สวัสดีครับ
พูดถึงการเดินทางสู่สำนักพิมพ์ของ "นางสาป" แล้วก็คล้ายๆ กับคราวที่ "บ่วงอุรคา" เคยเป็น คือเดินทางแบบไม่ผ่านพิจารณาและคนเขียนไม่ยอมแก้ไขใดๆ เมื่อสนพ.นั้นๆ ให้ความคิดเห็นประกอบมาด้วย ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีเวลา "รื้อ" ความแน่นหนาที่คนเขียนคิดว่าประกอบร่างไว้ดีแล้ว เนื่องจากต้องทำการบ้านมากกับพื้นหลังทางประวัติศาตร์ เมื่อคราว "บ่วงอุรคา" นั้น สืบค้นไปทางทวารวดี กลุ่มเมืองเก่าแถบภาคตะวันตกข้ามแดนไปเขตประเทศเพื่อนบ้าน ส่วน "นางสาป" เป็นยุคเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์ปราสาททอง สู่ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซึ่งมีทั้งบันทึกของผู้ชนะ ผู้แพ้ และประเภทพงศาวดารกระซิบ ที่ต้องวางไว้เป็นพื้นที่สมจริงสมจังกับการดำเนินเรื่องราว
และด้วยเหตุนั้น บ่วงอุรคา จึงมีความ "สมจริงเกินไป" ขณะที่มีเสียงวิจารณ์ว่า "มันไม่มีจริง" เกิดขึ้นพร้อมกัน ความแตกต่างนี้คนเขียนรู้ดีว่าเพราะอะไร นั่นจึงเป็นส่วนที่ทำให้ ปล่อยให้ "บ่วงอุรคา" เดินทา
ไปหาสนพ.ที่เหมาะกับตัวเอง จนกระทั่งได้เจอ
เช่นเดียวกับ "นางสาป" ที่คนเขียนไม่ยอมแก้ไข ข้อวิจารณ์ที่ว่า "เกินจริง" หรือ "เอาฝันกับจริงมาปะปนกันมากเกินไป" เพราะคนเขียนสร้าง "นิยาย" และรู้ว่ายังมีนิยายอีกประเภทหนึ่ง ที่สามารถสร้างสรรค์ให้โลกจริงกับความลวง ซ้อนซับอยู่ด้วยกันได้ และด้วยเหตุนี้ เมื่อคนเขียนปล่อย "นางสาป" ให้เดินทางหาสถานที่เหมาะสมสำหรับตนเอง โดยคงความเป็นตัวตนของนางสาปเอาไว้ แม้จะลุ้นใจหายใจคว่ำหลายครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็เจอสถานที่ของตนเอง และพร้อมจะได้นำเสนอผ่านหน้ากระดาษ ได้พาเธอไปร่วมหย่อนใจกับทุกสถานที่ที่นักอ่านทั้งหลายชอบพกพานิยาย(ดีๆ)สักเรื่องไปอ่านฆ่าเวลา
ส่วนในถนนนักเขียน คนเขียนจะวางนางสาปจนจบครับ ก่อนนิยายวางแผง หรืออาจมีช่องทางให้เพื่อนชาวถนนได้ตามอ่านจนจบได้แน่ๆ
ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกโหวต ทุกไลท์ เช่นเคยนะครับ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของ คุณ สมช.3206829 คุณดาว919 คุณลิ และอ.จี ขอบคุณคุณอุรุเวลา ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, Lady Star 919 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 868666 ถูกใจ, GTW ถูกใจ, ลายลิขิต ทึ่ง, ออมอำพัน ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ
ผมเอง เพลงเกือบพัน
-------------------------------------------------------------
นางสาป
บทที่ 10
รุ่งขึ้น พลอยมาเยี่ยมหาวาดแต่เช้า เมื่อนางรื่นบอกว่า นายหญิงของตนป่วยกะทันหัน อาการหนักจนลุกไม่ขึ้น หล่อนก็ตรงเข้าไปถึงชิดที่นอน
“เกิดอะไรขึ้นพี่วาด... เมื่อวานยังดีๆ กระไรวันนี้ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ”
ดวงหน้าอันเคยงดงามหมดจด ของคนที่นอนบนเตียง บัดนี้ซีดเผือดไม่มีสีเลือด ริมฝีปากแห้งแตกจนปรากฏเป็นริ้วโลหิต ราวคนจับไข้หนัก ขาดน้ำขาดอาหารมาแล้วหลายวัน
