บทที่ 5
เนตริยาหายไข้แล้วแต่ร่างกายยังคงบอบช้ำจากการถูกน้ำที่ไหลบ่าล้นตลิ่งซัดจนร่างลอยไปกระแทกกับต้นไม้ รอยฟกช้ำที่หน้าผากยังคงเหลือแต่รอยแดงๆ
ที่ห้องทำงาน ปกป้องให้เนตริยานั่งอยู่บนเตียงพยาบาลเพื่อตรวจเช็คอาการ และดูแผลที่หน้าผาก
“วันนี้ยังระบมอยู่อีกไหม”
เนตริยาคลำตามตัว แล้วตอบว่า “ยังมีบ้าง”
“แต่ไม่ถึงกับปวดใช่ไหม”
เนตริยาส่ายหน้า
“ถ้างั้นผมไม่ต้องให้ยานะ รออีกวันสองวันอาการระบมจะค่อยๆ หายไป” เขาบอกแล้วหันไปหยิบยาแก้ฟกช้ำที่เตรียมไว้ข้างๆ บีบยาจากหลอดลงที่ปลายนิ้วของเขาแล้วเอื้อมมือจะป้ายยาที่รอยแดงนั่น แต่หญิงสาวเบี่ยงศีรษะออก
“ยังเจ็บอยู่หรือ” เขาถามอย่างสงสัยกับท่าทางปฏิเสธนั้น
“ฉันทำเองได้” ตอบสะบัดๆ พร้อมกับเชิดหน้าหยิ่งด้วยอาการถือตัว
“แล้วมองเห็นแผลหรือ”
หญิงสาวไม่ตอบพร้อมกับจะแย่งหลอดยาไปทำเอง ปกป้องจึงรีบป้ายยาที่อยู่ปลายนิ้วนั้นฉับให้ที่แผล พร้อมกับทำความเข้าใจกับหญิงสาวว่า
“คุณบาดเจ็บ เป็นหน้าที่ผมที่จะต้องดูแล”
“ใช่ซิ นายกลัวไม่ได้เงินค่าไถ่ใช่ไหม” หล่อนสวนทันควัน
“แน่นอน ไม่ยังงั้นผมจะลำบากลักพาตัวคุณมาทำไม”
“แล้วนายส่งข่าวให้พ่อแม่ฉันหรือยัง” เนตริยาถามอย่างวิตกกังวล ป่านนี้บุพการีทั้งสองจะห่วงใยหล่อนขนาดไหน แม่คงร้องไห้ทุกวันแน่ๆ
“ส่งแล้ว ผมใช้มือถือของคุณส่ง SMS ไปให้” ปกป้องส่งข้อความไปบอกพลโทเนติศักดิ์ว่าเนตริยาปลอดภัยดี พร้อมทั้งขู่ว่าหากไม่อยากให้ลูกสาวเสียชื่อสียง อย่าแจ้งความ แล้วลูกจะกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย
“แล้วท่านตอบมาหรือยัง”
“ยัง” เขาโกหกออกไป ทั้งๆ ที่บิดาของเนตริยาถามกลับมาแล้วว่าเป็นการจับตัวเรียกค่าไถ่หรือไม่ และต้องการเงินเท่าไหร่ แต่เขายังไม่ได้ตอบกลับไป เพราะเวลาที่เขาจะตอบ เขาต้องขับรถออกไปหาสถานที่ไกลๆ เพื่อตำรวจจะไม่สามารถสืบหาพิกัดของเขาได้ อีกทั้งพื้นที่ป่าที่เขาอยู่เป็นจุดอับสัญญาณ ที่ถึงแม้จะเป็นผลดีว่าไม่มีใครตามหาเขาเจอก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องการติดต่อกับภายนอกโดยเฉพาะกับหน่วยเหนือ เขาต้องเข้าไปในเมือง ซึ่งข้อจำกัดของปกป้องนั้นวิษณุเข้าใจดีและพอใจที่มันจะเป็นเช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยของสายข่าวของเขานั่นเอง
“ฉันไม่เชื่อ คุณพ่อฉันต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะตอบกลับมา” เนตริยาดึงเขากลับมาจากภวังค์ความคิด
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผมจะเจรจากับทางฝ่ายคุณอย่างไร แค่อยู่เฉยๆ ทำตามที่ผมบอกแล้วคุณจะปลอดภัย ได้กลับบ้านแน่นอน”
“แต่...คุณพ่อ คุณแม่...” เนตริยารู้สึกคล้ายลำคอตีบตันเมื่อนึกถึงผู้บังเกิดเกล้าว่าจะทุกข์ใจเพียงใด แต่หล่อนจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้ หญิงสาวพยายามกล้ำกลืนน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
