วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 3

กระทู้สนทนา

บทที่ 3

         นายแพทย์ปริญญ์ อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสตูล ได้ลาออกจากราชการเพื่ออุทิศตนให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล จากการที่เขาเคยไปร่วมกับทีมแพทย์อาสาของสมเด็จย่า ทำให้เขามองเห็นว่า ยังมีคนยากไร้ห่างไกลอีกมากที่บริการทางการแพทย์เข้าไปไม่ถึง เขาจึงอยากที่จะทำงานด้านการรักษาคนป่วยมากกว่าจะทำงานบริหารในตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดนี้ยังมีคนป่วยนับร้อยคนที่รอรับการรักษา เขาเอาตัวเองเข้าไปหาชาวบ้านเหล่านี้เพราะคิดว่ามันคงจะง่ายกว่าที่จะให้ชาวบ้านที่ป่วยเดินทางออกจากป่ามาหาเขา

         แน่นอนว่าเมื่อใครก็ตามที่อุทิศชีวิตให้กับสิ่งหนึ่ง หลายๆสิ่งที่อยู่ข้างหลังของคนคนนั้นย่อมไม่ได้รับการเหลียวแล นายแพทย์ปริญญ์ไม่สามารถทอดทิ้งชาวบ้านได้ เขาไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บหรืออาการเจ็บป่วยของคนให้หายดี แต่เขายังกลับมาเฝ้าวนเวียนสังเกตอาการจนกว่าจะแน่ใจว่าผู้ป่วยของเขาหายเป็นปกติแล้ว ทำให้เขาต้องวนเวียนเข้าออกหลายหมู่บ้านที่ห่างไกลในจังหวัดสตูล และเพราะเหตุนี้เอง นายแพทย์ปริญญ์จึงไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกและภรรยาของเขาเท่าที่ควร เท่าที่สามีคนหนึ่งควรจะมีเวลาดูแลภรรยาและอยู่เป็นคู่ชีวิต เท่าที่พ่อคนหนึ่งควรจะมีเวลาอบรมสั่งสอนลูกให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ

         แม้นายแพทย์ปริญญ์จะไม่มีเวลาที่จะอบรมสั่งสอนลูกชายของเขามากนัก แต่เขาก็วางใจในตัวภรรยาว่าเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่งและเข้มแข็ง ผู้ที่จะสามารถอบรมดูแลให้ปกป้องเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เขาจัดเตรียมไว้ให้อย่างสมบูรณ์พูนสุข โดยลืมนึกไปว่า นั่นคือวัตถุ  ปกป้องโหยหาการเติมเต็มด้านจิตใจ โหยหาพ่อที่จะอยู่เคียงข้างให้เขาได้อบอุ่นใจ

         ไม่ต่างจากพ่อทุกคน นายแพทย์ปริญญ์ตั้งความหวังที่จะให้ลูกชายดำเนินรอยตามอุดมการณ์ของเขา นั่นคือเป็นหมอออกช่วยเหลือชาวบ้านที่ห่างไกลจากสถานพยาบาล บางทีแล้วนายแพทย์ปริญญ์อาจจะค้นพบว่าการเดินทางออกช่วยเหลือชาวบ้านที่อาจจะหมดหวังกับชีวิตให้กลับมามีความหวัง นั่นคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ชีวิตของนายแพทย์ปริญญ์มีคุณค่าและมีความหมาย

        ปกป้องเติบโตมาใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่มากกว่าพ่อ ทำให้ตัวของเขาเองมีนิสัยที่อ่อนโยนและค่อนข้างจะอ่อนไหว เขาไม่ค่อยได้พบหรือมีโอกาสพูดคุยกับพ่อมากนัก ดังนั้นปกป้องจึงเติบโตขึ้นมาโดยขาดพ่อที่คอยเฝ้าอุ้มชูเลี้ยงดู เหมือนครั้งหนึ่งในสมัยที่ปกป้องยังเด็ก เขาเฝ้าถามหาพ่อจากแม่ของเขาหลายครั้ง

        ‘แม่ครับ ทำไมพ่อไปทำงานนานจัง’

        ‘พ่อของลูกออกไปรักษาคนไข้ที่ต่างจังหวัดจ้ะ มีคนป่วยมากมายที่เฝ้ารอคอยการมาถึงของหมอ’

        ‘ทำไมพ่อต้องไปทำงานไกลจัง ที่นั่นไม่มีใครมาทำแทนเหรอครับ’

        ในตอนนั้นแม่ของปกป้องไม่ได้ตอบอะไร เธอได้แต่ยิ้มพร้อมลูบหัวปกป้องเบาๆ อย่างเอ็นดู และแน่นอนว่าในตอนนั้นเองปกป้องก็ยังไม่เข้าใจถึงความเสียสละของผู้เป็นพ่อ เขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคำว่าเสียสละ เด็กน้อยรู้แต่เพียงว่าเพื่อนของเขาทุกคนมีพ่อมาคอยรับ-ส่งที่โรงเรียน มีพ่อมาพาไปเที่ยวสวนสนุก แต่พ่อของเขาไม่อยู่   

