วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
20
เนตริยานั่งเหม่อลอยอยู่ที่ระเบียงบ้านชั้นบน ตั้งแต่เช้าเธอไม่ได้ทำอะไร ได้แต่นั่งๆ นอนๆ ด้วยความเบื่อ แล้วสักพักหล่อนก็นึกออกว่าอยากทำอะไร ลำธารหลังบ้านที่ปกป้องพาเธอไปวันนั้น ถ้าได้ไปนั่งริมลำธารน่าจะเพลิดเพลินมากกว่ามานั่งเจ่าจุกอยู่บนบ้านแบบนี้
หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินลงบันไดหลังบ้าน แต่พอเท้าก้าวลงแตะพื้นดิน
“นายหญิงจะไปไหนครับ” แสวงนั่นเอง
“ฉันจะไปนั่งเล่นที่ริมลำธารหน่อย อยู่บนบ้านไม่มีอะไรทำ”
“แต่ว่า นายน้อยไม่อยู่แบบนี้ นายไม่อนุญาตให้นายหญิงออกไปหรอกครับ มันไม่ปลอดภัย” แสวงพยายามอธิบายอย่างสุภาพ
“แต่ฉันเบื่อ” บ่นพลางถอนหายใจ
“เดี๋ยวนายก็กลับมาครับ”
“ทำไมเขาต้องไปตลาดทุกเช้า ไปซื้ออะไรที่ตลาดงั้นหรือ” เนตริยาได้จังหวะถามถึงสิ่งที่ข้องใจ
“ไม่หรอกครับ ก็แค่พบปะผู้คน ชาวบ้านแถบนี้”
“ไปพบปะชาวบ้าน ? ” หล่อนทวนคำ หยุดคิดหาเหตุผลสักพักก็นึกออก “เขาจะสมัครเป็นนายก อบต. หรือยังไง” ถามกึ่งประชด
แสวงขำแทบกลิ้ง แต่เขาก็พยายามสะกดกลั้นไว้
“ถ้านายสนใจอยากจะเป็นนายกอบต.จริงๆ ได้เป็นไปนานแล้วล่ะครับ”
“แหม คงเป็นขวัญใจประชาชนแถวนี้ซินะ” เนตริยากล่าวอย่างหมั่นไส้ แล้วใจก็ประหวัดไปถึงใครอีกคน...ธเนศ เขาเคยบอกหล่อนว่าเขาจะลงเล่นการเมืองท้องถิ่น
จังหวะนั้น นาดีร์เดินผ่านมา เขาถือตะกร้าและเสียมเตรียมจะเข้าไปที่แปลงเกษตร
“นาดีร์ จะไปเก็บผักหรือ” เนตริยาหันไปทัก
“จะไปเก็บไข่ครับ แล้วว่าจะขุดเผือก เอามาทำเผือกทอด”
“เก็บไข่ ฉันอยากไปเก็บด้วย” ทำท่ากระตือรือร้นกับกิจกรรมที่หล่อนไม่เคยทำ และคิดว่ามันคงน่าสนุกไม่น้อย แต่พอก้าวเท้าจะตามนาดีร์ไป ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วหันมามองแสวงราวกับจะถามว่าหล่อนไปได้ไหม
แสวงยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วเดินตามไปห่างๆ
เนตริยาสนุกสนานกับการได้เก็บไข่สดๆ จากฟาร์มไก่หลังบ้าน แล้วเดินไปดูนาดีร์ขุดเผือกจากท้องร่องขึ้นมา 3 หัว
“จะทำเผือกทอดหรือ แบบเป็นแผ่นๆ หรือเป็นเส้น” หล่อนถาม มองหัวเผือกเลอะดินเหล่านั้นพลางนึกถึงโปเตโต้ชิปแต่ครั้งนี้ทำด้วยเผือกไม่ใช่มันฝรั่ง
“ได้ทั้งสองอย่างครับ นายหญิงจะได้มีของทานเล่น”
“ทำให้ฉันหรือ ? ” เนตริยาอุทานอย่างแปลกใจแล้วยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “ขอบใจนะ”
“นายสั่งไว้ครับ”
เนตริยาชะงักกับคำบอกเล่านั้นอดรู้สึกตื้อขึ้นมาในอกไม่ได้ แล้วนึกถึงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ถึงเขาไม่อยู่แต่ก็ยังอุตส่าห์เตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ให้เธอ
“เที่ยงนี้นายหญิงอยากทานอะไรครับ” นาดีร์ถามขึ้น
เนตริยามองไปรอบตัว ที่มีทั้งผัก ผลไม้ เขียวไปหมดทั้งสวน นึกไม่ออกว่าจะทานอะไร ครั้นแล้วสายตาก็หันไปเห็นมะละกอออกลูกดกเต็มต้น