“ผมว่าตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะนะ พรุ่งนี้ผมมีงานจะให้คุณทำ ส่วนผม มีงานที่ต้องทำเหมือนกัน” ปกป้องรีบตัดบท เขาไม่อยากเห็นน้ำตาผู้หญิง
ถูกไล่เช่นนี้ เนตริยาจำต้องลุกเดินออกไปจากห้องทำงานของเขา ได้ยินเสียงแสวงกับนาดีร์คุยกันอยู่ข้างล่าง หญิงสาวยืนเคว้งคว้างอยู่กลางบ้าน ถามตัวเองว่าหล่อนจะทำอย่างไร ผู้ชายทั้งสามคนปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระอยู่ในบ้านนี้ ไม่มีการคุมขังกักบริเวณหรือล่ามโซ่แต่อย่างใด พวกเขาคงแน่ใจแล้วกระมังว่า หล่อนน่าจะเข็ดขยาดการหลบหนีไปแล้ว เพราะถึงแม้หล่อนจะสามารถขโมยรถขับไปได้ แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะเส้นทางมหาโหดนั่นเอง แถมน้ำป่าที่ถาโถมเข้ามาหาเธอในตอนนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจนเนตริยาหวาดผวาทุกครั้งที่นึกย้อนไปถึง อีกทั้งความรู้สึกร้าวระบมลึกๆ ตามตัวนั่นอีก มันทำให้หล่อนทดท้อ
หญิงสาวเดินกลับไปที่ห้องอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ บอกตัวเองว่าแม้วันนี้จะดูเหมือนอับจนหนทาง แต่มันต้องมีวันหน้า วันที่หล่อนจะสบโอกาสหนีรอดพ้นไปจากที่นี่
ปกป้องนั่งทำงานเงียบๆ ในห้อง จัดตารางงานว่าวันพรุ่งนี้เขาจะต้องไปเยี่ยมชาวบ้านคนไหน ซึ่งป่วยเป็นอะไร และต้องเตรียมยาหรืออุปกรณ์ใดบ้าง ซึ่งเขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เนตริยาจะต้องออกไปลงพื้นที่กับเขา ไปเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือเขาอย่างที่เขาเคยช่วยพ่อ แล้วหล่อนจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ชนิดที่คนทำงานนั่งโต๊ะอย่างหล่อนไม่เคยสัมผัส เขาจะให้หล่อนคีย์ข้อมูลเพื่อบันทึกประวัติอาการผู้ป่วย เพราะตอนนี้เขาได้นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาช่วยบันทึกข้อมูล ซึ่งทำให้เขาทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าช่วงแรกที่เขายังต้องพึ่งเอกสารและแฟ้มคนไข้
แต่กระนั้น การทำงานด้านการรักษาคนเดียวปราศจากคำแนะนำของพ่อที่เคยพร่ำสอน ทำให้เขานึกถึงวันเก่าๆ ที่สองพ่อลูกนั่งทำงานด้วยกัน
ภาพถ่ายของนายแพทย์ปริญญ์แขวนติดอยู่ที่ผนังเหนือตู้เอกสาร ทุกครั้งที่เขาเข้ามาในห้องทำงาน ปกป้องจะชำเลืองมองไปที่ภาพบิดาก่อนที่จะเริ่มงานเสมอ ภาพของนายแพทย์ปริญญ์เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้ปกป้องตั้งใจมุมานะทำงานแม้จะเหนื่อยยากลำบากเพียงใด เพราะเขาคิดว่าเขาไม่ได้ทำงานรับใช้ประเทศชาติและสังคมเพียงอย่างเดียว แต่เขายังทำงานเพื่อให้สานต่ออุดมการณ์ของพ่ออีกด้วย
เขานึกย้อนไป ในตอนนั้นที่เขาคอยเฝ้าดูแลพ่อของเขาจนกระทั่งวาระสุดท้าย เขารับปากกับนายแพทย์ปริญญ์ว่าจะสานต่องานที่พ่อเขาสร้างไว้อย่างดีที่สุด
‘ได้ยินลูกสัญญาอย่างนี้ พ่อก็นอนตายตาหลับ’
‘อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ พ่อจะต้องหาย’ ปกป้องพยายามให้กำลังใจบิดา แม้เขาจะรู้ว่าเวลาแห่งการจากพรากใกล้เข้ามาทุกที