        พ่อ คือสิ่งที่ปกป้องเฝ้ารอเรียกหามาตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงชีวิตวัยรุ่น

        แม้ปกป้องจะถูกเลี้ยงดูอย่างดีจากแม่ แต่เพื่อนเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อเขามากขึ้น เพื่อนที่เป็นหัวโจก เป็นไอดอลสำหรับเขาแทนที่พ่อ ดึงรั้งให้ปกป้องสนใจการเรียนน้อยลง ทำให้ผลคะแนนจากโรงเรียนนั้นไม่เป็นที่พึงพอใจนักจากพ่อ แต่ทว่านายแพทย์ปริญญ์ก็ไม่มีเวลาจะมาจัดการกับปัญหาเหล่านี้ ทำได้แต่เพียงโทรศัพท์พูดคุยกับลูกชายเกี่ยวกับเรื่องนี้ และแน่นอนว่าปกป้องนั้นยากที่จะเชื่อฟังพ่อที่อยู่ห่างไกล เหมือนกับว่ายิ่งพูดก็เหมือนกับยิ่งออกห่าง

        เมื่อมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ปกป้องเริ่มจะคบหาเพื่อนที่เป็นนักเลง เขาคิดเพียงแค่ว่าขอให้ตัวเองนั้นได้รับการยอมรับนับถือจากเพื่อนในกลุ่มก็พอ มีหลายครั้งที่ปกป้องออกไปมีเรื่องชกต่อยจนเลือดตกยางออกกลับบ้าน บางครั้งแม่ก็อยากจะอบรมสั่งสอนลูกของเธอ แต่ก็คงจะไม่สั่งสอนได้เด็ดขาดอะไรมากนัก เธอคิดเพียงว่าคงรอให้ปกป้องคิดเอง สำนึกได้เองดีกว่า

        ปกป้องย้ายโรงเรียนหลายครั้งเพราะเหตุทะเลาะวิวาท แต่เขาก็ยังจบการศึกษาได้ในระดับมัธยมต้น พ่อของเขาอยากให้เขาเรียนในสายวิทย์ในชั้นมัธยมปลาย ปกป้องอยากจะต่อต้านที่สิ่งที่พ่อของเขาคาดหวัง จึงเลือกเรียนสายอาชีวะ ยิ่งมาเรียนสายอาชีวะ ยิ่งทำให้ปกป้องมีเรื่องตีรันฟันแทงกับนักเรียนโรงเรียนที่เป็นคู่อริมากยิ่งขึ้น

        กระนั้นเขาก็ยังสามารถจบการศึกษาในระดับชั้น ปวช.และปวส. ได้ในที่สุด แม้ปกป้องจะเรียนจบ แต่ชีวิตของเขายังล่องลอยไร้จุดหมาย เขาใช้ชีวิตสำมะเรเทเมาไม่ต่างจากคนที่ไม่มีอนาคต ไม่หางานทำได้แต่คบเพื่อนเที่ยวไปวันๆ แม่ของปกป้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้สามีฟัง ผู้เป็นพ่อจึงจำต้องละทิ้งงานเพื่อขึ้นมาแก้ปัญหาลูกชายแต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินแก้ ครั้งหลังสุดที่กลุ่มเพื่อนของปกป้องไปก่อเรื่อง ชายหนุ่มโชคดีที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพื่อนสนิทของเขาถูกตำรวจจับ ส่วนเพื่อนคนอื่นที่หนีรอดก็ต้องไปหาที่กบดานสักพักกว่าเรื่องจะเงียบ ดูเหมือนเพื่อนกระจัดกระจายหายหัวกันไปหมด มันทำให้เขาเคว้งคว้างแล้วเริ่มเบื่อกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้  ในช่วงเวลานั้นถึงเกณฑ์ที่ปกป้องจะต้องเข้ารับการคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์พอดี ผู้เป็นแม่จึงคิดจะใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงลูกชาย 

        วันหนึ่งปกป้องเดินเข้ามาในบ้านและเห็นแม่นั่งรออยู่แล้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนผู้เป็นลูกต้องถามขึ้น

       ‘มีอะไรหรือครับแม่ ทำไมวันนี้แม่ดูแปลกไป’

        ‘แม่มีเรื่องหนึ่งอยากจะพูดกับลูกสักหน่อย’

        ‘มีอะไรเหรอครับ’

        ‘มีจดหมายถึงลูกให้ไปเกณฑ์ทหาร ลูกจะเอายังไงดี’