“ฉันอยากกินส้มตำ”
นาดีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เห็นท่าทางเช่นนั้น หญิงสาวจึงถามขึ้นว่า
“ทำส้มตำเป็นไหม”
“ไม่แน่ใจครับ” เสียงพูดแปร่งๆ กับท่าทางไม่มั่นใจของเด็กหนุ่มมุสลิมคนนี้ ทำให้เนตริยาปลอบว่า
“ถ้าทำไม่เป็น ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันแสดงฝีมือเอง” แล้วหล่อนก็บอกให้นาดีร์เก็บพริก มะนาว ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ ที่เป็นเครื่องของส้มตำเตรียมมาให้พร้อม
“ต้องมีไก่ย่างด้วยไหมครับ” แสวงที่คอยอยู่ห่างๆ อดจะถามขึ้นมาไม่ได้
“ไก่ย่าง” เนตริยาทวนคำ แล้วอดจะชำเลืองไปที่เล้าไก่ไม่ได้ “เอ่อ จะจับมันมาเชือดหรือ” หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ “ไม่ดีกว่า ส้มตำอย่างเดียวก็พอ”
ปกป้องกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ทุกคนอยู่หลังบ้านกันหมด จึงไม่มีใครได้ยินเสียงรถของเขา พอชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนบ้านก็ว่างเปล่าอีก ยอมรับว่าใจหาย แต่ครั้นได้ยินเสียงผู้หญิงแจ้วๆ มาจากทางหลังบ้าน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่เขากำลังห่วงหาอยู่ในขณะนี้ ชายหนุ่มรีบเดินออกไปชะโงกดูที่ระเบียง ภาพเนตริยาหิ้วตระกร้าไข่เดินนำหน้า มีนาดีร์และแสวงถือผักและเสียมเดินตามเป็นพรวน หล่อนกำลังคุยสอนนาดีร์เรื่องอะไรสักอย่าง
ปกป้องอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ช่างเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกประทับใจ
บ้านที่ขาดผู้หญิง ช่างแห้งแล้งบอกไม่ถูก แต่พอมีเนตริยาเข้ามาอยู่ ทุกอย่างรอบตัวดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด
รู้สึกเหมือนมีสายตาคอยจับจ้อง เนตริยาเงยหน้าขึ้นและพบกับสายตาที่ทอดมองมา รอยยิ้มอบอุ่นของเขา แววตาเช่นนั้น ทำให้เนตริยาอดใจเต้นแรงไม่ได้ หล่อนเผลอตัวค้อนเขาออกไปด้วยความแง่งอนโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นยิ่งทำให้ปกป้องยิ้มมากขึ้น เขาเดินลงบันไดมาหา แล้วถามว่า
“ไปเที่ยวสวนกันมาหรือครับ”
คนงานทั้งสองรีบเดินเลี่ยงออกไป
“ใช่ แล้วนายล่ะ ไปตลาดมาสนุกไหม”
“ครับ ได้ไปนั่งสภากาแฟ ฟังพวกผู้ชายเขาถกกันเรื่องการเมือง ปัญหาปากท้อง” เขาไม่พูดความจริง
คำว่าสภากาแฟ ทำให้เนตริยานึกเห็นภาพร้านกาแฟในตลาดที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่มานั่งจิบกาแฟคุยกัน สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งใจ
อย่างประหลาด เพราะก่อนหน้านี้หล่อนไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าทำไมเขาจะต้องไปตลาดไม่อยู่รับประทานอาหารเช้าพร้อมหล่อน หรือเพราะเขานัดใครไว้
“ที่นั่นมันน่าสนุกตรงไหนหรือ ?”