“มิกระไรดอก พี่เป็นเยี่ยงนี้เอง สามวันดีสี่วันไข้ ก็ที่เขาว่ากันนั่นละ”
“ตะอิฉันมินึกว่า จักหนักหนาถึงเพียงนี้”
“ช่างเถิดๆ ว่าแต่ จดหมายที่ฝากไปถึงพี่ภู... เขาได้อ่านฤๅหาไม่ ได้ตอบกระไรกลับมาบ้าง”
คนป่วยหนักพยายามฝืนตัวขึ้นจากที่นอน ท่าทางนั้นบอกชัดว่า คงเจ็บปวดทรมานไปตลอดตัว คนเพิ่งมาต้องช่วยประคอง รับรู้ได้ว่า วาดสะดุ้งนิดหนึ่ง อาจเพราะความปวดแปลบ ยามใครสัมผัสถูกร่างกาย แม้เพียงเบาๆ
“หมอภูต้องได้อ่านซีจ๊ะ นี้อิฉันยื่นให้เขาเองกับมือ แล้วยังได้รับจดหมายตอบกลับมาด้วย”
หล่อนรีบดึงแผ่นกระดาษออกมา ยื่นส่งให้ญาติผู้พี่
สิ่งที่พลอยเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือท่าทางของวาด ที่ดีใจหนักหนา รวมทั้งตอนระหว่างจะเปิดอ่านก็มือไม้สั่นไปหมด แม้รอยยิ้มที่เผย ทำให้แผลแห้งแตกบนริมฝีปากปริแยก มีเลือดซึมน่าสังเวช แต่วาดก็รีบเช็ด แล้วไม่สนใจอีกว่า มันยังไม่หยุดไหลซึมออกมา
สายตาวาวด้วยความสุขและความหวัง กวาดไล่ไปในแต่ละบรรทัดของกระดาษแผ่นน้อย ท่าทางวาดเหมือนเปี่ยมความสุข ทว่าสิ่งที่ร่างกายแสดงออกมา มันคล้ายเป็นตรงกันข้าม
“พี่จักตอบ พี่ต้องตอบจดหมายหาเขา ประคองพี่หน่อยนะพลอย...”
พลอยไม่ปรารถนาเลยสักนิด ที่จะให้วาดฝืนสังขาร ลุกขึ้นมาทำอะไรต่อมิอะไร ทั้งที่เพียงแค่ขยับหรือหายใจเข้าออก ก็ดูราวถูกทรมานไว้ด้วย เครื่องทัณฑกรรมที่มองไม่เห็น
ทว่า ยังไม่ทันที่พลอยจะช่วยพยุงกาย ทั้งร่างของวาดก็มีอันเกร็งกระตุกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหงายหลัง แล้วหมดสติไปเฉยๆ
นางรื่นกรีดร้องขึ้น รีบเข้าบีบคลึงและนวดเฟ้น แต่คนหมดสติยังไม่รู้สึกตัว
“รื่น รีบไปบอกคุณลุง นี้พี่วาดเป็นอันไรไปก็มิรู้”
คนรับคำสั่ง ผลุบหายออกไปทันที ไม่กี่อึดใจต่อมา ท่านเจ้าของเรือนก็ก้าวปึงๆ มาถึงห้องบุตรสาว ตรงเข้าสวมกอดและเขย่าร่างนั้น ราววาดจะฟื้นขึ้นมาได้ง่ายๆ
กระทั่งหมอเล็กหมอใหญ่ทั่วทั้งพระนคร มารวมตัวกันตรงนอกชานนั่นแล้ว ท่านเจ้าพระยาจึงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตนเองต้องวางตัวอย่างไร กับสถานการณ์อย่างนี้
“ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมขอดูสีหน้าของคุณหนูสักหน่อยขอรับ”
หลวงเวทเภสัชก็ถูกตามตัวมาด้วย หลังจากตรวจดูชีพจรแล้ว ก็ขอร้องไปดังนั้น โดยภูอินชะเง้อตามทันที ตั้งแต่นางรื่นยังไม่ทันจะทำตามคำร้องขอ
ผู้เป็นอาจารย์หันมาปรามศิษย์ด้วยสายตา ก่อนชะโงกเข้าไปมองดูดวงหน้าของธิดาเจ้าของเรือน แต่พอเห็นก็ถึงกับผงะ รีบถามนางบ่าวคนสนิท
“เมื่อเช้าเป็นเยี่ยงไร ไอฤาหาไม่ เพลาไอเป็นเยี่ยงไร”
“ไอโขลกๆ ตั้งตะรู้สึกตัวเลยละเจ้าค่ะ ตอนที่หายใจมิทัน หอบๆ อยู่พักก็ไออีก ซ้ำยังมีโลหิตตามออกมา”
หลวงเวทเภสัชได้ยินดังนั้น ก็ส่ายหน้าด้วยความหนักใจ
ท่าทางที่เห็นนั่น ทำให้พระยารัตนภักดี ซึ่งเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างยิ่งตระหนก เขานั่งไม่ติดที่ ลุกมาถามอาการถึงชิดตัวผู้เป็นแพทย์
“เป็นยังไรเล่าหลวงเวท นี้ลูกสาวข้าเป็นอันไรไปอีกแล้ว!”