‘ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนั่น พ่อให้ลูกดูบัญชีทุกบัญชีแล้ว ลูกก็รู้ว่าสถานะทางการเงินของเราไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายสอน พี่ชายของแสวงเขาจะนำรายได้จากสวนยางของเราเข้าบัญชีให้ทุกเดือน’ ปริญญ์พูดไปหยุดหอบหายใจไป ‘หรือถ้ากลัวว่าเงินจะไม่พอจริงๆ พ่อยังมีที่ดินที่กรุงเทพฯ อีกหลายแปลง ถามแม่เขา’ พร้อมกับพยักเพยิดไปที่พรพรรณซึ่งยืนน้ำตาคลอเฝ้าอยู่ปลายเตียง ‘แม่เขาเก็บโฉนดไว้ เอาที่ดินไปขายซะแล้วเอาเงินมาทำงาน’
‘ครับพ่อ’ เขารับปากพร้อมน้ำตารินร่วง แม้จนวาระสุดท้าย พ่อก็ยังห่วงชาวบ้านพวกนั้น ปกป้องเกือบจะหลุดปากออก ไปแล้วว่า ตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้ตกงานอย่างที่พ่อเข้าใจ แต่เขารับราชการทหารมีรายได้พอสมควรและยังเงินเบี้ยกันดารที่เขาต้องมาฝังตัวอยู่ในพื้นที่ เป็นจำนวนเงินที่จะไม่ทำให้เขาขัดสนแต่อย่างใด
งานศพของนายแพทย์ปริญญ์ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ปรากฏว่าผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมาร่วมงานเพื่อแสดงความอาลัยและระลึกถึงคุณงามความดีของนายแพทย์ปริญญ์ และในงานปกป้องได้พบผู้ใหญ่หลายคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและที่เคยเคารพนับถือกันมากับพ่อของเขา คนเหล่านั้นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะสนับสนุนเขาให้สืบทอดงานของพ่อต่อไป มันทำให้ปกป้องเกิดกำลังใจอย่างมาก โดยเฉพาะเพื่อนพ่อที่เป็นหมอและรู้ว่าเขาไม่ได้เรียนจบแพทย์มา แต่คนเหล่านี้ก็ไม่คิดจะกีดกันเขาไปจากงานที่เสียสละอย่างมากเช่นนี้ มีแต่แนะนำว่า หากเกินกำลังที่เขาจะดูแลไหว ก็ให้ส่งต่อคนไข้เข้ามาในเมือง ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลสตูลยินดีช่วยเหลือเต็มที่
เวลาผ่านมาปีกว่าแล้ว ปกป้องทำหน้าที่ตามที่สัญญาไว้กับพ่อเรื่อยมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ ซึ่งเขาต้องขอบคุณพ่อที่พาเขาไปรู้จักคนไข้ทุกคนในทุกหมู่บ้าน ไปทำความรู้จักกับผู้นำท้องถิ่น รวมถึงกลุ่มบุคคลพวกหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า คนเหล่านี้มักมีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้อะไรสักอย่าง กับไข้ป่าและมาเลเรียที่ดูเหมือนจะมีพ่อเขาคนเดียวที่คนเหล่านี้ยอมให้ทำการรักษา ปกป้องเคยตามพ่อเขาเข้าไปสองครั้ง และได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ต่างจากซ่องโจร มันทำให้เขามั่นใจว่าต้องเป็นขบวนการผิดกฎหมายอะไรสักอย่างซึ่งเขาจะต้องจับตามองความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ เพราะนี่คือเป้าหมายสำหรับงานข่าวของเขา
และตอนนี้ทุกคนยอมรับ ‘หมอใหม่’ อย่างเขาแล้ว ไม่มีใครสงสัยว่าเขาคือสายลับที่ทำหน้าที่หมอบังหน้า !