“มันเป็นสังคมของผู้ชาย ผู้หญิงไม่เข้าใจหรอกครับ”
เนตริยาพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยขอเรื่องหนึ่งว่า
“ถ้าฉันต้องอยู่บ้านว่างๆ ทั้งวัน ฉันขอไปนั่งเล่นที่ริมลำธารได้ไหม”
“เอาไว้ผมว่างแล้วจะพาไป”
“แต่ฉันอยากไปนั่งเล่นเงียบๆ คนเดียว”
“มันอันตราย”
“ไม่เห็นจะมีอันตรายอะไรเลย นายกลัวฉันหนีมากกว่า”
“แล้วเคยหนีรอดไหม” เขาย้อนถามเยาะหยัน เนตริยาทำหน้างอ “ผมไม่เสี่ยงให้คุณไปเจออุบัติเหตุแบบนั้นอีกหรอก”
พูดจบชายหนุ่มก็ตัดบทด้วยการเดินกลับขึ้นไปบนบ้าน
ปกป้องขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานเพื่อเตรียมการเข้าไปยังค่ายสะมะแอ เขาเรียกแสวงเข้ามาในห้องทำงาน
“ที่ให้ไปติดต่อเรื่องขออนุญาตนำยาเข้าไปส่งสะมะแอ เขาตอบมาหรือยัง” การเข้าไปยังรังโจรแห่งนี้ จะต้องแจ้งขออนุญาตล่วงหน้า ไม่ใช่จะเข้าไปเวลาใดก็ได้
“ครับ เขาตอบมาแล้วว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ ได้ทั้งสองวัน”
“ถ้างั้น วันนี้เลยดีไหม” ปกป้องสรุปและประสานสายตากับแสวง ทั้งคู่ต่างรู้ว่าภารกิจนี้มีอันตรายแค่ไหน แสวงเองนั้นเขาเคยเข้าไปที่นั่นหลายครั้งแล้วสมัยนายแพทย์ปริญญ์ยังมีชีวิตอยู่ มาครั้งนี้ที่จะต้องเข้าไปกับปกป้องนับเป็นครั้งที่สอง
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปขนของขึ้นรถ”
ปกป้องสำรวจกระเป๋าล่วมยาว่ามีทุกอย่างพร้อมสำหรับการรักษาพยาบาลหรือไม่ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่เขาเข้าไปที่ค่ายสะมะแอ ไม่เพียงแค่นำยาไปส่ง แต่จะต้องตรวจร่างกายทั่วไปให้แก่ผู้นำของค่ายอีกด้วย ซึ่งก็เป็นการตรวจระดับพื้นฐานที่สุดเท่าที่เครื่องมือทางการแพทย์ที่เขามี
จะอำนวยให้ ยิ่งถ้าพูดถึงการตรวจเลือดหรือการฉีดยาใดๆ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
สะมะแอไม่มีวันยอมไว้ใจให้ใครเอาเข็มไปจิ้มบนตัวเขาอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ ยังอาจจะมีลูกน้องบางคนที่เจ็บป่วยหรือมีบาดแผลที่เขาต้องช่วยรักษาอีกด้วย
ครั้งแรกที่ปกป้องเข้าไปที่ค่ายสะมะแอโดยปราศจากบิดาของเขานั้น เขารู้ดีว่าหัวหน้าค่ายแห่งนี้ไม่ไว้วางใจเขาเท่านายแพทย์ปริญญ์ สายตาที่จับจ้องมองเขา และกฎระเบียบการเข้าออกค่ายที่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม ทำให้ปกป้องอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้
และครั้งนี้เขากำลังจะเข้าไปที่นั่นอีกครั้ง..