       ‘เกณฑ์ทหาร! ผมไม่อยากเป็นทหาร เรามีเงินไม่ใช่หรือฮะ เอาเงินยัดสัก 4-5 หมื่นก็ไม่ต้องเป็น’ 

       ‘เงินน่ะมี แต่เราก็ต้องมีคนรู้จัก จู่ๆ เราจะเที่ยวเอาเงินไปให้ เดี๋ยวได้โดนข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่ล่ะติดคุกเชียวนะ’ พรพรรณให้เหตุผลอย่างใจเย็น 
ปกป้องฮึดฮัดขัดใจ เขาเพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้  

       ‘แล้วเพื่อนแม่เพื่อนพ่อ ไม่มีใครเป็นข้าราชการหรือรู้จักคนในวงราชการ ที่เขาจะช่วยเราบ้างเลยหรือ’ เขาถามอย่างพาลๆ  

       ท่าทางนิ่งซึมของมารดา คือคำตอบ 

       ‘ถ้างั้นผมจะหนี หนีไปให้ไกลๆ เลย’ 

        ‘หนี ! หนีทหารน่ะหรือ อย่านะลูก มีชีวิตหลบซ่อนแบบนั้นยิ่งจะลำบาก และที่สำคัญ แม่จะอยู่กับใคร ไม่สงสารแม่บ้างหรือ’ เสียงตอนท้ายที่แผ่วเครือลง ทำให้ผู้เป็นลูกชะงัก หัวใจวูบลง อย่างไรเสียเขาก็รักแม่เป็นที่สุด 

       ปกป้องรีบเดินเข้ามาโอบกอดมารดาไว้ 

       ‘แม่จะให้ผมทำอย่างไร ผมไม่อยากเป็นทหาร ถ้าผมถูกเกณฑ์ แม่ก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนกัน’ เขาเสียงอ่อนลง 

       ‘แค่ปีเดียวเท่านั้น และเขาก็มีวันหยุดให้เรากลับมาเยี่ยมบ้านไม่ใช่หรือ ยังดีกว่าจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอีกกี่ปี กว่าคดีจะหมดอายุความ จะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้ เสียอนาคตไปเลยนะลูก’ 

       พอเห็นลูกชายเงียบ พรพรรณจึงพยายามให้กำลังใจว่า 

       ‘เอาเถอะ แม่จะลองคุยถามคนรู้จักว่าจะมีใครช่วยเราได้บ้าง’ 

       แต่จนแล้วจนรอด เมื่อถึงวันที่ปกป้องต้องไปรายงานตัว ณ สถานที่เกณฑ์ทหารที่จัดไว้ในเขตที่เขามีสำมะโนครัวอยู่ หนทางที่เขาจะใช้เงินติดสินบนเพื่อไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารก็ยังมืดมน ปกป้องจึงทุ่มเทความหวังไว้กับการเสี่ยงดวงจับใบดำใบแดง และมั่นใจว่าเขาน่าจะโชคดีได้ใบดำมากกว่า เพราะเพื่อนๆ หลายคนจับได้ใบดำ และเคยกระซิบบอกเขาว่า ใบดำมีเยอะเพราะ ปีนี้งบประมาณทหารมีน้อย เขาไม่ได้ต้องการกำลังพลมากเท่าไหร่ 

        แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเขา ปกป้องจับได้ใบแดง ในตอนนั้นเขารู้สึกชาไปทั้งร่าง พยายามปฏิเสธตัวเองว่าไม่จริง เขาหันไปมองหน้าแม่ที่มาคอยให้กำลังใจอยู่หลังราวเหล็กกั้น เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับความผิดหวัง แต่แม่พยายามยิ้มให้กำลังใจเขาพร้อมทั้งยกมือที่กำแน่นชูขึ้นเพื่อส่งสัญญาณบอกให้เขาสู้ต่อไป

        คงไม่มีหนทางใดอีกแล้วสำหรับเขาที่จะหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ทหาร ปกป้องจำต้องยอมรับในชะตากรรมครั้งนี้ และการเข้าไปในรั้วทหารเขาได้เจอกับบุคคลๆหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล
 

         รถบัสพาปกป้องเคลื่อนเข้ามาที่กองพลทหารราบที่ 13 กองพันที่ 3 จังหวัดอุดรธานี เมื่อลงจากรถ สิ่งแรกคือมีการแนะนำตัวเองของทหารใหม่โดยครูฝึกและทหารรุ่นก่อนหน้า แต่ละคนต้องแนะนำตัวเองให้ผู้อื่นรู้จักและยังต้องทำความรู้จักกับตัวเองด้วยโดยการบอกว่ามาที่นี่เพราะเหตุใด