เมื่อไม่มีพ่อแล้ว ปกป้องสามารถทำงานด้านการข่าวได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น เขาไม่ต้องหาข้ออ้างที่จะเข้าเมืองเพื่อติดต่อกับหน่วยเหนือ ไม่ต้องอ้างว่าจะไปนั่งเล่นที่สภากาแฟในตลาดเพราะอยากเข้าไปสังคมกับคนในพื้นที่ ทั้งๆ ที่เขาไปเตร่ที่นั่นเพื่อหาข่าว สมัยนั้นพ่อคิดไปว่าเขาทนเงียบเหงาอยู่ที่บ้านไม่ได้ จึงต้องหาเรื่องเข้าเมืองหรือออกไปตลาดไปพบผู้คนบ่อยๆ อีกทั้งแปะกวงที่ร้านขายของชำในตลาดมีหลานสาวกำลังวัยรุ่นหน้าตาดีด้วยแล้ว พ่อยิ่งคิดว่านั่นคือแม่เหล็กที่ทำให้เขาอยากไปตลาด
แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ขณะนี้ การลักพาตัวนายทหารอย่างเนตริยามาที่นี่ ปกป้องคิดว่าหากพ่อของเขายังอยู่ ท่านต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน และวิษณุก็คงจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ปกป้องมั่นใจในสิ่งที่เขาตัดสินใจทำไปแล้ว อย่างไรเสีย เขาจะต้องทำให้สำเร็จ แม้ว่าจุดจบของมันจะทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่ในคุกทหารก็ตาม
เขาและวิษณุได้ติดต่อกันบ่อยขึ้น ทุกครั้งมักเป็นการไต่ถามถึงการอยู่ในพื้นที่ของปกป้องว่าเป็นอย่างไรบ้าง
‘ครูขอโทษด้วยนะที่ไม่สามารถไปร่วมงานศพของคุณพ่อเธอได้’
‘ไม่เป็นไรครับครู ผมเข้าใจ งานของเราไม่เหมาะที่จะเจอหน้ากันในที่ที่คนไปรวมตัวกันเยอะ’
‘ครูอยากจะบอกว่าเสียใจด้วยที่เธอต้องสูญเสียคุณพ่อไป ทั้งๆ ที่ท่านก็อายุยังไม่มาก คนดีอย่างนายแพทย์ปริญญ์หาไม่ได้ง่ายๆ’
‘ครับ พอผมได้มาอยู่กับพ่อ ถึงได้เข้าใจว่าท่านเสียสละมากแค่ไหน และชาวบ้านก็รักท่านมากเหลือเกิน จนผมเองก็พลอยได้รับอานิสงส์ข้อนี้ไปด้วย ตอนนี้ผมเริ่มได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่มากขึ้นแล้วครับ ’
‘ดีมาก ตอนนี้งานของเธอคือทำให้คนในพื้นที่ไว้ใจ ยังไม่ต้องรีบหาข่าวอะไรทั้งนั้น แค่จับตามองว่าใครเป็นใครในพื้นที่ไปก่อน ยิ่งคุณพ่อไม่อยู่แล้วแบบนี้ ครูยังไม่มั่นใจว่าคนในพื้นที่เขาไว้ใจเธอมากน้อยแค่ไหน ยังไม่อยากให้มีพิรุธ แล้วเรื่องการออกตรวจสุขภาพชาวบ้านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง’
‘เรื่องนั้นผมรับผิดชอบงานแทนพ่อได้หมดแล้วครับ ชาวบ้านต่างให้ความไว้วางใจผมไม่ต่างจากพ่อ แม้พวกมีอิทธิพลที่เคยให้ความเคารพนับถือพ่อ พวกนั้นก็ยังเชื่อใจผม’
ปกป้องเล่าให้วิษณุฟังถึงตอนที่นายแพทย์ปริญญ์พาเขาเข้าไปบนเขาในป่าลึกซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนอะไรสักอย่างที่เขาเชื่อมั่นว่ามันคือขบวนการผิดกฎหมายแน่นอน พ่อเขาแนะนำว่าเป็นลูกชายที่จะมาช่วยแบ่งเบางานของเขา ครั้งนั้นปกป้องยังจำได้ดีว่าเขาถูกมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แต่เป็นเพราะหนี้บุญคุณที่พ่อของเขาเข้ามาช่วยเหลือคนเหล่านี้เวลาที่เจ็บป่วยหรือเวลาที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบอะไรสักอย่าง มันทำให้เขามั่นใจว่าคนเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งหมออย่างพ่อและตัวเขา
‘ดีมาก คอยจับตาดูพวกนี้ให้ดีนะ และระวังตัวด้วย ครูไม่อยากให้เธอพลาด’