ไปเผชิญกับความเสี่ยงที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
“นายครับ อาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วครับ” นาดีร์นั่นเอง
“ขอบใจมากนาดีร์” ปกป้องตอบ เขาพยายามคลายความกังวลใจเกี่ยวกับภารกิจที่กำลังจะออกไปทำ แต่ทว่าไม่ว่าจะข่มความคิดอย่างไร เขาก็ยิ่งเครียดเกี่ยวกับงานนี้ เป็นเพราะขณะนี้เขามีห่วงเพิ่มขึ้นใช่ไหม ปกป้องถามใจตัวเอง
ปกป้องเดินออกมาจากห้องทำงาน เนตริยานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เขาเดินเข้ามาถึงโต๊ะมองสำรวจเมนูวันนี้แล้วก็ต้องแปลกใจที่มีส้มตำกับปลาย่าง
“วันนี้มีส้มตำด้วยหรือ เพิ่งรู้ว่านาดีร์ทำเป็น”
“นายหญิงทำครับ” นาดีร์ที่ยืนรอจะตักข้าวให้รีบตอบ
ปกป้องหันไปมองหน้าคนทำ ที่ทำหน้าเรียบเฉยไม่รู้ไม่ชี้
“ทำกับข้าวเป็นด้วยหรือ”
“ทำส้มตำไม่เห็นจะยากตรงไหน ใครๆ ก็ทำเป็น”
ปกป้องยิ้ม ทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม นาดีร์เข้ามาตักข้าวใส่จานให้หญิงสาว แล้วอ้อมมาตักให้ปกป้อง
ชายหนุ่มตักส้มตำเข้าปากเป็นคำแรก โดยมีสายตาเนตริยาจับจ้องดูปฏิกิริยาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“เปรี้ยว” เขาอุทานออกมา เนตริยาหน้าเสียอย่างระงับไม่อยู่ หล่อนหวังว่ามันจะถูกปากเขา
“ก็ฉันชอบกินรสนี้นี่” หล่อนแก้ตัวเข้าข้างตัวเอง แล้วมองปกป้องตักข้าวเข้าปากตาม รู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ จึงบอกว่า “เดี๋ยวไปทำให้ใหม่ก็ได้”
แล้วทำท่าจะลุกไปทำจริงๆ
“ไม่ต้องครับ ไม่เปรี้ยวมากเท่าไหร่ ผมจะหัดกินรสที่คุณชอบละกัน”
เป็นอะไรที่หญิงสาวรู้สึกดี และยิ่งดีขึ้นไปอีกเมื่อปกป้องบรรจงแกะเนื้อปลามาใส่ให้ในจานของหล่อน
“ตอนแรกแสวงเขาถามเหมือนกันว่าจะทานไก่ย่างไหม ฉันสงสารไก่ เลยบอกไม่ต้อง เขาเลยไปจับปลามาย่างแทน” เนตริยาอธิบาย
ปกป้องรับประทานมื้อนี้อย่างมีความสุข แต่เขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้หากปราศจากความวิตกกังวลในใจ แต่กระนั้น แม้ปกป้องจะพยายามแย้มยิ้มพูดคุยด้วยกับหญิงสาว หล่อนก็สัมผัสได้ถึงความอึมครึมและแววตาเหม่อลอยครุ่นคิดในบางขณะของปกป้องระหว่างรับประทานอาหาร
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 20
หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินลงบันไดหลังบ้าน แต่พอเท้าก้าวลงแตะพื้นดิน
“นายหญิงจะไปไหนครับ” แสวงนั่นเอง
“ฉันจะไปนั่งเล่นที่ริมลำธารหน่อย อยู่บนบ้านไม่มีอะไรทำ”
“แต่ว่า นายน้อยไม่อยู่แบบนี้ นายไม่อนุญาตให้นายหญิงออกไปหรอกครับ มันไม่ปลอดภัย” แสวงพยายามอธิบายอย่างสุภาพ
“แต่ฉันเบื่อ” บ่นพลางถอนหายใจ
“เดี๋ยวนายก็กลับมาครับ”
“ทำไมเขาต้องไปตลาดทุกเช้า ไปซื้ออะไรที่ตลาดงั้นหรือ” เนตริยาได้จังหวะถามถึงสิ่งที่ข้องใจ
“ไม่หรอกครับ ก็แค่พบปะผู้คน ชาวบ้านแถบนี้”
“ไปพบปะชาวบ้าน ? ” หล่อนทวนคำ หยุดคิดหาเหตุผลสักพักก็นึกออก “เขาจะสมัครเป็นนายก อบต. หรือยังไง” ถามกึ่งประชด
แสวงขำแทบกลิ้ง แต่เขาก็พยายามสะกดกลั้นไว้
