นวนิยาย : นางสาป : บทที่ 6-7



นางสาปบทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
**************************************************

สวัสดีครับ

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกโหวต ทุกความคิดเห็นเช่นเคยนะครับ ขอบคุณคุณ
Lady Star 919 ถูกใจ, ลายลิขิต ถูกใจ, GTW ถูกใจ, พวงดารา ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, ออมอำพัน ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ และทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน นางสาปครับผม ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคุณลายลิขิต และอ.จีทีดับเบิ้ลยู กับสองความคิดเห็นอบอุ่นๆ

ขอบคุณจากใจครับ

ผมเอง เพลงเกือบพัน
------------------------------------------------

นางสาป บทที่หก


ทั้งหมดที่นั่งอยู่ ต่างพากันนิ่งงัน กับคำถามของผู้เป็นเจ้าของเรือน

พระนครารักษ์นิ่งไปเพราะรอคำตอบสำคัญ ส่วนคนที่เหลือต่างไม่รู้จะพูดอย่างไร เพื่อไม่ให้ผู้กำลังโกรธา เกรี้ยวกราดมากไปกว่านี้

นมแมวขยับจะรินน้ำชาให้เจ้าคุณ อย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ถูกห้ามไว้ พอนางอ้าปากจะพูด ก็ถูกขึงตาห้ามอีก

“อย่ามาคิดแก้ตัวแทนกันนะนังแมว เพราะทูนหัวทูนเกล้ากันอย่างนี้ซีเล่า ลูกสาวข้าถึงแก่นกะโหลกกะลาขนาดหนัก ไหน... ตอบพ่อมาที... ทางอาวุธที่แม่พลอยใช้ ไปร่ำเรียนมาจากสำนักใด”

“ก็... เอ่อ...”

ระหว่างที่พลอยอึกอักไม่รู้จะตอบคำอย่างไรดี แสนก็โผล่หัวบันไดเรือนขึ้นมา แม้ท่าทางจะร้อนรน แต่หลังได้ยินประโยคสุดท้าย ที่บิดาตะคอกถามเอากับหญิงสาว การสำคัญที่เร่งมา เพราะซากไอ้สางวายร้ายนั้นหายไป ก็ต้องเปลี่ยนเป็นว่า ปัญหาเฉพาะนี้สำคัญยิ่งกว่า

“กราบเจ้าคุณ กราบคุณป้าขอรับ”

“ไหว้พระเถิดพ่อแสน...”

“เอ็งมีอันไร!”

“ฉันจักมาขอข้าวกินสักมื้อน่ะจ้ะ เมื่อคืนเสร็จการงานดึกดื่น เช้านี้มิมีเรี่ยวแรงจักหุงหา”

ขณะพูด ชายหนุ่มก้มหน้าหลบสายตาผู้มากวัย ซึ่งรับเลี้ยงดูตนไว้เสมือนลูกหลาน

“อย่ามาอ้างโน่นนี่หน่อยเลยพี่แสน ต่อให้มิมีการงานอันไร พี่แสนก็มาฝากท้องไว้ที่นี้เสมอๆ”

พลอยก็รีบสมทบ หวังเบนบทสนทนาให้ห่างตัว

“นั่นซีเจ้าคะ คุณแสนของนม อยากรับประทานอันไรพิเศษฤๅหาไม่ นี้เขากำลังเคี่ยวแกงส้มยอดมะพร้าว มีชะอมชุบไข่ทอด แล้วก็ปลาสลิดย่าง”

นมแมวก็ต่อบทได้ทันที พูดจบก็หันไปพยักพเยิดกับคุณหญิงแก้ว ซึ่งภริยาผู้เป็นใหญ่ในเรือนก็รับไม้ต่อได้ทันที

“นมไปเรียกสำรับขึ้นมาเลยก็ได้... แสนก็รับประทานกับป้ากับลุงเลย นะคะเจ้าคุณ”

นี้เป็นเพราะแสนเปิดประเด็นดังนั้น สตรีที่เหลือเลยได้จังหวะ เหมือนนัดหมายกันเปลี่ยนความตึงเครียด มาเป็นเรื่องสำรับคับคอน

