วันที่ฟ้เปิด บทที่ 5-6

กระทู้คำถาม
วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์  และ  Q


5

       นายแพทย์ปริญญ์ อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสตูล ได้ลาออกจากราชการเพื่ออุทิศตนให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล 

       จากการที่เขาเคยไปออกหน่วยร่วมกับหน่วยแพทย์อาสาของสมเด็จศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ทำให้เขามองเห็นว่ายังมีคนยากไร้ห่างไกลอีกมากที่บริการทางการแพทย์เข้าไปไม่ถึง เขาจึงอยากที่จะทำงานด้านการรักษาคนป่วยมากกว่าจะทำงานบริหารในตำแหน่งรองผู้อำนวยการ
โรงพยาบาล

       ในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดนี้ยังมีคนป่วยนับร้อยคนที่รอรับการรักษา เขาเอาตัวเองเข้าไปหาชาวบ้านเหล่านี้เพราะคิดว่ามันคงจะง่ายกว่าที่จะให้ชาวบ้านที่เจ็บป่วยเดินทางออกจากป่ามาหาเขา

      แน่นอนว่าเมื่อใครก็ตามที่อุทิศชีวิตให้กับสิ่งหนึ่ง หลายๆสิ่งที่อยู่ข้างหลังของคนคนนั้นย่อมไม่ได้รับการเหลียวแล 

      นายแพทย์ปริญญ์ไม่สามารถทอดทิ้งชาวบ้านได้ เขาไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บหรือป่วยไข้ของคนให้หายดี แต่เขายังกลับมาเฝ้าสังเกตอาการจนกว่าจะแน่ใจว่าผู้ป่วยของเขาหายเป็นปกติแล้ว ทำให้เขาต้องวนเวียนเข้าออกหลายหมู่บ้านที่ห่างไกลในจังหวัดสตูล 

      และเพราะเหตุนี้เอง นายแพทย์ปริญญ์จึงไม่มีเวลาให้ลูกและภรรยาของเขาเท่าที่ควร เท่าที่สามีคนหนึ่งควรจะมีเวลาดูแลและอยู่เป็นคู่ชีวิต
และเท่าที่พ่อคนหนึ่งควรจะมีเวลาอบรมสั่งสอนลูกให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ

     แม้นายแพทย์ปริญญ์จะไม่มีเวลาที่จะอบรมสั่งสอนลูกชายของเขามากนัก แต่เขาก็วางใจในตัวภรรยาว่าเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่งและเข้มแข็ง ผู้ที่จะสามารถอบรมดูแลให้ปกป้องเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เขาจัดเตรียมไว้ให้อย่างสมบูรณ์พูนสุข โดยลืมนึกไปว่า นั่นคือวัตถุ 

      ปกป้องโหยหาการเติมเต็มด้านจิตใจ โหยหาพ่อที่จะอยู่เคียงข้างให้เขาได้อบอุ่นใจ

      ไม่ต่างจากพ่อทุกคน นายแพทย์ปริญญ์ตั้งความหวังที่จะให้ลูกชายดำเนินรอยตามอุดมการณ์ของเขา นั่นคือเป็นหมอออกช่วยเหลือชาวบ้านที่
ห่างไกลจากสถานพยาบาล บางทีแล้วนายแพทย์ปริญญ์อาจจะค้นพบว่าการช่วยเหลือชาวบ้านที่หมดหวังกับชีวิตให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง
นั่นคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ชีวิตของเขามีคุณค่าและมีความหมาย

     ปกป้องเติบโตมาอย่างใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่มากกว่าพ่อ ทำให้เขามีนิสัยที่อ่อนโยนเพราะต้องคอยดูแลแม่แทนพ่อ เขาไม่ค่อยได้พบหรือมีโอกาส
พูดคุยกับพ่อมากนัก ดังนั้นปกป้องจึงเติบโตขึ้นมาโดยขาดพ่อที่คอยเฝ้าอุ้มชูเลี้ยงดู เหมือนครั้งหนึ่งในสมัยที่ปกป้องยังเด็ก เขาเฝ้าถามหาพ่อ
จากแม่ของเขาหลายครั้ง

     ‘แม่ครับ ทำไมพ่อไปทำงานนานจัง’

     ‘พ่อของลูกออกไปรักษาคนไข้ที่ต่างจังหวัดจ้ะ มีคนป่วยมากมายที่เฝ้ารอคอยการมาถึงของหมอ’

     ‘ทำไมพ่อต้องไปทำงานไกลๆ ด้วยล่ะครับ ที่นั่นไม่มีใครมาทำแทนเหรอครับ’

