัดเจนจนทำให้แผนนี้สามารถแก้ปัญหาความไม่สงบได้”
วิษณุแม้ก่อนหน้านี้เพิ่งจะบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรปกป้องก็ต้องขึ้นศาลทหารอย่างแน่นอน แต่ใจจริงแล้วเขาเข้าใจเจตนาบริสุทธิ์ของปกป้องที่ทำเรื่องนี้ลงไป แต่คนที่จะตัดสินใจไม่เอาเรื่องปกป้องนั้นไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรงอย่างเขา แต่คือคนที่เสียหายอย่างพลโทเนติศักดิ์
ส่วนท่านนายพล แม้จะเข้าใจถึงผลประโยชน์ของชาติอย่างที่ปกป้องอธิบาย แต่มลทินที่มีต่อชื่อเสียงของลูกสาวของเขาไม่อาจลบเลือนไปได้ง่ายๆ
“แล้วที่นายเอาลูกสาวฉันไปอยู่ในป่านานเป็นเดือนแบบนั้น จะให้ฉันคิดอย่างไร ลูกสาวฉันถูกนายล่วงเกินบ้างหรือเปล่า”
“ปกป้องไม่เคยทำแบบนั้นเลยนะคะ” เนตริยาที่รีบชิงตอบแทนปกป้อง “ที่ๆ เขาพาหนูไปอยู่ไม่ใช่กลางป่าที่หนูจะต้องไปนอนกลางดินกินกลางทราย แต่เป็นบ้านพักอย่างดี เขาจัดห้องให้หนูอยู่เป็นสัดส่วน อาหารการกินพร้อม เขาดูแลหนูดีทุกอย่าง”
พลโทเนติศักดิ์เริ่มใจเย็นลงเมื่อเห็นท่าทางหนักแน่นของลูกสาว แม้ส่วนหนึ่งจะนึกหมั่นไส้ที่เนตริยาเข้าข้างคนที่ลักพาตัวเธอไป
“แล้วเรื่องนี้จะจบกันอย่างไร” แม้ท่านนายพลจะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปกป้องทำลงไปว่ามีเจตนาเพื่อความสงบของบ้านเมืองก็ตาม แต่ความเสียหายยังคงตกอยู่กับลูกสาวของเขา “คณะกรรมการเขารู้กันหมดว่าเนตริยาหายไป ไม่อยู่ประชุมเตรียมงาน แล้วจู่ๆ ก็กลับมา แถมยังรู้เรื่องคนในพื้นที่อย่างดี แบบนี้คนเขาจะคิดยังไง”
วิษณุนิ่งคิดไตร่ตรองว่าเขาควรจะหาทางออกกับเรื่องนี้อย่างไรที่จะไม่เกิดความเสียหายต่อทุกฝ่าย แต่ก่อนอื่นเขาต้องย้ำเตือนขั้นตอนการปฏิบัติให้ทราบก่อนว่า
“หากท่านจะเอาผิดปกป้อง ก็ต้องแจ้งความกับตำรวจ และในเมื่อเป็นเรื่องของทหารไม่ใช่พลเรือน ฝ่ายพระธรรมนูญจะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ จากนั้น ในการไต่สวนและผ่านขั้นตอนต่างๆ ของศาลทหาร ผู้กองต้องไปขึ้นศาลเพื่อให้การในฐานะผู้เสียหาย ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ แม้ในที่สุดปกป้องจะเข้าคุกรับโทษ และผู้กองยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่มีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้นระหว่างถูกลักพาตัว
แต่เราไปห้ามคนไม่ให้นินทาไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือชื่อเสียงผู้กอง ในช่วงพิจารณาคดีเธอจะถูกซักไซ้อย่างละเอียดซึ่งอาจจะมีข้อถามแบบลึกซึ้ง หลังจากคดีสิ้นสุดแล้วทุกคนก็ยังตั้งคำถามและมองเธอใน
ทางลบอยู่ดี”
“ดูเหมือนว่า การจะเอาเรื่องปกป้องก็ต้องแลกกับชื่อเสียงของลูกสาวผมอยู่ดีใช่ไหม” พลโทเนติศักดิ์ประชด ไหนจะห่วงชื่อเสียงลูกสาว ไหนจะโกรธแค้นและต้องการเอาเรื่องคนผิด
