วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
33
เนตริยานิ่งงันพูดอะไรไม่ออก ทั้งตกใจและแปลกใจกับสิ่งไม่คาดฝันที่หล่อนเพิ่งรับรู้จากเขา
“คุณเป็นทหาร ! หน่วยข่าวกรอง ? ” หญิงสาวทวนคำ แล้วนึกย้อนไปว่านี่กระมังคือคำตอบของท่าทางบางอย่างที่หล่อนเคยสงสัย อาการนอนไวและออกท่าการต่อสู้ป้องกันตัวในบางท่าที่หล่อนคิดว่าไม่ธรรมดาสำหรับคนที่ไม่เคยผ่านการฝึกยุทธวิธีขั้นสูงมาก่อน
ปกป้องพยักหน้ายืนยัน
“แต่คุณเรียนจบมาทางด้านสาธารณสุขนี่คะ คุณตรวจรักษาดูแลสุขภาพชาวบ้าน” หล่อนอยากจะยืนยันสิ่งที่หล่อนเห็นและเข้าใจมาตลอด
“ครับ นั่นคือหน้าที่หนึ่ง และงานข่าวก็คืออีกหน้าที่หนึ่ง”
สีหน้าของหญิงสาวยังแสดงความงงงวยอยู่เช่นนั้น เขาจึงอธิบายต่อ
“ผมเคยเกณฑ์ทหารครับ คุณก็รู้ว่าคนที่เป็นทหารเกณฑ์ก็ต้องได้รับการฝึกด้านการทหารมาระดับหนึ่ง แม้ผมจะเรียนจบและทำงานด้านสาธารณสุขก็ตาม”
เนตริยาพยักหน้าเห็นด้วย
“ตอนที่ผมทำงานอยู่ยะลา ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสพบกับครูฝึกของผมสมัยที่ผมเป็นทหารเกณฑ์ ชื่อครูวิษณุ ครูเป็นคนที่ผมเคารพและศรัทธามาก
ตอนหลังครูย้ายสังกัดมาเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ พอดีตอนนั้นผมกำลังเบื่อหน่ายระบบราชการอย่างสุดๆ เลยปรึกษาครูว่าผมอยากจะลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาช่วยงานคุณพ่อที่นี่ ครูก็เลยทาบทามขอให้ผมมาช่วยงานด้านการข่าวโดยมีหน้าฉากเป็นแพทย์อาสาช่วยงานคุณพ่อผม”
“คุณกำลังจะบอกว่าคุณทำงานให้กองทัพหรือคะ”
“ครับ ผมลาออกจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขมาสังกัดกองทัพบก” ปกป้องยืนยัน เขามองดวงตาโตคู่นั้นที่เบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง แล้วย้ำว่า
“ถูกแล้วครับ ผมเป็นทหารเหมือนคุณ”
หญิงสาวที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกในตอนแรก เริ่มจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว
“แล้วคุณพ่อคุณ ท่านรู้เรื่องนี้ไหมคะ”
“คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครรู้ครับ นอกจากคุณ”
ทั้งสองประสานสายตากัน เนตริยารับรู้ถึงความไว้วางใจที่เขามีให้หล่อน
“แค่งานดูแลรักษาชาวบ้านก็แสนจะเหนื่อยหนักมากแล้ว แต่นี่คุณยังต้องทำงานข่าวที่เสี่ยงอันตรายอีกด้วย” หล่อนกล่าวอย่างเห็นใจ และยิ่งรู้สึกเทิดทูนศรัทธาผู้ชายตรงหน้านี้มากขึ้น
“ที่ผมตัดสินใจเช่นนี้เพราะเห็นว่านอกจากจะทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองแล้ว ผมยังได้มาช่วยงานคุณพ่ออย่างที่ผมตั้งใจอีกด้วย”
“และครูวิษณุของคุณ เขาต้องมีความสำคัญสำหรับคุณมากใช่ไหม คุณถึงยอมรับงานนี้”
“ครับ ครูเปรียบเสมือนทั้งพ่อและพี่ชาย ก่อนหน้านี้ผมเคยมีชีวิตที่ไร้สาระมาก่อน ครูสอนผม ผลักดันให้ผมคิดดีทำดี ต้องบอกว่าผมเป็นผู้เป็นคนมาได้เพราะครูและกองทัพ ตอนที่ผมกำลังจะปลดประจำการ ครูเคยแนะนำให้ผมสอบเข้ารับราชการทหารเพราะเห็นแวว แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะผมตั้งใจว่าจะเรียนต่อแพทย์ เพื่อออกมาทำงานตามอย่างพ่อผม แต่ผมก็ไปไม่ถึงความฝัน สอบติดแค่คณะสาธารณสุข ซึ่งพ่อก็ให้กำลังใจว่าสาขานี้ก็ช่วยเหลือคนได้เหมือนกัน พอเรียนจบแล้วผมสอบบรรจุมาอยู่ที่จังหวัดยะลา งานที่นั่นทำให้ผมได้ใกล้ชิดกับชาวบ้าน ทำให้ผมเข้าใจคนในพื้นที่มากขึ้น เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมรับคนที่ถูกส่งมาจากรัฐไทย เข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ภาครัฐไม่ใส่ใจและมองว่าเขาเป็นเพียงแค่ชนกลุ่มน้อย”