      ในตอนนั้นแม่ของปกป้องไม่ได้ตอบอะไร เธอได้แต่ยิ้มพร้อมลูบหัวปกป้องเบาๆ อย่างเอ็นดู และแน่นอนว่าในตอนนั้นเองปกป้องก็ยังไม่เข้าใจ
ถึงความเสียสละของผู้เป็นพ่อ เขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคำว่าเสียสละ เด็กน้อยรู้แต่เพียงว่าเพื่อนของเขาทุกคนมีพ่อมาคอยรับ-ส่งที่โรงเรียน
มีพ่อมาพาไปเที่ยวสวนสนุก แต่พ่อของเขาไม่อยู่   

     พ่อ คือสิ่งที่ปกป้องเฝ้ารอเรียกหามาตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงชีวิตวัยรุ่น

     แม้ปกป้องจะถูกเลี้ยงดูอย่างดีจากแม่ แต่เพื่อนเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อเขามากขึ้น เพื่อนที่เป็นหัวโจก เป็นไอดอลสำหรับเขาแทนที่พ่อ ดึงรั้งให้
ปกป้องสนใจการเรียนน้อยลง ทำให้ผลการเรียนไม่เป็นที่พึงพอใจนัก แต่ทว่านายแพทย์ปริญญ์ก็ไม่มีเวลาจะมาจัดการกับปัญหาเหล่านี้ ทำได้แต่เพียงโทรศัพท์พูดคุยกับลูกชายเกี่ยวกับเรื่องนี้ และแน่นอนว่าปกป้องนั้นยากที่จะเชื่อฟังพ่อที่อยู่ห่างไกล เหมือนกับว่า...ยิ่งพูดก็เหมือนกับยิ่งออกห่าง

     เมื่อมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ปกป้องเริ่มจะคบหาเพื่อนที่เป็นนักเลง เขาคิดเพียงแค่ว่าขอให้ตัวเองนั้นได้รับการยอมรับนับถือจากเพื่อน
ในกลุ่มก็พอ มีหลายครั้งที่ปกป้องไปมีเรื่องชกต่อยจนเลือดตกยางออกกลับมาบ้าน บางครั้งแม่ก็อยากจะอบรมสั่งสอนลูกของเธอ แต่ก็คงจะไม่สั่งสอน
ได้เด็ดขาดอะไรมากนัก เธอคิดเพียงว่าคงรอให้ปกป้องคิดเอง สำนึกได้เองดีกว่า

     ปกป้องย้ายโรงเรียนหลายครั้งเพราะเหตุทะเลาะวิวาท แต่เขาก็ยังจบการศึกษาได้ในระดับมัธยมต้น พ่อของเขาอยากให้เขาเรียนในสายวิทย์ในชั้นมัธยมปลาย ปกป้องอยากจะต่อต้านที่สิ่งที่พ่อของเขาคาดหวัง จึงเลือกเรียนสายอาชีวะ ยิ่งมาเรียนสายนี้ ยิ่งทำให้ปกป้องมีเรื่องตีรันฟันแทงกับ
นักเรียนโรงเรียนคู่อริมากยิ่งขึ้น

      กระนั้นเขาก็ยังสามารถจบการศึกษาในระดับชั้นปวช.และปวส. ได้ในที่สุด แม้ปกป้องจะเรียนจบ แต่ชีวิตของเขายังล่องลอยไร้จุดหมาย เขาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไม่ต่างจากคนที่ไม่มีอนาคต ไม่หางานทำได้แต่คบเพื่อนเที่ยวไปวันๆ 

     แม่ของปกป้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้สามีฟัง ผู้เป็นพ่อจึงจำต้องละทิ้งงานเพื่อขึ้นมาแก้ปัญหาลูกชายแต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินแก้ 

      ครั้งหลังสุดที่กลุ่มเพื่อนของปกป้องไปก่อเรื่อง ชายหนุ่มโชคดีที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพื่อนสนิทของเขาถูกตำรวจจับ ส่วนเพื่อนคนอื่นที่หนีรอดก็ต้องไปหาที่กบดานสักพักกว่าเรื่องจะเงียบ ดูเหมือนเพื่อนกระจัดกระจายหายหัวกันไปหมด มันทำให้เขาเคว้งคว้างแล้วเริ่มเบื่อกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้  

      ในช่วงเวลานั้นถึงคราวที่ปกป้องจะต้องเข้ารับการคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์พอดี ผู้เป็นแม่จึงคิดจะใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงลูกชาย 

      วันหนึ่งปกป้องเดินเข้ามาในบ้านและเห็นแม่นั่งรออยู่แล้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนผู้เป็นลูกต้องถามขึ้น

      “มีอะไรหรือครับแม่ ทำไมวันนี้แม่ดูแปลกไป”

      “แม่มีเรื่องหนึ่งอยากจะพูดกับลูกสักหน่อย”