“นั่นซีครับพ่อครู ชีพจร สีหน้าอาการของคุณวาดเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
ภูอินเป็นห่วงจนอดใจไว้ไม่ได้ ถูกบิดาของคนเจ็บค้อนให้ทีหนึ่ง พอหันไปสบตากับพลอย ก็ถูกหล่อนเมินหนี
ผู้เป็นอาจารย์ยกคิ้วให้กับคำถามของชายหนุ่ม เตือนให้เขารู้ตัวว่า กำลังยุ่มย่ามมากเกินไปแล้ว แต่ปากยังค่อยอธิบาย ให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน
“ชีพจรแผ่วเหลือเกิน ใบหน้าซีดเซียว ห้วงหายใจสั้นจนหน้าท้องไม่ได้สะท้อนขึ้นลงอย่างที่ควร เรียกว่า แม่วาดแทบจะหมดลมหายใจอยู่แล้ว...”
“แล้ว... แล้วมันแผ่วลงฤๅหาไม่”
ชายหนุ่มยังซักถาม ไม่เกรงว่าจะถูกตำหนิ
และคำตอบของหลวงเวท ก็คือการพยักหน้าให้ อย่างหมดหนทาง
“นั้น... นั้นก็หมายความว่า...”
“หมายความว่ายังไร หลวงเวท! รีบพูดออกมา!”
คำท้าย ท่านพระยาถึงกับตวาดเอากับคนยังอ้ำอึ้ง
“คือว่า ตอนนี้คล้ายมีสิ่งไรมิรู้ กำลังดูดกลืนกระแสปราณของธิดาท่าน ทีละน้อยๆ”
“อันไร! แล้วมันคือโรควิปริตพิสดารอันไร!”
“กระผมก็วินิจฉัยลำบาก บอกได้ตะเพียงว่า อาการของแม่วาด มีตะทรุดลงเรื่อยๆ”
คนพูดยังไม่กล่าวออกมาว่า คนเจ็บยังเหลือชีวิตอยู่ ไม่ถึงสามวันเจ็ดวันด้วยซ้ำ
“ก็กระไรเมื่อหลายวันก่อน หลวงเวทบอกเองว่า แม่วาดปลอดภัย มิเป็นอันไรแล้ว! ยาต้มยาหม้อ ยาพอกยาทาอะไรๆ ก็ให้งดได้ทั้งหมด แล้วนี้มันอันไร!”
บิดาของวาดแทบเก็บอารมณ์ไม่อยู่ อยากจะฟาดหน้าหลวงเวทสักตุ้บ แต่ภูอินแทรกเข้ามาเสียก่อน
“พ่อครู... ขอกระผมได้ตรวจดูคุณวาดสักหน่อย”
“วะ! อ้ายหนุ่ม น้ำหน้าอย่างน่ะรึจักบังอาจ นี้ขนาดหลวงเวท พ่อครูของยังส่ายหน้า แล้ววิเศษวิโสมาจากไหน!”