“ถ้านายสนใจอยากจะเป็นนายกอบต.จริงๆ ได้เป็นไปนานแล้วล่ะครับ”
“แหม คงเป็นขวัญใจประชาชนแถวนี้ซินะ” เนตริยากล่าวอย่างหมั่นไส้ แล้วใจก็ประหวัดไปถึงใครอีกคน...ธเนศ เขาเคยบอกหล่อนว่าเขาจะลงเล่นการเมืองท้องถิ่น
จังหวะนั้น นาดีร์เดินผ่านมา เขาถือตะกร้าและเสียมเตรียมจะเข้าไปที่แปลงเกษตร
“นาดีร์ จะไปเก็บผักหรือ” เนตริยาหันไปทัก
“จะไปเก็บไข่ครับ แล้วว่าจะขุดเผือก เอามาทำเผือกทอด”
“เก็บไข่ ฉันอยากไปเก็บด้วย” ทำท่ากระตือรือร้นกับกิจกรรมที่หล่อนไม่เคยทำ และคิดว่ามันคงน่าสนุกไม่น้อย แต่พอก้าวเท้าจะตามนาดีร์ไป ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วหันมามองแสวงราวกับจะถามว่าหล่อนไปได้ไหม
แสวงยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วเดินตามไปห่างๆ
เนตริยาสนุกสนานกับการได้เก็บไข่สดๆ จากฟาร์มไก่หลังบ้าน แล้วเดินไปดูนาดีร์ขุดเผือกจากท้องร่องขึ้นมา 3 หัว
“จะทำเผือกทอดหรือ แบบเป็นแผ่นๆ หรือเป็นเส้น” หล่อนถาม มองหัวเผือกเลอะดินเหล่านั้นพลางนึกถึงโปเตโต้ชิปแต่ครั้งนี้ทำด้วยเผือกไม่ใช่มันฝรั่ง
“ได้ทั้งสองอย่างครับ นายหญิงจะได้มีของทานเล่น”
“ทำให้ฉันหรือ ? ” เนตริยาอุทานอย่างแปลกใจแล้วยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “ขอบใจนะ”
“นายสั่งไว้ครับ”
เนตริยาชะงักกับคำบอกเล่านั้นอดรู้สึกตื้อขึ้นมาในอกไม่ได้ แล้วนึกถึงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ถึงเขาไม่อยู่แต่ก็ยังอุตส่าห์เตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ให้เธอ
“เที่ยงนี้นายหญิงอยากทานอะไรครับ” นาดีร์ถามขึ้น
เนตริยามองไปรอบตัว ที่มีทั้งผัก ผลไม้ เขียวไปหมดทั้งสวน นึกไม่ออกว่าจะทานอะไร ครั้นแล้วสายตาก็หันไปเห็นมะละกอออกลูกดกเต็มต้น
“ฉันอยากกินส้มตำ”
นาดีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เห็นท่าทางเช่นนั้น หญิงสาวจึงถามขึ้นว่า
“ทำส้มตำเป็นไหม”
“ไม่แน่ใจครับ” เสียงพูดแปร่งๆ กับท่าทางไม่มั่นใจของเด็กหนุ่มมุสลิมคนนี้ ทำให้เนตริยาปลอบว่า
“ถ้าทำไม่เป็น ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันแสดงฝีมือเอง” แล้วหล่อนก็บอกให้นาดีร์เก็บพริก มะนาว ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ ที่เป็นเครื่องของส้มตำเตรียมมาให้พร้อม
“ต้องมีไก่ย่างด้วยไหมครับ” แสวงที่คอยอยู่ห่างๆ อดจะถามขึ้นมาไม่ได้
“ไก่ย่าง” เนตริยาทวนคำ แล้วอดจะชำเลืองไปที่เล้าไก่ไม่ได้ “เอ่อ จะจับมันมาเชือดหรือ” หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ “ไม่ดีกว่า ส้มตำอย่างเดียวก็พอ”
ปกป้องกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ทุกคนอยู่หลังบ้านกันหมด จึงไม่มีใครได้ยินเสียงรถของเขา พอชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนบ้านก็ว่างเปล่าอีก ยอมรับว่าใจหาย แต่ครั้นได้ยินเสียงผู้หญิงแจ้วๆ มาจากทางหลังบ้าน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่เขากำลังห่วงหาอยู่ในขณะนี้ ชายหนุ่มรีบเดินออกไปชะโงกดูที่ระเบียง ภาพเนตริยาหิ้วตระกร้าไข่เดินนำหน้า มีนาดีร์และแสวงถือผักและเสียมเดินตามเป็นพรวน หล่อนกำลังคุยสอนนาดีร์เรื่องอะไรสักอย่าง