เนตริยาจ้องมองใบหน้าของคนเล่าที่เริ่มเครียดขรึมนั้น หล่อนเข้าใจถึงสิ่งที่เขาพูดอย่างถ่องแท้ ซึ่งหากเป็นแต่ก่อน หล่อนคงได้แต่รับฟังผ่านๆ
“และเรื่องสำคัญคือปัญหาความไม่สงบ ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น มักจะมาจากขบวนการผิดกฎหมายที่รัฐเอื้อมมือเข้าไปไม่ถึงหรือไม่ก็รู้แต่ทำเป็นเพิกเฉย แบบนี้ทำให้ชาวบ้านไม่อยากร่วมมือด้วย นั่นยิ่งทำให้เกิดการสูญเสียมากยิ่งขึ้น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างผมต้องดูแลรักษาชาวบ้านที่
บาดเจ็บและพิการเพราะปัญหาความรุนแรงนี้เพิ่มขึ้นอีก มันไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพธรรมดาแล้วนะครับ ไหนจะ
งบประมาณที่ต้องใช้ในการเยียวยาคนเหล่านี้แทนที่จะเอาไปส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ผมจึงอยากจะทำอะไรสักอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ให้ 3 จังหวัดชายแดนใต้นี้ร่มเย็นเสียที แต่ก็ติดด้วยระบบราชการ มันทำให้ผมท้อและคิดว่าการลาออกมาช่วยงานพ่อของผมน่าจะมีประโยชน์มากกว่า อย่างน้อยก็ได้ทดแทน
คุณท่านและช่วยเหลือชาวบ้านที่นี่ได้เต็มที่มากกว่า”
เนตริยาเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะหล่อนได้เห็นกับตามาแล้วว่าปกป้องทุ่มเทตัวเองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านของเขาอย่างไร
“หลังจากที่ครูทาบทามผมครั้งแรก ท่านให้เวลาผมตัดสินใจพักหนึ่ง เรื่องลาออกมาช่วยคุณพ่อนั้นผมคิดมานานแล้ว แต่เรื่องที่จะช่วยงานครู
ตอนแรกผมก็ยังลังเล วันที่ผมได้มีโอกาสพบกับครูอีกครั้งผมตัดสินใจว่าการมาร่วมงานกับครูจะทำให้ผมสามารถหาข่าวเพื่อช่วยรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่และประชาชนตาดำๆ ได้บ้าง พอผมตอบตกลงแล้วลาออกจากสาธารณสุข ครูจัดการให้ผมมาเข้ารับราชการในหน่วยข่าวกรองฯ ผมถูกส่งไปฝึกทักษะต่างๆ ในการหาข่าวและยุทธวิธีอยู่นาน 6 เดือน ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ มาเป็นสายให้ทางทหารพร้อมกับทำงานกับพ่อของผมที่นี่ ซึ่งจะทำให้ผมเข้าถึงกลุ่มชาวบ้านได้โดยไม่มีใครสงสัย”
“สตูลไม่ใช่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ คุณคงไม่ต้องเสี่ยงและลำบากมากนักใช่ไหมคะ”
ปกป้องนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะถามว่า
“เมื่อตอนที่คุณโดนจับไป คุณก็เห็นใช่ไหมว่าที่นั่นเป็นอย่างไร”
เป็นคำถามที่เนตริยาอดจะขนลุกไม่ได้เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์น่ากลัวครั้งนั้น ที่หล่อนอาจจะไม่รอดชีวิตกลับมา
“มันคือรังโจรใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่โจรธรรมดาหรอกครับ แต่มันคือค่ายใหญ่ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เป็นที่กบดานของหัวหน้าขบวนการซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตสามจังหวัดนั่น”
“อะไรนะคะ ! ” เนตริยาอุทาน แล้วนิ่งคิดไปถึงหัวหน้าใหญ่ของค่าย “