แต่พระนครารักษ์ยังไม่ยอมหลงกล

“ถ้าจักต้องวุ่นวายนัก เอ็งก็ไปกินกับอ้ายพวกนครบาล ทางนี้ข้ากำลังจัดการธุระ มิต้องกินข้าวกินปลากันละ ถ้ายังไม่สารภาพ”

“ก็... ก็อิฉันบอกไปหมดแล้ว ธรรมดาลูกเป็นหญิง ถึงจักกระบวนเพลงดาบเพลงหอกเดียวกัน มีฤๅจักออกใช้ได้องอาจเหมือนพูชาย...”

เมื่อพลอยตั้งหลักได้ ก็รู้สึกเหมือนเหตุผลของตัวเอง เริ่มจะฟังพอเข้าเค้า

“เหลวไหล... เรื่องเยี่ยงนี้จักมีที่ไหน!”

แม้จะยังทำเสียงแข็ง แต่บิดาของพลอยก็รู้สึกเห็นจริงขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

“ที่จริงเรื่องฝึกกระบี่กระบองของแม่พลอย ฉันก็มีส่วนผิดขอรับคุณลุง...”

แสนแทรกเข้ามาบ้าง

“...เพราะเป็นฉันที่ช่วยฝึก ช่วยซ้อม”

“เอ็งอย่าสอดอ้ายแสน!” พระนคราฯ ถึงกับชี้หน้าชายหนุ่ม “...ถ้าเป็นเยี่ยงกระนั้นจริงๆ ข้าจักให้เอ็งไปอยู่หัวเมือง!”

“ไม่ๆ มิได้นะคุณพ่อ... เป็นอิฉันเอง ที่บังคับพี่แสนให้ช่วยเป็นคู่ซ้อม”

พลอยรู้ดีว่า บิดาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น นี้หากแสนต้องไปอยู่หัวเมืองจริงๆ หล่อนก็แทบจะหมดหนทางสนุกอย่างที่ชอบ จึงรีบช่วยแก้ตัวให้ทันที โดยยังไม่ทันนึก หากถูกบิดาคาดคั้นต่อไปอีก จะให้ตอบได้ยังไรว่านมแมวนั้นเองเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ทางอาวุธทั้งหลาย

“มิใช่ดอกขอรับ เป็นฉันเสนอตัวเอง”

แต่ชายหนุ่มก็ยังขัดแย้ง จนเจ้าคุณไม่รู้จะฟังใคร ได้แต่มองหน้าสองคนไปมา มือไม้สั่น เพราะอารมณ์เดือดพล่านยังไม่บรรเทา

พอเครียดจัดหนักเข้า เลือดลมก็ทำพิษ ชายชราเรอออกมาเอิ้กใหญ่ ร่างกายโอนเอนเหมือนจะฟุบลงตรงนั้น มารดาพลอยรีบประคอง มีนมแมวขยับเข้าชิดแขนอีกข้าง

“เจ้าคุณ เจ้าคุณใจเย็นๆ เรื่องเพียงเท่านี้ จักเป็นถึงคอขาดบาดตายกันเทียวฤๅ ใจเย็นๆ ก่อนเถิด”

ส่วนแม่นมของพลอยก็ว่องไว คว้ายาหอมมาชงใส่ถ้วยตะไลได้ทันใจ รีบยื่นให้คนเจ็บที่อาการเริ่มกำเริบ

ชายชราคว้ามาดื่มรวดเดียว เรอออกมาอีกครั้ง สมองพอจะปลอดโปร่งขึ้นบ้าง

พลอยยังเคืองบิดา เพราะตั้งแต่ออกมาพบหน้ากันเช้านี้ เขายังไม่พูดดีๆ กับหล่อนสักคำ พอเห็นสายตาตำหนิของมารดา หญิงสาวก็สะบัดหน้าหนี นี้หากไม่ใช่เวลาตึงเครียด หล่อนคงลุกเดินจากไปแล้ว

หันมาทางนี้ พลอยก็ได้สบตากับแสน เห็นเขาสั่นหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้สงบจิตใจไว้ก่อน หล่อนจึงต้องจำใจนิ่งอั้นอยู่อย่างนั้น

พระนครารักษ์จะพูดอะไรอีก แต่เหมือนหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว ผู้เป็นภรรยากับนมแมวและนางบ่าวอีกสองคน จึงช่วยกันพยุงให้ลุก ตั้งใจจะพาท่านไปเข้าที่นอน ชายชราจำต้องยอมรับอาการของตนเอง ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ทว่ายังไม่วายหันกลับมาสั่งสำทับ

“แม่พลอย ตั้งตะนี้ ห้ามลงจากเรือน จนกว่าพ่อจักอนุญาต!”