ปกป้องอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ช่างเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกประทับใจ บ้านที่ขาดผู้หญิง ช่างแห้งแล้งบอกไม่ถูก แต่พอมีเนตริยาเข้ามาอยู่ ทุกอย่างรอบตัวดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด
รู้สึกเหมือนมีสายตาคอยจับจ้อง เนตริยาเงยหน้าขึ้นและพบกับสายตาที่ทอดมองมา รอยยิ้มอบอุ่นของเขา แววตาเช่นนั้น ทำให้เนตริยาอดใจเต้นแรงไม่ได้ หล่อนเผลอตัวค้อนเขาออกไปด้วยความแง่งอนโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นยิ่งทำให้ปกป้องยิ้มมากขึ้น เขาเดินลงบันไดมาหา แล้วถามว่า
“ไปเที่ยวสวนกันมาหรือครับ”
คนงานทั้งสองรีบเดินเลี่ยงออกไป
“ใช่ แล้วนายล่ะ ไปตลาดมาสนุกไหม”
“ครับ ได้ไปนั่งสภากาแฟ ฟังพวกผู้ชายเขาถกกันเรื่องการเมือง ปัญหาปากท้อง” เขาไม่พูดความจริง
คำว่าสภากาแฟ ทำให้เนตริยานึกเห็นภาพร้านกาแฟในตลาดที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่มานั่งจิบกาแฟคุยกัน สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งใจ
อย่างประหลาด เพราะก่อนหน้านี้หล่อนไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าทำไมเขาจะต้องไปตลาดไม่อยู่รับประทานอาหารเช้าพร้อมหล่อน หรือเพราะเขานัดใครไว้
“ที่นั่นมันน่าสนุกตรงไหนหรือ ?”
“มันเป็นสังคมของผู้ชาย ผู้หญิงไม่เข้าใจหรอกครับ”
เนตริยาพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยขอเรื่องหนึ่งว่า
“ถ้าฉันต้องอยู่บ้านว่างๆ ทั้งวัน ฉันขอไปนั่งเล่นที่ริมลำธารได้ไหม”
“เอาไว้ผมว่างแล้วจะพาไป”
“แต่ฉันอยากไปนั่งเล่นเงียบๆ คนเดียว”
“มันอันตราย”
“ไม่เห็นจะมีอันตรายอะไรเลย นายกลัวฉันหนีมากกว่า”
“แล้วเคยหนีรอดไหม” เขาย้อนถามเยาะหยัน เนตริยาทำหน้างอ “ผมไม่เสี่ยงให้คุณไปเจออุบัติเหตุแบบนั้นอีกหรอก”
พูดจบชายหนุ่มก็ตัดบทด้วยการเดินกลับขึ้นไปบนบ้าน
ปกป้องขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานเพื่อเตรียมการเข้าไปยังค่ายสะมะแอ เขาเรียกแสวงเข้ามาในห้องทำงาน
“ที่ให้ไปติดต่อเรื่องขออนุญาตนำยาเข้าไปส่งสะมะแอ เขาตอบมาหรือยัง” การเข้าไปยังรังโจรแห่งนี้ จะต้องแจ้งขออนุญาตล่วงหน้า ไม่ใช่จะเข้าไปเวลาใดก็ได้
“ครับ เขาตอบมาแล้วว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ ได้ทั้งสองวัน”
“ถ้างั้น วันนี้เลยดีไหม” ปกป้องสรุปและประสานสายตากับแสวง ทั้งคู่ต่างรู้ว่าภารกิจนี้มีอันตรายแค่ไหน แสวงเองนั้นเขาเคยเข้าไปที่นั่นหลายครั้งแล้วสมัยนายแพทย์ปริญญ์ยังมีชีวิตอยู่ มาครั้งนี้ที่จะต้องเข้าไปกับปกป้องนับเป็นครั้งที่สอง
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปขนของขึ้นรถ”
ปกป้องสำรวจกระเป๋าล่วมยาว่ามีทุกอย่างพร้อมสำหรับการรักษาพยาบาลหรือไม่ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่เขาเข้าไปที่ค่ายสะมะแอ ไม่เพียงแค่นำยาไปส่ง แต่จะต้องตรวจร่างกายทั่วไปให้แก่ผู้นำของค่ายอีกด้วย ซึ่งก็เป็นการตรวจระดับพื้นฐานที่สุดเท่าที่เครื่องมือทางการแพทย์ที่เขามี