‘ขอบคุณครับครู เดี๋ยวช่วงเดือนหน้าผมจะกลับไปเยี่ยมคุณแม่ที่กรุงเทพฯ ผมจะติดต่อไปหาครูอีกทีนะครับ’
ในช่วงนั้น ปกป้องสามารถเป็นตัวแทนของพ่อของเขาได้อย่างสมบูรณ์ แสวงและนาดีร์ยังคงคอยช่วยเหลือที่บ้านหลังนั้นเช่นเดิม กิจวัตรในการออกหน่วยที่นายแพทย์ปริญญ์เคยทำอย่างไร ปกป้องก็ทำอย่างนั้น
แล้วก็ถึงช่วงที่ปกป้องจะกลับไปเยี่ยมมารดา หลังจากที่เสร็จธุระกับทางบ้าน ปกป้องหาเวลานัดเจอกับวิษณุเพื่อที่จะพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เขาพบเห็น
วิษณุนัดเจอกับปกป้องในร้านอาหารที่วิษณุเป็นคนกำหนด เขาจะเปลี่ยนสถานที่นัดพบไปเรื่อยๆ
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 5
ที่ห้องทำงาน ปกป้องให้เนตริยานั่งอยู่บนเตียงพยาบาลเพื่อตรวจเช็คอาการ และดูแผลที่หน้าผาก
“วันนี้ยังระบมอยู่อีกไหม”
เนตริยาคลำตามตัว แล้วตอบว่า “ยังมีบ้าง”
“แต่ไม่ถึงกับปวดใช่ไหม”
เนตริยาส่ายหน้า
“ถ้างั้นผมไม่ต้องให้ยานะ รออีกวันสองวันอาการระบมจะค่อยๆ หายไป” เขาบอกแล้วหันไปหยิบยาแก้ฟกช้ำที่เตรียมไว้ข้างๆ บีบยาจากหลอดลงที่ปลายนิ้วของเขาแล้วเอื้อมมือจะป้ายยาที่รอยแดงนั่น แต่หญิงสาวเบี่ยงศีรษะออก
“ยังเจ็บอยู่หรือ” เขาถามอย่างสงสัยกับท่าทางปฏิเสธนั้น
“ฉันทำเองได้” ตอบสะบัดๆ พร้อมกับเชิดหน้าหยิ่งด้วยอาการถือตัว
“แล้วมองเห็นแผลหรือ”
หญิงสาวไม่ตอบพร้อมกับจะแย่งหลอดยาไปทำเอง ปกป้องจึงรีบป้ายยาที่อยู่ปลายนิ้วนั้นฉับให้ที่แผล พร้อมกับทำความเข้าใจกับหญิงสาวว่า
“คุณบาดเจ็บ เป็นหน้าที่ผมที่จะต้องดูแล”
“ใช่ซิ นายกลัวไม่ได้เงินค่าไถ่ใช่ไหม” หล่อนสวนทันควัน
“แน่นอน ไม่ยังงั้นผมจะลำบากลักพาตัวคุณมาทำไม”
“แล้วนายส่งข่าวให้พ่อแม่ฉันหรือยัง” เนตริยาถามอย่างวิตกกังวล ป่านนี้บุพการีทั้งสองจะห่วงใยหล่อนขนาดไหน แม่คงร้องไห้ทุกวันแน่ๆ
“ส่งแล้ว ผมใช้มือถือของคุณส่ง SMS ไปให้” ปกป้องส่งข้อความไปบอกพลโทเนติศักดิ์ว่าเนตริยาปลอดภัยดี พร้อมทั้งขู่ว่าหากไม่อยากให้ลูกสาวเสียชื่อสียง อย่าแจ้งความ แล้วลูกจะกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย
“แล้วท่านตอบมาหรือยัง”
“ยัง” เขาโกหกออกไป ทั้งๆ ที่บิดาของเนตริยาถามกลับมาแล้วว่าเป็นการจับตัวเรียกค่าไถ่หรือไม่ และต้องการเงินเท่าไหร่ แต่เขายังไม่ได้ตอบกลับไป เพราะเวลาที่เขาจะตอบ เขาต้องขับรถออกไปหาสถานที่ไกลๆ เพื่อตำรวจจะไม่สามารถสืบหาพิกัดของเขาได้ อีกทั้งพื้นที่ป่าที่เขาอยู่เป็นจุดอับสัญญาณ ที่ถึงแม้จะเป็นผลดีว่าไม่มีใครตามหาเขาเจอก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องการติดต่อกับภายนอกโดยเฉพาะกับหน่วยเหนือ เขาต้องเข้าไปในเมือง ซึ่งข้อจำกัดของปกป้องนั้นวิษณุเข้าใจดีและพอใจที่มันจะเป็นเช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยของสายข่าวของเขานั่นเอง
“ฉันไม่เชื่อ คุณพ่อฉันต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะตอบกลับมา” เนตริยาดึงเขากลับมาจากภวังค์ความคิด
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผมจะเจรจากับทางฝ่ายคุณอย่างไร แค่อยู่เฉยๆ ทำตามที่ผมบอกแล้วคุณจะปลอดภัย ได้กลับบ้านแน่นอน”
“แต่...คุณพ่อ คุณแม่...” เนตริยารู้สึกคล้ายลำคอตีบตันเมื่อนึกถึงผู้บังเกิดเกล้าว่าจะทุกข์ใจเพียงใด แต่หล่อนจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้ หญิงสาวพยายามกล้ำกลืนน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
“ผมว่าตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะนะ พรุ่งนี้ผมมีงานจะให้คุณทำ ส่วนผม มีงานที่ต้องทำเหมือนกัน” ปกป้องรีบตัดบท เขาไม่อยากเห็นน้ำตาผู้หญิง
ถูกไล่เช่นนี้ เนตริยาจำต้องลุกเดินออกไปจากห้องทำงานของเขา ได้ยินเสียงแสวงกับนาดีร์คุยกันอยู่ข้างล่าง หญิงสาวยืนเคว้งคว้างอยู่กลางบ้าน ถามตัวเองว่าหล่อนจะทำอย่างไร ผู้ชายทั้งสามคนปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระอยู่ในบ้านนี้ ไม่มีการคุมขังกักบริเวณหรือล่ามโซ่แต่อย่างใด พวกเขาคงแน่ใจแล้วกระมังว่า หล่อนน่าจะเข็ดขยาดการหลบหนีไปแล้ว เพราะถึงแม้หล่อนจะสามารถขโมยรถขับไปได้ แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะเส้นทางมหาโหดนั่นเอง แถมน้ำป่าที่ถาโถมเข้ามาหาเธอในตอนนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจนเนตริยาหวาดผวาทุกครั้งที่นึกย้อนไปถึง อีกทั้งความรู้สึกร้าวระบมลึกๆ ตามตัวนั่นอีก มันทำให้หล่อนทดท้อ
หญิงสาวเดินกลับไปที่ห้องอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ บอกตัวเองว่าแม้วันนี้จะดูเหมือนอับจนหนทาง แต่มันต้องมีวันหน้า วันที่หล่อนจะสบโอกาสหนีรอดพ้นไปจากที่นี่
ปกป้องนั่งทำงานเงียบๆ ในห้อง จัดตารางงานว่าวันพรุ่งนี้เขาจะต้องไปเยี่ยมชาวบ้านคนไหน ซึ่งป่วยเป็นอะไร และต้องเตรียมยาหรืออุปกรณ์ใดบ้าง ซึ่งเขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เนตริยาจะต้องออกไปลงพื้นที่กับเขา ไปเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือเขาอย่างที่เขาเคยช่วยพ่อ แล้วหล่อนจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ชนิดที่คนทำงานนั่งโต๊ะอย่างหล่อนไม่เคยสัมผัส เขาจะให้หล่อนคีย์ข้อมูลเพื่อบันทึกประวัติอาการผู้ป่วย เพราะตอนนี้เขาได้นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาช่วยบันทึกข้อมูล ซึ่งทำให้เขาทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าช่วงแรกที่เขายังต้องพึ่งเอกสารและแฟ้มคนไข้
แต่กระนั้น การทำงานด้านการรักษาคนเดียวปราศจากคำแนะนำของพ่อที่เคยพร่ำสอน ทำให้เขานึกถึงวันเก่าๆ ที่สองพ่อลูกนั่งทำงานด้วยกัน
ภาพถ่ายของนายแพทย์ปริญญ์แขวนติดอยู่ที่ผนังเหนือตู้เอกสาร ทุกครั้งที่เขาเข้ามาในห้องทำงาน ปกป้องจะชำเลืองมองไปที่ภาพบิดาก่อนที่จะเริ่มงานเสมอ ภาพของนายแพทย์ปริญญ์เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้ปกป้องตั้งใจมุมานะทำงานแม้จะเหนื่อยยากลำบากเพียงใด เพราะเขาคิดว่าเขาไม่ได้ทำงานรับใช้ประเทศชาติและสังคมเพียงอย่างเดียว แต่เขายังทำงานเพื่อให้สานต่ออุดมการณ์ของพ่ออีกด้วย
เขานึกย้อนไป ในตอนนั้นที่เขาคอยเฝ้าดูแลพ่อของเขาจนกระทั่งวาระสุดท้าย เขารับปากกับนายแพทย์ปริญญ์ว่าจะสานต่องานที่พ่อเขาสร้างไว้อย่างดีที่สุด