“ตะว่า... ตะว่าอิฉันสำนึกผิดแล้ว...”

“สำนึกผิดแล้ว แล้วยังไร หากก่อเรื่องราวอันไรขึ้นอีก คราวนี้จักตีตรวน จำไว้!”

“ตะ... ตะว่า...”

“มิมีตะว่าอันไรทั้งนั้น นี้เป็นคำขาด!”

จากนั้นพระนคราฯ ก็หันไปไล่เบี้ยกับชายหนุ่ม

“อ้ายแสน! จากนี้เป็นต้นไป ห้ามตามใจเหลวไหลกับแม่พลอยอีก เข้าใจฤาหาไม่!”

น้ำตาของความน้อยใจคลอเอ่อขึ้นมา แต่พลอยยังกลั้นไว้ จนทั้งบิดามารดาลับตัวเข้าห้องไปแล้ว หล่อนจึงยกมือขึ้นกรีดมันทิ้ง

“อย่าเสียใจไปเลยแม่พลอย คุณลุงท่านกำลังเจ็บกำลังป่วย อารมณ์ก็มิดีเป็นธรรมดา ที่มิควรโกรธก็พาลโกรธ ที่ทำให้โกรธก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่โต”

แสนขยับเข้าใกล้เพื่อปลอบใจ แต่พลอยยังหมองหม่น ลุกพ้นมาจากหอนั่ง เดินมาจนสุดระเบียง ตรงนี้เป็นหอนก มีนกยืนคอนในกรงอยู่หลายตัว สองด้านของศาลาโปร่งโล่ง เป็นร้านดอกไม้สามชั้น มีทั้งไม้ดัด ไม้ดอกไม้ใบ บรรจงปลูกประดับไว้ในกระถางลายครามใบสวย

ชายหนุ่มเดินตามมาอีก ใจเขานั้น บอกตัวเองได้นานแล้วว่า รู้สึกอย่างไรกับหญิงสาวตรงหน้า

“แล้ว แผลที่แขน เป็นเยี่ยงไรบ้าง”

น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลลงอีกมาก

“มิเท่าไรดอก... พี่แสน... อาการของคุณพ่อต่างหากที่อิฉันเป็นห่วง”

ที่พลอยเว้นระยะตรงกลางคำนิดหนึ่ง เพราะอยู่ๆ ก็นึกถึงหมอภูอินขึ้นมาเฉยๆ

“นั่นน่ะซี เห็นการใช้วิชาดาบน้ำพี้ปราบมนตร์มารของคุณลุงแล้ว มันต้องมิใช่แค่การออกท่าออกทาง อย่างธรรมดาแน่ๆ ฉันว่า เป็นเพราะใช้ออกด้วยเพลงดาบสำคัญอันนี้ จึงทำให้เสียกำลังจิตกำลังปราณมิใช่น้อยๆ”

“เรื่องนั้น ใช่แน่ๆ ละค่ะ เพราะคุณพ่อเองยังบอกว่า การจักใช้ดาบให้ได้ผล คนกับดาบต้องรวมกันได้ให้ คนใช้ต้องรวบรวมกำลังจิตทั้งหมด เพื่อเรียกอานุภาพของดาบน้ำพี้ให้ถึงจุดสูงสุด”

“เยี่ยงนั้น เราคงต้องหวังให้คุณพระคุณเจ้า คุ้มครองรักษาให้คุณลุง หายเจ็บหายไข้ในเร็ววัน...”