จะอำนวยให้ ยิ่งถ้าพูดถึงการตรวจเลือดหรือการฉีดยาใดๆ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย สะมะแอไม่มีวันยอมไว้ใจให้ใครเอาเข็มไปจิ้มบนตัวเขาอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ ยังอาจจะมีลูกน้องบางคนที่เจ็บป่วยหรือมีบาดแผลที่เขาต้องช่วยรักษาอีกด้วย
ครั้งแรกที่ปกป้องเข้าไปที่ค่ายสะมะแอโดยปราศจากบิดาของเขานั้น เขารู้ดีว่าหัวหน้าค่ายแห่งนี้ไม่ไว้วางใจเขาเท่านายแพทย์ปริญญ์ สายตาที่จับจ้องมองเขา และกฎระเบียบการเข้าออกค่ายที่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม ทำให้ปกป้องอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้
และครั้งนี้เขากำลังจะเข้าไปที่นั่นอีกครั้ง..ไปเผชิญกับความเสี่ยงที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
“นายครับ อาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วครับ” นาดีร์นั่นเอง
“ขอบใจมากนาดีร์” ปกป้องตอบ เขาพยายามคลายความกังวลใจเกี่ยวกับภารกิจที่กำลังจะออกไปทำ แต่ทว่าไม่ว่าจะข่มความคิดอย่างไร เขาก็ยิ่งเครียดเกี่ยวกับงานนี้ เป็นเพราะขณะนี้เขามีห่วงเพิ่มขึ้นใช่ไหม ปกป้องถามใจตัวเอง
ปกป้องเดินออกมาจากห้องทำงาน เนตริยานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เขาเดินเข้ามาถึงโต๊ะมองสำรวจเมนูวันนี้แล้วก็ต้องแปลกใจที่มีส้มตำกับปลาย่าง
“วันนี้มีส้มตำด้วยหรือ เพิ่งรู้ว่านาดีร์ทำเป็น”
“นายหญิงทำครับ” นาดีร์ที่ยืนรอจะตักข้าวให้รีบตอบ
ปกป้องหันไปมองหน้าคนทำ ที่ทำหน้าเรียบเฉยไม่รู้ไม่ชี้
“ทำกับข้าวเป็นด้วยหรือ”
“ทำส้มตำไม่เห็นจะยากตรงไหน ใครๆ ก็ทำเป็น”
ปกป้องยิ้ม ทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม นาดีร์เข้ามาตักข้าวใส่จานให้หญิงสาว แล้วอ้อมมาตักให้ปกป้อง
ชายหนุ่มตักส้มตำเข้าปากเป็นคำแรก โดยมีสายตาเนตริยาจับจ้องดูปฏิกิริยาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“เปรี้ยว” เขาอุทานออกมา เนตริยาหน้าเสียอย่างระงับไม่อยู่ หล่อนหวังว่ามันจะถูกปากเขา
“ก็ฉันชอบกินรสนี้นี่” หล่อนแก้ตัวเข้าข้างตัวเอง แล้วมองปกป้องตักข้าวเข้าปากตาม รู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ จึงบอกว่า “เดี๋ยวไปทำให้ใหม่ก็ได้”
แล้วทำท่าจะลุกไปทำจริงๆ
“ไม่ต้องครับ ไม่เปรี้ยวมากเท่าไหร่ ผมจะหัดกินรสที่คุณชอบละกัน”
เป็นอะไรที่หญิงสาวรู้สึกดี และยิ่งดีขึ้นไปอีกเมื่อปกป้องบรรจงแกะเนื้อปลามาใส่ให้ในจานของหล่อน
“ตอนแรกแสวงเขาถามเหมือนกันว่าจะทานไก่ย่างไหม ฉันสงสารไก่ เลยบอกไม่ต้อง เขาเลยไปจับปลามาย่างแทน” เนตริยาอธิบาย
ปกป้องรับประทานมื้อนี้อย่างมีความสุข แต่เขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้หากปราศจากความวิตกกังวลในใจ แต่กระนั้น แม้ปกป้องจะพยายามแย้มยิ้มพูดคุยด้วยกับหญิงสาว หล่อนก็สัมผัสได้ถึงความอึมครึมและแววตาเหม่อลอยครุ่นคิดในบางขณะของปกป้องระหว่างรับประทานอาหาร