“ครับ” วิษณุตอบรับ ในใจเป็นกังวลว่าหากเรื่องไปจบลงที่ศาลทหาร ความเสียหายหลายอย่างจะตามมา รวมทั้งภารกิจลับที่ปกป้องเริ่มไว้นานแล้วจะสูญเปล่า ขบวนการก่อความไม่สงบจะยังคงมีอยู่ต่อไป มูลค่าความเสียหายนั้นมากมายเกินกว่าจะประเมินได้
และแล้วความคิดหนึ่งก็วาบขึ้นมาในสมองของวิษณุ
“หากท่านห่วงกังวลเรื่องความเสียหายของผู้กองเป็นหลักแล้วล่ะก้อ ผมพอจะมีทางออกครับ” วิษณุแสดงความคิดเห็นที่ทำให้สีหน้าของทุกคนดูมีความหวังขึ้นมา
“อย่างไรหรือ”
“ในเมื่อคนที่รู้ความจริงมีเพียงแค่เราสี่คนตรงนี้เท่านั้น และผมเองก็อยู่หน่วยข่าวกรองแบบนี้ ผมสามารถสร้างหลักฐานเป็นว่าผู้กองถูกส่งไปปฏิบัติราชการลับ ผมจะให้หน่วยงานของผมเป็นต้นเรื่อง แล้วทำคำสั่งย้อนหลังออกมา ขอให้ผู้กองมาช่วยราชการลับในพื้นที่ของผมในช่วงที่เธอหายไปเดือนกว่า”
“ช่วยราชการลับ?”
“ครับ
ราชการลับคือราชการลับจริงๆ จะไม่มีใครกล้าตั้งคำถามหรือโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ต้นสังกัดของผู้กองก็ตาม”
ทางออกที่วิษณุเสนอ ทำให้ทุกคนโล่งอกไปตามๆ กัน
“จริงหรือ คุณทำแบบนั้นได้แน่หรือ ” ท่านนายพลอยากจะเน้นย้ำให้มั่นใจ เพราะเขาเองก็เริ่มเห็นด้วยว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ครับ อย่างที่ผมบอก คำว่า ‘ราชการลับ’ เพียงคำเดียว ไม่มีใครกล้าซักถามอะไรอีกแล้ว”
ทั้งหมดมองหน้ากัน เนตริยาค่อยๆ ยิ้มออกมา เริ่มมีกำลังใจเมื่อรู้ว่าปกป้องจะพ้นผิด และตัวเธอจะพ้นจากข้อครหา
“นอกจากพวกเราตรงนี้แล้ว ยังจะมีผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้กองอีกคน ที่เมื่อรับคำสั่งนี้ อาจจะมีข้อสงสัย..” วิษณุเว้นระยะแล้วมองสบตาเนตริยา “คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้กองแล้วล่ะครับที่จะต้องอธิบายกับหัวหน้า”
“ไม่มีปัญหาค่ะ เนตรคุยกับหัวหน้าได้ เขาเป็นคนดีและเขาต้องเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นอย่างดี ขอบคุณคุณวิษณุมากนะคะ”
แต่พลโทเนติศักดิ์ก็ยังไม่คลายความขุ่นเคืองปกป้อง
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 34
แต่อย่างใด
“กรี๊ด ! พ่อ อย่าทำเขา ! ” เนตริยาผวาเข้าไปกางกั้นและกอดปกป้องไว้ “หนูรักเขา” แล้วร้องไห้ออกมา
ผู้ชายทั้งสามคนตกตะลึงนิ่งงันไปกับประโยคท้ายนั้นด้วยความรู้สึกและอารมณ์ต่างกัน
“เนตร” ปกป้องครางเสียงแผ่ว ก้มลงมองร่างที่กอดเขาไว้แน่น ใบหน้านวลที่เงยขึ้นมองสบตาเขานั้นหมองไปด้วยน้ำตา หัวใจชายหนุ่มเต้นแรง
อิ่มล้นไปด้วยความสุขยามที่คนรักยอมเปิดเผยความรู้สึกของหล่อนออกมา แม้ปกป้องจะสัมผัสรู้ถึงหัวใจที่เนตริยามีต่อเขา แต่เขาไม่คิดว่าหล่อนจะ
ยอมรับออกมาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