แต่พลอยไม่ต่อคำอะไรอีก นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ขอตัว บอกให้เขาไปหามื้อนี้ที่กรมนครบาล แล้วตนจะแก้ตัวให้วันหน้า เพราะในเรือนยังวุ่นวาย จากนั้นหล่อนก็ปลีกตัวกลับเข้ามาในห้องของตนเอง

ที่พลอยตัดบทไปอย่างนั้น เพราะคิดแผนการบางอย่างเอาไว้ นั้นคือ การที่บาดแผลของหล่อน ทั้งสะบักหลังและหลังแขน ต่างทุเลาอาการได้รวดเร็วคล้ายอัศจรรย์ ย่อมต้องเป็นเพราะยาดี ของสำนักแพทย์หลวงเวทเภสัชแน่ๆ ซึ่งหมายถึง หากเสี่ยงฝืนคำสั่งบิดาอีกสักครั้ง ก็น่าจะได้ยาดีมาช่วยบรรเทาอาการบิดา

แต่ช่วงนี้ยังทำอะไรไม่ได้ พลอยตัดสินใจรอดูอาการพระนครารักษ์อีกสามสี่วัน ทำเป็นอยู่ติดเรือน หมั่นแวะเวียนเข้าไปดูอาการผู้เป็นใหญ่ในบ้าน ให้เห็นว่าหล่อนยังปฏิบัติตามคำสั่ง ทว่าอีกหลายวันผ่านไป คุณพระก็ยังอาการไม่กระเตื้องขึ้นเท่าไร

ในที่สุด... หล่อนก็ตัดสินใจมาที่ร้านหลวงเวทเภสัชอีกครั้ง

คราวนี้พลอยไม่ได้ปลอมตัว เพราะมีนมแมวมาเป็นเพื่อน หล่อนให้หญิงชรารออยู่ด้านนอก ตัวเองเข้าไปถามหาหลวงเวทเภสัชกับเสมียนคนเดิม

“หลวงเวทไปตรวจอาการแม่วาด ที่เรือนท่านพระยารัตนภักดีขอรับ อยู่ตะหมอภู...”

หลังจากพลอยบอกว่า จะพบใครก็ได้ หล่อนจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าหมอหนุ่ม ที่กำลังง่วนอยู่กับการเขียนสลากยา เขาเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเงาใครมาบังหน้าโต๊ะทำงาน

“อ้อ! คุณ... คุณพลอย... สีหน้าสดใส หกเจ็ดวันมานี้ อาการคงดีขึ้นมากแล้วซีนะขอรับ”

หญิงสาวทำหน้าตึงใส่คนถาม เพราะยังรู้สึกเขินอาย กับการต้องเปิดเผยเนื้อตัว ให้เขาตรวจรักษาบาดแผล ถึงสองครั้งสองครา

“อิฉันมิเป็นไรแล้วละ ตะคุณพ่อนั่นดอก ยังมิทุเลา”

เกือบจะบอกว่า ก็กินยาตำรับของร้านนี้แท้ๆ แต่ยังไม่หาย ดีที่หล่อนยั้งปากคำไว้ได้ทัน

“นั่นก็มิแปลกดอกขอรับ...”

ภูอินคุยไปด้วย โดยยังไม่รามือจากการเขียนอะไรยุกยิกอยู่เหมือนเดิม

“น้องชายยังวัยละอ่อน... อ้อ... มิใช่ซี วันนี้เป็นสตรี... ก็... มิแปลกดอกขอรับ เพราะคุณพลอยยังสาวยังแส้ กล้ามเนื้อ หลอดเลือดหลอดลม ยังเจริญเติบโตได้ดี อันไรที่เสียหาย ก็ซ่อมแซมได้รวดเร็ว จักคุณพระท่านชราภาพมากแล้ว”

“แล้วเกี่ยวกับที่ต้องทุ่มเทกระแสสมาธิ กระแสลมปราณ อันไรด้วยฤๅหาไม่ล่ะ”