พระยารัตนภักดีผลักภูอินไม่ปรานี แต่แม้เขาจะหงายหลังไปกระแทกตู้ใบหนึ่ง ก็ยังรีบกลับเข้ามาขอร้องอีกรอบ
“หยุด! มิต้องพูดอันไรทั้งสิ้น อ้ายคนปากยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม”
คนห่วงลูกสาวหนัก ผลักอกชายหนุ่มอีกหลายครั้ง แต่เขาตั้งหลักได้แล้วจึงไม่ยอม ยังพยายามแทรกผ่านเข้าไป ให้ถึงตัวหญิงสาวให้ได้
“ทิดภู เอ็งใจเย็นๆ เสียก่อน ไปๆ ไปรอข้างนอก มิต้องอยู่ในห้องนี้แล้ว”
หลวงเวทเภสัชรู้ว่า หากศิษย์ตนยังดื้อดึงอยู่อย่างนี้ อาจมีคนต้องหลังลายกันบ้าง จึงรีบห้ามปราม และขับไล่ศิษย์เอกให้พ้นออกไป
รวมทั้งตัวผู้เป็นอาจารย์ของภูอินทร์เอง ก็เข้าหน้าท่านพระยาไม่ติด อึดใจต่อมา ก็ตามนางรื่นและพลอย หายออกไปเช่นกัน
เมื่อได้อยู่กันตามลำพังพ่อลูก บิดาก็เผยม่าน เพื่อพิจารณาดวงหน้าของธิดาคนเดียวอีกครั้ง... ไม่ใช่เขาไม่เคยเห็นความสะสวยเช่นนี้ เพราะมารดาของวาดนั่นละ ที่จัดว่าสวยยิ่งกว่าความสวยใดๆ จะประมวลไว้ได้
เห็นว่าวาดหายใจรวยริน คล้ายจะขาดใจอยู่เป็นระยะ ผู้มากวัยก็ถึงกับหลั่งน้ำตา นึกเคืองแค้น ไปถึงคนที่สาปแช่ง ให้ตนและบุตรสาว ต้องมีชีวิตเป็นเช่นนี้
พระยารัตนภักดีถอยกลับมา ทรุดลงนั่งใกล้ตั่งแต่งหน้าของบุตรสาว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นจดหมายน้อยฉบับหนึ่ง เส้นลายมือคมชัดเป็นระเบียบ เปี่ยมไปด้วยพลังความมั่นใจ วิธีการดั่งนี้... ทำให้ผู้มากวัย นึกถึงกรณีของตนเองเมื่อหนหลัง ที่มันเริ่มต้นจากจดหมายน้อย บันทึกเพลงยาวแบบนี้ เช่นกัน...
ทว่า... อีกภาพกลับแทรกซ้อนเข้ามาในห้วงมโน
คราวนั้น เพราะเขารู้ทีหลังว่า แท้ที่จริงมารดาของวาด เป็นนางสางแปลงตัวมา เมื่อเกิดมีปากเสียง ถูกนางด่าทอ กล่าวหาว่าเขาก็ไม่ต่างกับเดรัจฉาน จึงย้อนกลับไปว่าถึงอย่างไร ก็ไม่เคยได้หลอกลวงคนกันเอง ไม่เหมือนนางเสือนางสางที่กระสันมาสมสู่
“แม่วาดเป็นลูกสาวข้า เป็นแก้วตาดวงใจของข้า ไม่มีวันเสียหรอกที่จะยอมให้เสือสางอย่างเอ็งเอาไปเลี้ยงดู!”
สุดท้ายเขาพูดไปดังนั้น เมื่อนางสางแปลงยืนยันว่า จะเอาลูกจากไป
แล้วก็คราวนั้นละ ที่ธิดาของท่านเจ้าพระยาต้องคำสาป...
เป็นคำสาปจากแม่แท้ๆ ของหล่อนเอง...
นางสางแปลงผู้ผิดหวังนัก กับความรักครั้งสุดท้าย ถึงกับประกาศต่อฟ้าดินว่า
“ได้! อย่างนั้นก็ได้! ในเมื่อแม่วาดเป็นแก้วตาดวงใจ ข้าก็จะให้แก้วตาดวงใจนี้ละแหลกสลาย จำไว้นะคุณพระ หากท่านไม่ลด ไม่ละ ไม่เลิก การคิดฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำนาบนหลังคนเยี่ยงวันนี้ คนจะรับเคราะห์ รับบาปรับกรรมคนแรกก็จะคือแม่วาด ยิ่งท่านกระทำการชั่วร้ายเท่าไร ความเจ็บปวดทรมานของแม่วาด ก็จะทบขึ้นเป็นทวีคูณ กระทั่ง แก้วตาดวงใจของท่านดับสูญนั่นละ ความเจ็บปวดทั้งหลายทั้งปวง ก็จะตกมาแก่ท่าน!”