สะมะแอ ?! หรือคะ”
แล้วปกป้องก็เล่าถึงภารกิจที่เขาต้องเข้าไปสืบเสาะความเป็นไปภายในค่ายโดยอาศัยการเข้าไปส่งยาและช่วยรักษาลูกน้องที่บาดเจ็บของสะมะแอเป็นเครื่องบังหน้า
เนตริยาตกตะลึงไปกับสิ่งที่รับรู้ หล่อนคงต้องถอนคำพูดก่อนหน้านี้ว่าเขาอยู่จังหวัดนี้ไม่ต้องทำงานที่เสี่ยงอันตราย
“การทำงานข่าวของผมมันก็แค่เศษเสี้ยวหนึ่ง ในขณะที่การสูญเสียยังคงมีต่อเนื่องแทบจะรายวันโดยที่ผมไปช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ปัญหาที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด การทำงานของรัฐที่ไม่จริงใจต่อการแก้ปัญหายิ่งทำให้ผมคับข้องใจ ผมเคยนำเรื่องนี้ไปคุยกับครูวิษณุว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้มากกว่านี้
การวางแผนยุทธศาสตร์จะต้องมีส่วนร่วมจากคนในพื้นที่ด้วย ไม่ใช่ระบบ top down จากเบื้องบนอย่างแผนเดิมๆ ที่เคยทำกันมาซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้แม้แต่น้อย หรือถ้าคนในพื้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วม อย่างน้อยคณะกรรมการที่วางแผนก็ต้องเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจปัญหาเทียบเท่าคนในพื้นที่ แต่นี่ไม่มี พอผมพูดเรื่องนี้กับครูของผมท่านก็ยังส่ายหัว ท่านบอกว่าเราเป็นแค่จักรเฟืองตัวเล็กๆ จะไปทำอะไรได้ งานด้านนโยบายต้องใช้อำนาจระดับสูงถึงจะเข้าไปแทรกแซงได้ มันเป็นอะไรที่มืดมนสำหรับผมเหลือเกิน จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปรู้มาว่าร้อยเอกหญิงเนตริยาที่ผมเคยเจอครั้งนั้น เป็นหนึ่งในคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์”
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 33
“คุณเป็นทหาร ! หน่วยข่าวกรอง ? ” หญิงสาวทวนคำ แล้วนึกย้อนไปว่านี่กระมังคือคำตอบของท่าทางบางอย่างที่หล่อนเคยสงสัย อาการนอนไวและออกท่าการต่อสู้ป้องกันตัวในบางท่าที่หล่อนคิดว่าไม่ธรรมดาสำหรับคนที่ไม่เคยผ่านการฝึกยุทธวิธีขั้นสูงมาก่อน
ปกป้องพยักหน้ายืนยัน
“แต่คุณเรียนจบมาทางด้านสาธารณสุขนี่คะ คุณตรวจรักษาดูแลสุขภาพชาวบ้าน” หล่อนอยากจะยืนยันสิ่งที่หล่อนเห็นและเข้าใจมาตลอด
“ครับ นั่นคือหน้าที่หนึ่ง และงานข่าวก็คืออีกหน้าที่หนึ่ง”
สีหน้าของหญิงสาวยังแสดงความงงงวยอยู่เช่นนั้น เขาจึงอธิบายต่อ
“ผมเคยเกณฑ์ทหารครับ คุณก็รู้ว่าคนที่เป็นทหารเกณฑ์ก็ต้องได้รับการฝึกด้านการทหารมาระดับหนึ่ง แม้ผมจะเรียนจบและทำงานด้านสาธารณสุขก็ตาม”
เนตริยาพยักหน้าเห็นด้วย
“ตอนที่ผมทำงานอยู่ยะลา ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสพบกับครูฝึกของผมสมัยที่ผมเป็นทหารเกณฑ์ ชื่อครูวิษณุ ครูเป็นคนที่ผมเคารพและศรัทธามาก
ตอนหลังครูย้ายสังกัดมาเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ พอดีตอนนั้นผมกำลังเบื่อหน่ายระบบราชการอย่างสุดๆ เลยปรึกษาครูว่าผมอยากจะลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาช่วยงานคุณพ่อที่นี่ ครูก็เลยทาบทามขอให้ผมมาช่วยงานด้านการข่าวโดยมีหน้าฉากเป็นแพทย์อาสาช่วยงานคุณพ่อผม”
“คุณกำลังจะบอกว่าคุณทำงานให้กองทัพหรือคะ”
“ครับ ผมลาออกจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขมาสังกัดกองทัพบก” ปกป้องยืนยัน เขามองดวงตาโตคู่นั้นที่เบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง แล้วย้ำว่า