ถึงตรงนี้ พลอยเก็บสีหน้ากังวลไม่อยู่อีกแล้ว

“ก็... ต้องเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว คนทำสมาธิน่ะ ปกติควบคุมเลือดลม ควบคุมการหายใจได้ดีกว่าเราๆ นี้หากต้องนำไปใช้ในทางต่อสู้ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ร่างกายภายในก็บอบช้ำหนักเป็นธรรมดา ฉันก็บอกคุณป้าแก้วไปแล้วว่า ถ้าหากจักฟื้นตัวได้เหมือนเดิม  ก็อาจต้องใช้เวลาสองสามเดือน”

“ทำไมถึงต้องนานขนาดนั้น”

ยิ่งฟัง พลอยยิ่งเป็นห่วงบิดาตนมากยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากเขียนสลากยาเสร็จ ภูอินก็หันไปเตรียมจะจัดยาต้มสามัญไว้เป็นชุด เขาเดินหลีกหญิงสาว มาตรงแถวตู้ลิ้นชักยาแห้ง โดยมีพลอยตามติดมาทันที

“อย่างนั้น... ท่านมีตำรับอันไร ที่จักช่วยให้อาการของคุณพ่อหายได้เร็วๆ ขึ้นกว่านี้ฤๅหาไม่”

“ฉันก็บอกแล้ว ท่านสูญเสียพลังธาตุในร่างกายไปมาก... คงยาก... เออ! จริงซี ยังพอมีตัวยาสมุนไพรบางอย่างนี่นา...”

เหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้ รีบกวาดตาหาลิ้นชักอันหนึ่ง แล้วเปิดอย่างรวดเร็ว ทว่าพอเห็นภายในว่างเปล่า ก็ส่ายหน้าไม่สบอารมณ์

“อันไร... หาอันไร... บอกอิฉันบ้างซี”

“เมล็ดขันหมากเศรษฐีน่ะ ตะนี้มิมีตากแห้งไว้เลย มันช่วยผู้ป่วยพักฟื้น บำรุงกำลังได้ดีนักละ ถึงราคาแพงสักหน่อย คุณพลอยก็คงมิเกี่ยง”

ได้ยินดังนี้พลอยก็รู้สึกมีความหวังขึ้นอีกมาก รีบถามต่อไป

“ก็ต้องมิเกี่ยงอยู่แล้ว แล้วไหนเล่าเม็ดขันหมากอันไรที่ว่า”

“ไม่มีน่ะซี... มันของหายาก ตะนี้หากได้รับประทานเมล็ดสด จักหายเร็วยิ่งขึ้น และถ้าได้เป็นขันหมากเศรษฐีตัวผู้ มิแน่นะ... แค่ได้รับประทานติดต่อกัน สักห้ามื้อเจ็ดมื้อ ก็ลุกขึ้นมาเดินเหิน ทำราชการได้เหมือนเดิม”

“ตัวเองบอกเองว่ามิมี แล้วจักมาเสียเวลาบรรยายสรรพคุณอยู่ทำไม”

พลอยอดโมโหไม่ได้ ดูท่าเหมือนหมอหนุ่มคนนี้ แยกแยะไม่ออกเลยว่า เวลาไหนควรพูดเล่น หรือต้องพูดจาเป็นการเป็นงาน

“ตะมันก็พอหาได้นะ ที่เขาธารทองแดง เจ้าใหญ่นายโตท่านเสด็จกันเนืองๆ สมุนไพรสำคัญ น่าจักปลูกไว้บ้าง ถึงที่ฉันเคยไปจักมิได้เห็นต้นขันหมากเศรษฐี ตะก็มีปลูกอันไรๆ ไว้ดาษดื่น คิดว่าน่าจักมี”

พอหญิงสาวทำท่าจะกระเง้ากระงอด เขาก็กลับมาจริงจัง  หล่อนอดคิดไม่ได้ว่า คนตรงหน้า น่ารำคาญก็ตรงนี้

แต่พอเขาพูดถึงแหล่งที่จะค้นหาสมุนไพรตำรับวิเศษนั้นได้ หัวใจหล่อนก็พองโต ดีใจที่จะได้ทำคุณไถ่โทษ โดยลืมไปเลยว่า ที่แอบออกมาถึงที่นี้ ก็เป็นความผิดมากมายอยู่แล้ว

(มีต่อคคห.ที่1)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่