‘ได้ยินลูกสัญญาอย่างนี้ พ่อก็นอนตายตาหลับ’
‘อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ พ่อจะต้องหาย’ ปกป้องพยายามให้กำลังใจบิดา แม้เขาจะรู้ว่าเวลาแห่งการจากพรากใกล้เข้ามาทุกที
‘ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนั่น พ่อให้ลูกดูบัญชีทุกบัญชีแล้ว ลูกก็รู้ว่าสถานะทางการเงินของเราไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายสอน พี่ชายของแสวงเขาจะนำรายได้จากสวนยางของเราเข้าบัญชีให้ทุกเดือน’ ปริญญ์พูดไปหยุดหอบหายใจไป ‘หรือถ้ากลัวว่าเงินจะไม่พอจริงๆ พ่อยังมีที่ดินที่กรุงเทพฯ อีกหลายแปลง ถามแม่เขา’ พร้อมกับพยักเพยิดไปที่พรพรรณซึ่งยืนน้ำตาคลอเฝ้าอยู่ปลายเตียง ‘แม่เขาเก็บโฉนดไว้ เอาที่ดินไปขายซะแล้วเอาเงินมาทำงาน’
‘ครับพ่อ’ เขารับปากพร้อมน้ำตารินร่วง แม้จนวาระสุดท้าย พ่อก็ยังห่วงชาวบ้านพวกนั้น ปกป้องเกือบจะหลุดปากออก ไปแล้วว่า ตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้ตกงานอย่างที่พ่อเข้าใจ แต่เขารับราชการทหารมีรายได้พอสมควรและยังเงินเบี้ยกันดารที่เขาต้องมาฝังตัวอยู่ในพื้นที่ เป็นจำนวนเงินที่จะไม่ทำให้เขาขัดสนแต่อย่างใด
งานศพของนายแพทย์ปริญญ์ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ปรากฏว่าผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมาร่วมงานเพื่อแสดงความอาลัยและระลึกถึงคุณงามความดีของนายแพทย์ปริญญ์ และในงานปกป้องได้พบผู้ใหญ่หลายคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและที่เคยเคารพนับถือกันมากับพ่อของเขา คนเหล่านั้นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะสนับสนุนเขาให้สืบทอดงานของพ่อต่อไป มันทำให้ปกป้องเกิดกำลังใจอย่างมาก โดยเฉพาะเพื่อนพ่อที่เป็นหมอและรู้ว่าเขาไม่ได้เรียนจบแพทย์มา แต่คนเหล่านี้ก็ไม่คิดจะกีดกันเขาไปจากงานที่เสียสละอย่างมากเช่นนี้ มีแต่แนะนำว่า หากเกินกำลังที่เขาจะดูแลไหว ก็ให้ส่งต่อคนไข้เข้ามาในเมือง ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลสตูลยินดีช่วยเหลือเต็มที่
เวลาผ่านมาปีกว่าแล้ว ปกป้องทำหน้าที่ตามที่สัญญาไว้กับพ่อเรื่อยมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ ซึ่งเขาต้องขอบคุณพ่อที่พาเขาไปรู้จักคนไข้ทุกคนในทุกหมู่บ้าน ไปทำความรู้จักกับผู้นำท้องถิ่น รวมถึงกลุ่มบุคคลพวกหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า คนเหล่านี้มักมีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้อะไรสักอย่าง กับไข้ป่าและมาเลเรียที่ดูเหมือนจะมีพ่อเขาคนเดียวที่คนเหล่านี้ยอมให้ทำการรักษา ปกป้องเคยตามพ่อเขาเข้าไปสองครั้ง และได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ต่างจากซ่องโจร มันทำให้เขามั่นใจว่าต้องเป็นขบวนการผิดกฎหมายอะไรสักอย่างซึ่งเขาจะต้องจับตามองความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ เพราะนี่คือเป้าหมายสำหรับงานข่าวของเขา
และตอนนี้ทุกคนยอมรับ ‘หมอใหม่’ อย่างเขาแล้ว ไม่มีใครสงสัยว่าเขาคือสายลับที่ทำหน้าที่หมอบังหน้า !