(มีต่อในคคห.ที่1)
นวนิยาย : นางสาป : บทที่ 10-11
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
---------------------------------
สวัสดีครับ
พูดถึงการเดินทางสู่สำนักพิมพ์ของ "นางสาป" แล้วก็คล้ายๆ กับคราวที่ "บ่วงอุรคา" เคยเป็น คือเดินทางแบบไม่ผ่านพิจารณาและคนเขียนไม่ยอมแก้ไขใดๆ เมื่อสนพ.นั้นๆ ให้ความคิดเห็นประกอบมาด้วย ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีเวลา "รื้อ" ความแน่นหนาที่คนเขียนคิดว่าประกอบร่างไว้ดีแล้ว เนื่องจากต้องทำการบ้านมากกับพื้นหลังทางประวัติศาตร์ เมื่อคราว "บ่วงอุรคา" นั้น สืบค้นไปทางทวารวดี กลุ่มเมืองเก่าแถบภาคตะวันตกข้ามแดนไปเขตประเทศเพื่อนบ้าน ส่วน "นางสาป" เป็นยุคเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์ปราสาททอง สู่ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซึ่งมีทั้งบันทึกของผู้ชนะ ผู้แพ้ และประเภทพงศาวดารกระซิบ ที่ต้องวางไว้เป็นพื้นที่สมจริงสมจังกับการดำเนินเรื่องราว
และด้วยเหตุนั้น บ่วงอุรคา จึงมีความ "สมจริงเกินไป" ขณะที่มีเสียงวิจารณ์ว่า "มันไม่มีจริง" เกิดขึ้นพร้อมกัน ความแตกต่างนี้คนเขียนรู้ดีว่าเพราะอะไร นั่นจึงเป็นส่วนที่ทำให้ ปล่อยให้ "บ่วงอุรคา" เดินทา
ไปหาสนพ.ที่เหมาะกับตัวเอง จนกระทั่งได้เจอ
เช่นเดียวกับ "นางสาป" ที่คนเขียนไม่ยอมแก้ไข ข้อวิจารณ์ที่ว่า "เกินจริง" หรือ "เอาฝันกับจริงมาปะปนกันมากเกินไป" เพราะคนเขียนสร้าง "นิยาย" และรู้ว่ายังมีนิยายอีกประเภทหนึ่ง ที่สามารถสร้างสรรค์ให้โลกจริงกับความลวง ซ้อนซับอยู่ด้วยกันได้ และด้วยเหตุนี้ เมื่อคนเขียนปล่อย "นางสาป" ให้เดินทางหาสถานที่เหมาะสมสำหรับตนเอง โดยคงความเป็นตัวตนของนางสาปเอาไว้ แม้จะลุ้นใจหายใจคว่ำหลายครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็เจอสถานที่ของตนเอง และพร้อมจะได้นำเสนอผ่านหน้ากระดาษ ได้พาเธอไปร่วมหย่อนใจกับทุกสถานที่ที่นักอ่านทั้งหลายชอบพกพานิยาย(ดีๆ)สักเรื่องไปอ่านฆ่าเวลา
ส่วนในถนนนักเขียน คนเขียนจะวางนางสาปจนจบครับ ก่อนนิยายวางแผง หรืออาจมีช่องทางให้เพื่อนชาวถนนได้ตามอ่านจนจบได้แน่ๆ
ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกโหวต ทุกไลท์ เช่นเคยนะครับ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของ คุณ สมช.3206829 คุณดาว919 คุณลิ และอ.จี ขอบคุณคุณอุรุเวลา ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, Lady Star 919 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 868666 ถูกใจ, GTW ถูกใจ, ลายลิขิต ทึ่ง, ออมอำพัน ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ
-------------------------------------------------------------
นางสาป
บทที่ 10