“ตลอดเวลาที่หนูอยู่ที่นั่น เขาไม่เคยทำร้ายหนูเลยสักครั้งและยังให้เกียรติ ดูแลหนูเป็นอย่างดี หมอป้องยอมอุทิศชีวิตทำความดีรักษาชาวบ้านโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เขาพาหนูไปช่วยงานดูแลรักษาสุขภาพให้กับชาวบ้าน ทำให้หนูได้เรียนรู้และเข้าใจคนในพื้นที่เป็นอย่างดีอีกด้วย หมอป้องต้องการให้หนูเข้าใจปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริง เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยนะคะ” เนตริยาอธิบายด้วยเสียงสะอื้น ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องระงับสติอารมณ์มากขึ้น
“ลูก” พลโทเนติศักดิ์เรียกเตือน เขายังคงไม่เชื่อสนิทใจนัก แต่ก็เริ่มโน้มเอียงบ้างแล้วว่าปกป้องไม่ใช่คนเลว
“พ่อคะ ความมุ่งมั่นเสียสละของหมอป้องทำให้หนูประทับใจ ความสุขอย่างเดียวของเขาคือการทำเพื่อคนอื่น เขายอมเหนื่อยยอมทนลำบากตรากตรำเข้าไปรักษาชาวบ้านในป่าลึกที่ขาดแคลนหมอ หนูไม่อยากให้เขาได้รับโทษ เพราะถ้าเขาไม่อยู่ ชาวบ้านหลายคนอาจจะต้องเจ็บป่วยล้มตาย หนูไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”
“ลูกน้องคุณเป็นอย่างที่ลูกผมว่าจริงหรือ” พลโทเนติศักดิ์หันไปถามวิษณุผู้ที่น่าจะรู้จักลูกน้องของเขาดีที่สุด
วิษณุอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะคนผิดเต็มประตูคือลูกน้องของเขา เขาจะต้องระมัดระวังที่จะไม่ไปแก้ต่างให้กับลูกน้องที่เพิ่งจะยอมสารภาพความผิดออกมา แต่ความที่รู้จักปกป้องมานาน เขาก็อยากจะยืนยันตามที่เนตริยากล่าว
อาการนิ่งยอมรับ คือคำยืนยัน
“เขามีส่วนสำคัญในงานด้านการข่าวของคุณด้วยงั้นซิ” น้ำเสียงที่ถาม แสดงถึงความกังขาว่าวิษณุจะเข้าข้างลูกน้องนั้นทำให้วิษณุอดจะร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยืนยันไปตามเนื้อผ้าว่าปกป้องทำงานสำคัญให้เขา
“ใช่ครับ ปกป้องกำลังจะได้เบาะแสของขบวนการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งตัวหัวหน้าใหญ่มากบดานอยู่ในจังหวัดสตูล และเงินทุนในการซื้ออาวุธของขบวนการนี้มาจากการลักลอบค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา...”
คำว่า ‘ค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา’ ทำเอานายทหารระดับนายพลอดจะตาลุกด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
“ปกป้องสามารถเข้าถึงผู้นำขบวนการที่ชื่อสะมะแอได้ ตอนนี้สะมะแอป่วยอยู่และต้องการการรักษาจากหมออย่างปกป้อง หากไม่มีเขาเราคงไม่สามารถระบุตัวตนและพิกัดของค่ายโจรกลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน แม้งานช่วยเหลือชาวบ้านของเขาจะเป็นเพียงแค่หน้าฉาก แต่เขาก็ทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่
ด้วยใจรักอย่างแท้จริง เขาตั้งใจรักษาทุกคนในทุกหมู่บ้านโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นใคร จนชาวบ้านต่างไว้วางใจเขาไม่เว้นแม้แต่สะมะแอหัวหน้าขบวนการ การเสียเขาไปจะทำให้งานที่เราเริ่มทำกันมานานนั้นล้มเหลว” วิษณุหยุดพูดและหันไปมองหน้าของปกป้องที่ยังคงก้มหน้า “แต่....”