      “มีอะไรเหรอครับ”

     “มีจดหมายถึงลูกให้ไปเกณฑ์ทหาร”

     “เกณฑ์ทหาร ! ผมไม่อยากเป็นทหาร เรามีเงินไม่ใช่หรือฮะ เอาเงินยัดสัก 4-5 หมื่นก็ไม่ต้องเป็น”

     “เงินน่ะมี แต่เราก็ต้องมีคนรู้จัก จู่ๆ เราจะเที่ยวเอาเงินไปให้ เดี๋ยวได้โดนข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่ล่ะติดคุกเชียวนะ” พรพรรณให้เหตุผลอย่างใจเย็น 

     ปกป้องฮึดฮัดขัดใจ เขาเพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้  

     “แล้วเพื่อนแม่เพื่อนพ่อ ไม่มีใครเป็นข้าราชการหรือรู้จักคนในวงราชการ ที่เขาจะช่วยเราบ้างเลยหรือ” เขาถามอย่างพาลๆ  

     ท่าทางนิ่งซึมของมารดา คือคำตอบ 

     “ถ้างั้นผมจะหนี หนีไปให้ไกลๆ เลย” 

      “หนี ! หนีทหารน่ะหรือ อย่านะลูก มีชีวิตหลบซ่อนแบบนั้นยิ่งจะลำบาก และที่สำคัญ แม่จะอยู่กับใคร ไม่สงสารแม่บ้างหรือ” เสียงตอนท้ายที่แผ่วเครือลง ทำให้ผู้เป็นลูกชะงัก หัวใจวูบลง อย่างไรเสียเขาก็รักแม่เป็นที่สุด 

      ปกป้องรีบเดินเข้ามาโอบกอดมารดาไว้ 

      “แม่จะให้ผมทำอย่างไร ผมไม่อยากเป็นทหาร ถ้าผมถูกเกณฑ์ แม่ก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนกัน” เขาเสียงอ่อนลง 

      “แค่ปีเดียวเท่านั้น และเขาก็มีวันหยุดให้ลูกกลับมาเยี่ยมบ้านไม่ใช่หรือ ยังดีกว่าจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอีกกี่ปี กว่าคดีจะหมดอายุความ
จะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้ เสียอนาคตไปเลยนะลูก” 

      พอเห็นลูกชายเงียบ พรพรรณจึงพยายามให้กำลังใจว่า 

      “เอาเถอะ แม่จะลองคุยถามคนรู้จักว่าจะมีใครช่วยเราได้บ้าง” 

       แต่จนแล้วจนรอด เมื่อถึงวันที่ปกป้องต้องไปรายงานตัว ณ สถานที่เกณฑ์ทหารที่จัดไว้ในเขตที่เขามีสำมะโนครัวอยู่ หนทางที่เขาจะใช้เงิน
ติดสินบนเพื่อไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารก็ยังมืดมน ปกป้องจึงทุ่มเทความหวังไว้กับการเสี่ยงดวงจับใบดำใบแดง และมั่นใจว่าเขาน่าจะโชคดีได้ใบดำ
มากกว่า เพราะเพื่อนๆ หลายคนจับได้ใบดำ และเคยกระซิบบอกเขาว่า ใบดำมีเยอะเพราะปีนี้งบประมาณทหารมีน้อย เขาไม่ได้ต้องการกำลังพล
มากเท่าไหร่ 

      แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเขา ปกป้องจับได้ใบแดง ในตอนนั้นเขารู้สึกชาไปทั้งร่าง พยายามปฏิเสธตัวเองว่าไม่จริง เขาหันไปมองหน้าแม่ที่มาคอยให้
กำลังใจอยู่หลังราวเหล็กกั้น เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับความผิดหวัง แต่แม่พยายามยิ้มให้กำลังใจเขาพร้อมทั้งยกมือที่กำแน่นชูขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ
บอกให้เขาสู้ต่อไป

      คงไม่มีหนทางใดอีกแล้วสำหรับเขาที่จะหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ทหาร ปกป้องจำต้องยอมรับในชะตากรรมครั้งนี้ และการเข้าไปในรั้วทหาร 
เขาได้เจอกับบุคคลหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล
 

       รถบัสพาปกป้องเคลื่อนเข้ามาที่มณฑลทหารบกที่ 16 ค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี เมื่อลงจากรถ สิ่งแรกคือมีการแนะนำตัวเองของทหารใหม่
โดยครูฝึกและทหารรุ่นก่อนหน้า แต่ละคนต้องแนะนำตัวเองให้ผู้อื่นรู้จักและยังต้องทำความรู้จักกับตัวเองด้วยโดยการบอกว่ามาที่นี่เพราะเหตุใด
เขามาที่นี่ด้วยเหตุใด 