เมื่อไม่มีพ่อแล้ว ปกป้องสามารถทำงานด้านการข่าวได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น เขาไม่ต้องหาข้ออ้างที่จะเข้าเมืองเพื่อติดต่อกับหน่วยเหนือ ไม่ต้องอ้างว่าจะไปนั่งเล่นที่สภากาแฟในตลาดเพราะอยากเข้าไปสังคมกับคนในพื้นที่ ทั้งๆ ที่เขาไปเตร่ที่นั่นเพื่อหาข่าว สมัยนั้นพ่อคิดไปว่าเขาทนเงียบเหงาอยู่ที่บ้านไม่ได้ จึงต้องหาเรื่องเข้าเมืองหรือออกไปตลาดไปพบผู้คนบ่อยๆ อีกทั้งแปะกวงที่ร้านขายของชำในตลาดมีหลานสาวกำลังวัยรุ่นหน้าตาดีด้วยแล้ว พ่อยิ่งคิดว่านั่นคือแม่เหล็กที่ทำให้เขาอยากไปตลาด
แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ขณะนี้ การลักพาตัวนายทหารอย่างเนตริยามาที่นี่ ปกป้องคิดว่าหากพ่อของเขายังอยู่ ท่านต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน และวิษณุก็คงจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ปกป้องมั่นใจในสิ่งที่เขาตัดสินใจทำไปแล้ว อย่างไรเสีย เขาจะต้องทำให้สำเร็จ แม้ว่าจุดจบของมันจะทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่ในคุกทหารก็ตาม
เขาและวิษณุได้ติดต่อกันบ่อยขึ้น ทุกครั้งมักเป็นการไต่ถามถึงการอยู่ในพื้นที่ของปกป้องว่าเป็นอย่างไรบ้าง
‘ครูขอโทษด้วยนะที่ไม่สามารถไปร่วมงานศพของคุณพ่อเธอได้’
‘ไม่เป็นไรครับครู ผมเข้าใจ งานของเราไม่เหมาะที่จะเจอหน้ากันในที่ที่คนไปรวมตัวกันเยอะ’
‘ครูอยากจะบอกว่าเสียใจด้วยที่เธอต้องสูญเสียคุณพ่อไป ทั้งๆ ที่ท่านก็อายุยังไม่มาก คนดีอย่างนายแพทย์ปริญญ์หาไม่ได้ง่ายๆ’
‘ครับ พอผมได้มาอยู่กับพ่อ ถึงได้เข้าใจว่าท่านเสียสละมากแค่ไหน และชาวบ้านก็รักท่านมากเหลือเกิน จนผมเองก็พลอยได้รับอานิสงส์ข้อนี้ไปด้วย ตอนนี้ผมเริ่มได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่มากขึ้นแล้วครับ ’
‘ดีมาก ตอนนี้งานของเธอคือทำให้คนในพื้นที่ไว้ใจ ยังไม่ต้องรีบหาข่าวอะไรทั้งนั้น แค่จับตามองว่าใครเป็นใครในพื้นที่ไปก่อน ยิ่งคุณพ่อไม่อยู่แล้วแบบนี้ ครูยังไม่มั่นใจว่าคนในพื้นที่เขาไว้ใจเธอมากน้อยแค่ไหน ยังไม่อยากให้มีพิรุธ แล้วเรื่องการออกตรวจสุขภาพชาวบ้านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง’
‘เรื่องนั้นผมรับผิดชอบงานแทนพ่อได้หมดแล้วครับ ชาวบ้านต่างให้ความไว้วางใจผมไม่ต่างจากพ่อ แม้พวกมีอิทธิพลที่เคยให้ความเคารพนับถือพ่อ พวกนั้นก็ยังเชื่อใจผม’
ปกป้องเล่าให้วิษณุฟังถึงตอนที่นายแพทย์ปริญญ์พาเขาเข้าไปบนเขาในป่าลึกซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนอะไรสักอย่างที่เขาเชื่อมั่นว่ามันคือขบวนการผิดกฎหมายแน่นอน พ่อเขาแนะนำว่าเป็นลูกชายที่จะมาช่วยแบ่งเบางานของเขา ครั้งนั้นปกป้องยังจำได้ดีว่าเขาถูกมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แต่เป็นเพราะหนี้บุญคุณที่พ่อของเขาเข้ามาช่วยเหลือคนเหล่านี้เวลาที่เจ็บป่วยหรือเวลาที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบอะไรสักอย่าง มันทำให้เขามั่นใจว่าคนเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งหมออย่างพ่อและตัวเขา
‘ดีมาก คอยจับตาดูพวกนี้ให้ดีนะ และระวังตัวด้วย ครูไม่อยากให้เธอพลาด’
‘ขอบคุณครับครู เดี๋ยวช่วงเดือนหน้าผมจะกลับไปเยี่ยมคุณแม่ที่กรุงเทพฯ ผมจะติดต่อไปหาครูอีกทีนะครับ’
ในช่วงนั้น ปกป้องสามารถเป็นตัวแทนของพ่อของเขาได้อย่างสมบูรณ์ แสวงและนาดีร์ยังคงคอยช่วยเหลือที่บ้านหลังนั้นเช่นเดิม กิจวัตรในการออกหน่วยที่นายแพทย์ปริญญ์เคยทำอย่างไร ปกป้องก็ทำอย่างนั้น
แล้วก็ถึงช่วงที่ปกป้องจะกลับไปเยี่ยมมารดา หลังจากที่เสร็จธุระกับทางบ้าน ปกป้องหาเวลานัดเจอกับวิษณุเพื่อที่จะพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เขาพบเห็น
วิษณุนัดเจอกับปกป้องในร้านอาหารที่วิษณุเป็นคนกำหนด เขาจะเปลี่ยนสถานที่นัดพบไปเรื่อยๆ