        เขามาที่นี่ด้วยเหตุใด ปกป้องถามตัวเอง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย การที่เขาจับได้ใบแดง ทำให้เขาต้องยอมตกกะไดพลอยโจนถูกเกณฑ์มาเป็นทหารเช่นนี้ มันทำให้เขาเริ่มทำใจ อย่างน้อยก็เพียงแค่ปีเดียว ยังดีกว่าการหนีทหารที่เขาจะต้องหนีไปอีกนานเท่าไหร่ หากถูกจับได้ต้องติดคุกยิ่งจะเลวร้ายไปกันใหญ่  

         นึกถึงคำปลอบโยนของแม่ ว่าอย่างน้อยการเป็นทหารก็ช่วยทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ และอาจจะนำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ตอนนี้เองที่ปกป้องเริ่มคิดแล้วว่าแม่อยากจะให้เขาเปลี่ยนความคิดในการใช้ชีวิต เปลี่ยนจากคนที่ล่องลอยไร้จุดหมายให้เป็นคนที่มีจุดยืนทางความคิด

        ‘พลทหารปกป้อง ทำไมถึงเข้ามาที่นี่’

        ‘ผมอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตครับ ผมอยากค้นหาความหมายของชีวิต และเหตุผลที่สำคัญที่ผมมาที่นี่เพราะ ผมทำเพื่อแม่’

        ในคืนแรก ทหารเกณฑ์ทุกคนเข้าเรือนนอน เมื่อถึงเวลาสามทุ่ม คืนนั้นปกป้องได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ มาจากเตียงข้างๆเขาเฝ้าคิดว่าความรู้สึกของเจ้าของเสียงนั้นมันคืออะไรกันแน่นะ บางคนอาจจะเข้ามาที่นี่โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ อาจจะคิดถึงความสนุกสนานในชีวิตข้างนอกที่ต่อจากนี้เขาจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นไปอีกนาน บางคนอาจคิดถึงลูกหรือภรรยาเมื่อต้องอยู่ห่างกัน แต่ปกป้องไม่มีความรู้สึกห่วงหาอาทรสิ่งเหล่านั้นเลยในจิตใจ ถึงปกป้องจะไม่เต็มใจเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์แต่เขาก็ต้องทำใจยอมรับกับมันให้ได้

       ใน 3 เดือนแรก การฝึกของทหารใหม่นั้นเข้มข้น และหลังจากนั้นค่ายทหารจะปล่อยให้พลทหารกลับบ้าน และเมื่อปกป้องกลับมาถึงบ้าน แม่ของเขาโผกอดเขาไว้ ดวงตาทั้งคู่คลอคลองไปด้วยน้ำตา ทำให้ปกป้องเริ่มรู้สึกซาบซึ้งถึงความรักและความห่วงใยจากบุพการี ความหวังดีของผู้เป็นพ่อและแม่นั้นย่อมอยากให้ลูกได้ดี เสี้ยวความคิดของปกป้องในตอนนั้นนึกถึงพ่อของเขาขึ้นมาทันที เขานึกถึงตอนที่พ่อของเขาอยากให้เขาเป็นหมอ ปกป้องรู้ว่าพ่อของเขาอยากให้เขาเป็นหมอเพื่อทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม แต่ตอนนี้ เขายังนึกภาพไม่ออกเลยว่าเขาจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไรในเมื่อตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด

       ‘ผมกลับมาหาแม่ในช่วงพักการฝึก อยู่ในนั้นผมคิดถึงแม่’

         ‘แม่ก็คิดถึงลูกจ้ะ แต่รู้ว่าอยู่ในนั้นเขาจะฝึกให้ลูกเข้มแข็งและเป็นคนดี มันทำให้แม่ไม่ห่วงอะไร ลูกต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะ แล้วจะต้องกลับไปฝึกอีกนานเท่าไหร่ล่ะ’

        ‘อีก 9 เดือนครับ’

       ‘แล้วอยู่ในนั้นลูกได้อะไรจากการฝึกบ้างล่ะ’

        ‘สิ่งที่ผมเรียนรู้คือความรับผิดชอบ คนทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม คนรอบข้างและตัวเอง’

         ‘ดีมากลูก แม่ไม่เคยคาดหวังหรอกนะว่าลูกจะต้องมีงานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ แม่ขอแค่ให้ลูกรู้จักการรับผิดชอบ เพราะเมื่อไหร่ที่คนเรามีความรับผิดชอบ เขาจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง’

         และเมื่อวันหยุดหมดลง ปกป้องเดินทางกลับไปยังค่ายทหารอีกครั้ง การฝึกอีก 9 เดือนนับจากนี้จะเน้นเรื่องทฤษฎีและการปฏิบัติตามหน้าที่ของแต่ละหน่วย ปกป้องได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ในการรบ และครูฝึกหลักสูตรนี้ก็คือวิษณุ

 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่