      ปกป้องถามตัวเอง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย การที่เขาจับได้ใบแดง ทำให้เขาต้องยอมตกกะไดพลอยโจนถูกเกณฑ์มาเป็นทหารเช่นนี้ มันทำให้เขาเริ่มทำใจ อย่างน้อยก็เพียงแค่ปีเดียว ยังดีกว่าการหนีทหารที่เขาจะต้องหนีไปอีกนานเท่าไหร่ และหากถูกจับได้ต้องติดคุกยิ่งจะเลวร้ายไปกันใหญ่  

      นึกถึงคำปลอบโยนของแม่ ว่าอย่างน้อยการเป็นทหารก็ช่วยทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ และอาจจะนำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ตอนนี้เองที่ปกป้อง
เริ่มคิดแล้วว่าแม่อยากจะให้เขาเปลี่ยนความคิดในการใช้ชีวิต เปลี่ยนจากคนที่ล่องลอยไร้จุดหมายให้เป็นคนที่มีจุดยืนทางความคิด

     “นายปกป้อง ทำไมถึงเข้ามาที่นี่”

     “ผมอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตครับ ผมอยากค้นหาความหมายของชีวิต และเหตุผลที่สำคัญที่ผมมาที่นี่เพราะ ผมทำเพื่อแม่”

      ในคืนแรก ทหารเกณฑ์ทุกคนเข้าเรือนนอนเมื่อถึงเวลาสามทุ่ม คืนนั้นปกป้องได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ มาจากเตียงข้างๆ เขาเฝ้าคิดว่าความรู้สึก
ของเจ้าของเสียงนั้นมันคืออะไรกันแน่ 

      บางคนอาจจะเข้ามาที่นี่โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ อาจจะคิดถึงความสนุกสนานในชีวิตข้างนอกที่ต่อจากนี้เขาจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นไปอีกนาน บางคนอาจคิดถึงลูกหรือภรรยาเมื่อต้องอยู่ห่างกัน แต่ปกป้องไม่มีความรู้สึกห่วงหาอาทรสิ่งเหล่านั้นเลย ถึงปกป้องจะไม่เต็มใจเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์แต่เขาก็ต้องทำใจยอมรับกับมันให้ได้

     ใน 3 เดือนแรก การฝึกของทหารใหม่นั้นเข้มข้น และหลังจากนั้นค่ายทหารจะปล่อยให้พลทหารกลับบ้าน และเมื่อปกป้องกลับมาถึงบ้าน แม่ของเขา
โผกอดเขาไว้ ดวงตาทั้งคู่คลอคลองไปด้วยน้ำตา ทำให้ปกป้องเริ่มรู้สึกซาบซึ้งถึงความรักและความห่วงใยจากบุพการี ความหวังดีของผู้เป็นพ่อและแม่นั้นย่อมอยากให้ลูกได้ดี เสี้ยวความคิดของปกป้องในตอนนั้นนึกถึงพ่อของเขาขึ้นมาทันที เขานึกถึงตอนที่พ่อของเขาอยากให้เขาเป็นหมอ เพื่อทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม แต่ตอนนี้ เขายังนึกภาพไม่ออกเลยว่าเขาจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไรในเมื่อตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด

      “ผมกลับมาหาแม่ในช่วงพักการฝึก อยู่ในนั้นผมคิดถึงแม่”

      “แม่ก็คิดถึงลูกจ้ะ แต่รู้ว่าอยู่ในนั้นเขาจะฝึกให้ลูกเข้มแข็งและเป็นคนดี มันทำให้แม่ไม่ห่วงอะไร ลูกต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะ แล้วจะต้องกลับไปฝึก
อีกนานเท่าไหร่ล่ะ”

     “อีก 9 เดือนครับ”

     “แล้วอยู่ในนั้นลูกได้อะไรจากการฝึกบ้างล่ะ”

     “สิ่งที่ผมเรียนรู้คือความรับผิดชอบ คนทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม คนรอบข้างและตัวเอง”

      “ดีมากลูก แม่ไม่เคยคาดหวังหรอกนะว่าลูกจะต้องมีงานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ แม่ขอแค่ให้ลูกรู้จักการรับผิดชอบ เพราะเมื่อไหร่ที่คนเรามีความรับผิดชอบ เขาจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง”

      และเมื่อวันหยุดหมดลง ปกป้องเดินทางกลับไปยังค่ายทหารอีกครั้ง การฝึกอีก 9 เดือนนับจากนี้จะเน้นเรื่องทฤษฎีและการปฏิบัติตามหน้าที่ของแต่ละหน่วย ปกป้องได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ในการรบ และครูฝึกหลักสูตรนี้ก็คือ วิษณุ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่