“แต่อะไร” พลโทเนติศักดิ์ถาม
“แต่กฎระเบียบและวินัยของทหารถือเป็นข้อปฏิบัติเคร่งครัดเหนือสิ่งอื่นใด การละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัตินอกเหนือคำสั่งผู้บังคับบัญชาถือเป็นอาญาอันร้ายแรง เขาจะต้องขึ้นศาลทหาร” วิษณุหยุดจ้องมองศิษย์คนโปรดก่อนจะบอกว่า “แล้วหลังจากเขาพ้นโทษแล้ว อาจจะพิจารณาอีกทีว่าเขาจะต้องถูกให้ออกจากราชการหรือไม่”
คำพูดของวิษณุยิ่งทำให้เนตริยารู้สึกสงสารปกป้องขึ้นมาจับใจ หล่อนได้แต่เฝ้าคิดว่าคนที่ทำความดีทำไมถึงจะต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ แม้แต่พลโทเนติศักดิ์ที่เริ่มจะคล้อยตามความดีของปกป้องก็ยังรู้สึกใจหายกับความเด็ดขาดของวิษณุไม่ได้ มีเพียงแต่ปกป้องเท่านั้นที่คงสีหน้าเรียบเฉย เขาเตรียมตัว
เตรียมใจมาแล้วกับสิ่งนี้
“เดี๋ยวก่อนคุณวิษณุ ผมอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงของเขา การพาหนึ่งในคณะกรรมการฯ ไปลงพื้นที่คลุกคลีกับชาวบ้านแบบนั้น มันใช่สิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ต่อแผนยุทธศาสตร์ได้จริงหรือ” เลือดทหารในตัวท่านนายพลโยงใยให้เขามองถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักและพยายามเข้าใจสิ่งที่ปกป้องยอมเสี่ยงกระทำถึงขนาดนี้
ปกป้องเงยหน้าขึ้นสบตากับนายพล
“ผมขอโอกาสอธิบายนะครับ ตั้งแต่ผมรับหน้าที่เข้ามาทำงานข่าวในจังหวัดสตูล พร้อมกับงานดูแลรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยทำให้ผมได้ใกล้ชิดคลุกคลีอยู่กับคนในพื้นที่ นั่นทำให้ผมเห็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมและวัฒนธรรม การเข้าไม่ถึงสวัสดิการที่รัฐควรจะมีหน้าที่จัดหาไว้ให้ การศึกษาและสาธารณสุขที่พวกเขาควรได้รับ รวมถึงช่องโหว่ทางกฎหมายที่เปิดช่องให้พวกทำผิดกฎหมายยังคงลอยนวลอยู่โดยไม่สามารถเอาผิดพวกมันได้ ผมแค่อยากจะส่งข้อความเหล่านี้ออกไปให้ภาครัฐเห็นและเข้าใจ แต่เพราะผมเป็นแค่ทหารตัวเล็กๆ จึงทำให้เสียงเรียกร้องของผมไม่เคยถูกรับฟัง”
ยามนี้ปกป้องหันไปสบตาผู้เป็นครู วิษณุเองก็นึกได้ถึงครั้งหนึ่งที่ปกป้องเคยมาปรึกษาเรื่องนี้ แล้วเขาบอกปัดไปว่ามันเป็นเรื่องของระดับนโยบายเท่านั้น
“และเมื่อผมรู้ว่าผู้กองเนตริยาอยู่ในคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดความสงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผมพยายามเขียนจดหมายติดต่อกับเธอ เพื่ออธิบายในสิ่งที่ผมรู้ให้เธอเข้าใจ แต่จดหมายของผมก็ไม่มีการตอบกลับ ผมเริ่มหมดหวังที่จะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนกระทั่งผมได้ข่าวว่าผู้กองกำลังจะเดินทางมาเข้าร่วมประชุมเตรียมงานในภาคใต้ ผมจึงวางแผนที่จะลักพาตัวเธอให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ มาช่วยงานด้านสาธารณสุขอย่างที่ผมทำ มาคลุกคลีกับชาวบ้าน เพื่อที่เธอจะได้เข้าใจปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริงเหมือนที่ผมเข้าใจ และเมื่อผมพาเธอไปอยู่ที่นั่น เธอก็ได้เรียนรู้อย่างที่ผมตั้งใจไว้จริงๆ เพราะฉะนั้นจากนี้ไป เมื่อผู้กองกลับเข้าไปทำหน้าที่ของคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ ผมเชื่อว่าผู้กองจะสามารถโน้มน้าวและให้ข้อมูลที่ชัดเจนจนทำให้แผนนี้สามารถแก้ปัญหาความไม่สงบได้”
วิษณุแม้ก่อนหน้านี้เพิ่งจะบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรปกป้องก็ต้องขึ้นศาลทหารอย่างแน่นอน แต่ใจจริงแล้วเขาเข้าใจเจตนาบริสุทธิ์ของปกป้องที่ทำเรื่องนี้ลงไป แต่คนที่จะตัดสินใจไม่เอาเรื่องปกป้องนั้นไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรงอย่างเขา แต่คือคนที่เสียหายอย่างพลโทเนติศักดิ์
ส่วนท่านนายพล แม้จะเข้าใจถึงผลประโยชน์ของชาติอย่างที่ปกป้องอธิบาย แต่มลทินที่มีต่อชื่อเสียงของลูกสาวของเขาไม่อาจลบเลือนไปได้ง่ายๆ
“แล้วที่นายเอาลูกสาวฉันไปอยู่ในป่านานเป็นเดือนแบบนั้น จะให้ฉันคิดอย่างไร ลูกสาวฉันถูกนายล่วงเกินบ้างหรือเปล่า”
“ปกป้องไม่เคยทำแบบนั้นเลยนะคะ” เนตริยาที่รีบชิงตอบแทนปกป้อง “ที่ๆ เขาพาหนูไปอยู่ไม่ใช่กลางป่าที่หนูจะต้องไปนอนกลางดินกินกลางทราย แต่เป็นบ้านพักอย่างดี เขาจัดห้องให้หนูอยู่เป็นสัดส่วน อาหารการกินพร้อม เขาดูแลหนูดีทุกอย่าง”
พลโทเนติศักดิ์เริ่มใจเย็นลงเมื่อเห็นท่าทางหนักแน่นของลูกสาว แม้ส่วนหนึ่งจะนึกหมั่นไส้ที่เนตริยาเข้าข้างคนที่ลักพาตัวเธอไป
“แล้วเรื่องนี้จะจบกันอย่างไร” แม้ท่านนายพลจะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปกป้องทำลงไปว่ามีเจตนาเพื่อความสงบของบ้านเมืองก็ตาม แต่ความเสียหายยังคงตกอยู่กับลูกสาวของเขา “คณะกรรมการเขารู้กันหมดว่าเนตริยาหายไป ไม่อยู่ประชุมเตรียมงาน แล้วจู่ๆ ก็กลับมา แถมยังรู้เรื่องคนในพื้นที่อย่างดี แบบนี้คนเขาจะคิดยังไง”
วิษณุนิ่งคิดไตร่ตรองว่าเขาควรจะหาทางออกกับเรื่องนี้อย่างไรที่จะไม่เกิดความเสียหายต่อทุกฝ่าย แต่ก่อนอื่นเขาต้องย้ำเตือนขั้นตอนการปฏิบัติให้ทราบก่อนว่า
“หากท่านจะเอาผิดปกป้อง ก็ต้องแจ้งความกับตำรวจ และในเมื่อเป็นเรื่องของทหารไม่ใช่พลเรือน ฝ่ายพระธรรมนูญจะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ จากนั้น ในการไต่สวนและผ่านขั้นตอนต่างๆ ของศาลทหาร ผู้กองต้องไปขึ้นศาลเพื่อให้การในฐานะผู้เสียหาย ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ แม้ในที่สุดปกป้องจะเข้าคุกรับโทษ และผู้กองยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่มีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้นระหว่างถูกลักพาตัว แต่เราไปห้ามคนไม่ให้นินทาไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือชื่อเสียงผู้กอง ในช่วงพิจารณาคดีเธอจะถูกซักไซ้อย่างละเอียดซึ่งอาจจะมีข้อถามแบบลึกซึ้ง หลังจากคดีสิ้นสุดแล้วทุกคนก็ยังตั้งคำถามและมองเธอใน
ทางลบอยู่ดี”
“ดูเหมือนว่า การจะเอาเรื่องปกป้องก็ต้องแลกกับชื่อเสียงของลูกสาวผมอยู่ดีใช่ไหม” พลโทเนติศักดิ์ประชด ไหนจะห่วงชื่อเสียงลูกสาว ไหนจะโกรธแค้นและต้องการเอาเรื่องคนผิด
“ครับ” วิษณุตอบรับ ในใจเป็นกังวลว่าหากเรื่องไปจบลงที่ศาลทหาร ความเสียหายหลายอย่างจะตามมา รวมทั้งภารกิจลับที่ปกป้องเริ่มไว้นานแล้วจะสูญเปล่า ขบวนการก่อความไม่สงบจะยังคงมีอยู่ต่อไป มูลค่าความเสียหายนั้นมากมายเกินกว่าจะประเมินได้
และแล้วความคิดหนึ่งก็วาบขึ้นมาในสมองของวิษณุ
“หากท่านห่วงกังวลเรื่องความเสียหายของผู้กองเป็นหลักแล้วล่ะก้อ ผมพอจะมีทางออกครับ” วิษณุแสดงความคิดเห็นที่ทำให้สีหน้าของทุกคนดูมีความหวังขึ้นมา
“อย่างไรหรือ”
“ในเมื่อคนที่รู้ความจริงมีเพียงแค่เราสี่คนตรงนี้เท่านั้น และผมเองก็อยู่หน่วยข่าวกรองแบบนี้ ผมสามารถสร้างหลักฐานเป็นว่าผู้กองถูกส่งไปปฏิบัติราชการลับ ผมจะให้หน่วยงานของผมเป็นต้นเรื่อง แล้วทำคำสั่งย้อนหลังออกมา ขอให้ผู้กองมาช่วยราชการลับในพื้นที่ของผมในช่วงที่เธอหายไปเดือนกว่า”
“ช่วยราชการลับ?”
“ครับ ราชการลับคือราชการลับจริงๆ จะไม่มีใครกล้าตั้งคำถามหรือโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ต้นสังกัดของผู้กองก็ตาม”
ทางออกที่วิษณุเสนอ ทำให้ทุกคนโล่งอกไปตามๆ กัน
“จริงหรือ คุณทำแบบนั้นได้แน่หรือ ” ท่านนายพลอยากจะเน้นย้ำให้มั่นใจ เพราะเขาเองก็เริ่มเห็นด้วยว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ครับ อย่างที่ผมบอก คำว่า ‘ราชการลับ’ เพียงคำเดียว ไม่มีใครกล้าซักถามอะไรอีกแล้ว”
ทั้งหมดมองหน้ากัน เนตริยาค่อยๆ ยิ้มออกมา เริ่มมีกำลังใจเมื่อรู้ว่าปกป้องจะพ้นผิด และตัวเธอจะพ้นจากข้อครหา
“นอกจากพวกเราตรงนี้แล้ว ยังจะมีผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้กองอีกคน ที่เมื่อรับคำสั่งนี้ อาจจะมีข้อสงสัย..” วิษณุเว้นระยะแล้วมองสบตาเนตริยา “คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้กองแล้วล่ะครับที่จะต้องอธิบายกับหัวหน้า”
“ไม่มีปัญหาค่ะ เนตรคุยกับหัวหน้าได้ เขาเป็นคนดีและเขาต้องเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นอย่างดี ขอบคุณคุณวิษณุมากนะคะ”
แต่พลโทเนติศักดิ์ก็ยังไม่คลายความขุ่นเคืองปกป้อง