“ถูกแล้วครับ ผมเป็นทหารเหมือนคุณ”
หญิงสาวที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกในตอนแรก เริ่มจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว
“แล้วคุณพ่อคุณ ท่านรู้เรื่องนี้ไหมคะ”
“คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครรู้ครับ นอกจากคุณ”
ทั้งสองประสานสายตากัน เนตริยารับรู้ถึงความไว้วางใจที่เขามีให้หล่อน
“แค่งานดูแลรักษาชาวบ้านก็แสนจะเหนื่อยหนักมากแล้ว แต่นี่คุณยังต้องทำงานข่าวที่เสี่ยงอันตรายอีกด้วย” หล่อนกล่าวอย่างเห็นใจ และยิ่งรู้สึกเทิดทูนศรัทธาผู้ชายตรงหน้านี้มากขึ้น
“ที่ผมตัดสินใจเช่นนี้เพราะเห็นว่านอกจากจะทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองแล้ว ผมยังได้มาช่วยงานคุณพ่ออย่างที่ผมตั้งใจอีกด้วย”
“และครูวิษณุของคุณ เขาต้องมีความสำคัญสำหรับคุณมากใช่ไหม คุณถึงยอมรับงานนี้”
“ครับ ครูเปรียบเสมือนทั้งพ่อและพี่ชาย ก่อนหน้านี้ผมเคยมีชีวิตที่ไร้สาระมาก่อน ครูสอนผม ผลักดันให้ผมคิดดีทำดี ต้องบอกว่าผมเป็นผู้เป็นคนมาได้เพราะครูและกองทัพ ตอนที่ผมกำลังจะปลดประจำการ ครูเคยแนะนำให้ผมสอบเข้ารับราชการทหารเพราะเห็นแวว แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะผมตั้งใจว่าจะเรียนต่อแพทย์ เพื่อออกมาทำงานตามอย่างพ่อผม แต่ผมก็ไปไม่ถึงความฝัน สอบติดแค่คณะสาธารณสุข ซึ่งพ่อก็ให้กำลังใจว่าสาขานี้ก็ช่วยเหลือคนได้เหมือนกัน พอเรียนจบแล้วผมสอบบรรจุมาอยู่ที่จังหวัดยะลา งานที่นั่นทำให้ผมได้ใกล้ชิดกับชาวบ้าน ทำให้ผมเข้าใจคนในพื้นที่มากขึ้น เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมรับคนที่ถูกส่งมาจากรัฐไทย เข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ภาครัฐไม่ใส่ใจและมองว่าเขาเป็นเพียงแค่ชนกลุ่มน้อย”
เนตริยาจ้องมองใบหน้าของคนเล่าที่เริ่มเครียดขรึมนั้น หล่อนเข้าใจถึงสิ่งที่เขาพูดอย่างถ่องแท้ ซึ่งหากเป็นแต่ก่อน หล่อนคงได้แต่รับฟังผ่านๆ
“และเรื่องสำคัญคือปัญหาความไม่สงบ ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น มักจะมาจากขบวนการผิดกฎหมายที่รัฐเอื้อมมือเข้าไปไม่ถึงหรือไม่ก็รู้แต่ทำเป็นเพิกเฉย แบบนี้ทำให้ชาวบ้านไม่อยากร่วมมือด้วย นั่นยิ่งทำให้เกิดการสูญเสียมากยิ่งขึ้น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างผมต้องดูแลรักษาชาวบ้านที่
บาดเจ็บและพิการเพราะปัญหาความรุนแรงนี้เพิ่มขึ้นอีก มันไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพธรรมดาแล้วนะครับ ไหนจะงบประมาณที่ต้องใช้ในการเยียวยาคนเหล่านี้แทนที่จะเอาไปส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ผมจึงอยากจะทำอะไรสักอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ให้ 3 จังหวัดชายแดนใต้นี้ร่มเย็นเสียที แต่ก็ติดด้วยระบบราชการ มันทำให้ผมท้อและคิดว่าการลาออกมาช่วยงานพ่อของผมน่าจะมีประโยชน์มากกว่า อย่างน้อยก็ได้ทดแทน
คุณท่านและช่วยเหลือชาวบ้านที่นี่ได้เต็มที่มากกว่า”
เนตริยาเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะหล่อนได้เห็นกับตามาแล้วว่าปกป้องทุ่มเทตัวเองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านของเขาอย่างไร
“หลังจากที่ครูทาบทามผมครั้งแรก ท่านให้เวลาผมตัดสินใจพักหนึ่ง เรื่องลาออกมาช่วยคุณพ่อนั้นผมคิดมานานแล้ว แต่เรื่องที่จะช่วยงานครู
ตอนแรกผมก็ยังลังเล วันที่ผมได้มีโอกาสพบกับครูอีกครั้งผมตัดสินใจว่าการมาร่วมงานกับครูจะทำให้ผมสามารถหาข่าวเพื่อช่วยรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่และประชาชนตาดำๆ ได้บ้าง พอผมตอบตกลงแล้วลาออกจากสาธารณสุข ครูจัดการให้ผมมาเข้ารับราชการในหน่วยข่าวกรองฯ ผมถูกส่งไปฝึกทักษะต่างๆ ในการหาข่าวและยุทธวิธีอยู่นาน 6 เดือน ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ มาเป็นสายให้ทางทหารพร้อมกับทำงานกับพ่อของผมที่นี่ ซึ่งจะทำให้ผมเข้าถึงกลุ่มชาวบ้านได้โดยไม่มีใครสงสัย”
“สตูลไม่ใช่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ คุณคงไม่ต้องเสี่ยงและลำบากมากนักใช่ไหมคะ”
ปกป้องนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะถามว่า
“เมื่อตอนที่คุณโดนจับไป คุณก็เห็นใช่ไหมว่าที่นั่นเป็นอย่างไร”
เป็นคำถามที่เนตริยาอดจะขนลุกไม่ได้เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์น่ากลัวครั้งนั้น ที่หล่อนอาจจะไม่รอดชีวิตกลับมา
“มันคือรังโจรใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่โจรธรรมดาหรอกครับ แต่มันคือค่ายใหญ่ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เป็นที่กบดานของหัวหน้าขบวนการซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตสามจังหวัดนั่น”
“อะไรนะคะ ! ” เนตริยาอุทาน แล้วนิ่งคิดไปถึงหัวหน้าใหญ่ของค่าย “สะมะแอ ?! หรือคะ”
แล้วปกป้องก็เล่าถึงภารกิจที่เขาต้องเข้าไปสืบเสาะความเป็นไปภายในค่ายโดยอาศัยการเข้าไปส่งยาและช่วยรักษาลูกน้องที่บาดเจ็บของสะมะแอเป็นเครื่องบังหน้า
เนตริยาตกตะลึงไปกับสิ่งที่รับรู้ หล่อนคงต้องถอนคำพูดก่อนหน้านี้ว่าเขาอยู่จังหวัดนี้ไม่ต้องทำงานที่เสี่ยงอันตราย
“การทำงานข่าวของผมมันก็แค่เศษเสี้ยวหนึ่ง ในขณะที่การสูญเสียยังคงมีต่อเนื่องแทบจะรายวันโดยที่ผมไปช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ปัญหาที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด การทำงานของรัฐที่ไม่จริงใจต่อการแก้ปัญหายิ่งทำให้ผมคับข้องใจ ผมเคยนำเรื่องนี้ไปคุยกับครูวิษณุว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้มากกว่านี้ การวางแผนยุทธศาสตร์จะต้องมีส่วนร่วมจากคนในพื้นที่ด้วย ไม่ใช่ระบบ top down จากเบื้องบนอย่างแผนเดิมๆ ที่เคยทำกันมาซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้แม้แต่น้อย หรือถ้าคนในพื้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วม อย่างน้อยคณะกรรมการที่วางแผนก็ต้องเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจปัญหาเทียบเท่าคนในพื้นที่ แต่นี่ไม่มี พอผมพูดเรื่องนี้กับครูของผมท่านก็ยังส่ายหัว ท่านบอกว่าเราเป็นแค่จักรเฟืองตัวเล็กๆ จะไปทำอะไรได้ งานด้านนโยบายต้องใช้อำนาจระดับสูงถึงจะเข้าไปแทรกแซงได้ มันเป็นอะไรที่มืดมนสำหรับผมเหลือเกิน จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปรู้มาว่าร้อยเอกหญิงเนตริยาที่ผมเคยเจอครั้งนั้น เป็นหนึ่งในคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์”