รุ่งขึ้น พลอยมาเยี่ยมหาวาดแต่เช้า เมื่อนางรื่นบอกว่า นายหญิงของตนป่วยกะทันหัน อาการหนักจนลุกไม่ขึ้น หล่อนก็ตรงเข้าไปถึงชิดที่นอน
“เกิดอะไรขึ้นพี่วาด... เมื่อวานยังดีๆ กระไรวันนี้ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ”
ดวงหน้าอันเคยงดงามหมดจด ของคนที่นอนบนเตียง บัดนี้ซีดเผือดไม่มีสีเลือด ริมฝีปากแห้งแตกจนปรากฏเป็นริ้วโลหิต ราวคนจับไข้หนัก ขาดน้ำขาดอาหารมาแล้วหลายวัน
“มิกระไรดอก พี่เป็นเยี่ยงนี้เอง สามวันดีสี่วันไข้ ก็ที่เขาว่ากันนั่นละ”
“ตะอิฉันมินึกว่า จักหนักหนาถึงเพียงนี้”
“ช่างเถิดๆ ว่าแต่ จดหมายที่ฝากไปถึงพี่ภู... เขาได้อ่านฤๅหาไม่ ได้ตอบกระไรกลับมาบ้าง”
คนป่วยหนักพยายามฝืนตัวขึ้นจากที่นอน ท่าทางนั้นบอกชัดว่า คงเจ็บปวดทรมานไปตลอดตัว คนเพิ่งมาต้องช่วยประคอง รับรู้ได้ว่า วาดสะดุ้งนิดหนึ่ง อาจเพราะความปวดแปลบ ยามใครสัมผัสถูกร่างกาย แม้เพียงเบาๆ
“หมอภูต้องได้อ่านซีจ๊ะ นี้อิฉันยื่นให้เขาเองกับมือ แล้วยังได้รับจดหมายตอบกลับมาด้วย”
หล่อนรีบดึงแผ่นกระดาษออกมา ยื่นส่งให้ญาติผู้พี่
สิ่งที่พลอยเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือท่าทางของวาด ที่ดีใจหนักหนา รวมทั้งตอนระหว่างจะเปิดอ่านก็มือไม้สั่นไปหมด แม้รอยยิ้มที่เผย ทำให้แผลแห้งแตกบนริมฝีปากปริแยก มีเลือดซึมน่าสังเวช แต่วาดก็รีบเช็ด แล้วไม่สนใจอีกว่า มันยังไม่หยุดไหลซึมออกมา
สายตาวาวด้วยความสุขและความหวัง กวาดไล่ไปในแต่ละบรรทัดของกระดาษแผ่นน้อย ท่าทางวาดเหมือนเปี่ยมความสุข ทว่าสิ่งที่ร่างกายแสดงออกมา มันคล้ายเป็นตรงกันข้าม
“พี่จักตอบ พี่ต้องตอบจดหมายหาเขา ประคองพี่หน่อยนะพลอย...”
พลอยไม่ปรารถนาเลยสักนิด ที่จะให้วาดฝืนสังขาร ลุกขึ้นมาทำอะไรต่อมิอะไร ทั้งที่เพียงแค่ขยับหรือหายใจเข้าออก ก็ดูราวถูกทรมานไว้ด้วย เครื่องทัณฑกรรมที่มองไม่เห็น
ทว่า ยังไม่ทันที่พลอยจะช่วยพยุงกาย ทั้งร่างของวาดก็มีอันเกร็งกระตุกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหงายหลัง แล้วหมดสติไปเฉยๆ
นางรื่นกรีดร้องขึ้น รีบเข้าบีบคลึงและนวดเฟ้น แต่คนหมดสติยังไม่รู้สึกตัว
“รื่น รีบไปบอกคุณลุง นี้พี่วาดเป็นอันไรไปก็มิรู้”
คนรับคำสั่ง ผลุบหายออกไปทันที ไม่กี่อึดใจต่อมา ท่านเจ้าของเรือนก็ก้าวปึงๆ มาถึงห้องบุตรสาว ตรงเข้าสวมกอดและเขย่าร่างนั้น ราววาดจะฟื้นขึ้นมาได้ง่ายๆ
กระทั่งหมอเล็กหมอใหญ่ทั่วทั้งพระนคร มารวมตัวกันตรงนอกชานนั่นแล้ว ท่านเจ้าพระยาจึงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตนเองต้องวางตัวอย่างไร กับสถานการณ์อย่างนี้
“ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมขอดูสีหน้าของคุณหนูสักหน่อยขอรับ”
หลวงเวทเภสัชก็ถูกตามตัวมาด้วย หลังจากตรวจดูชีพจรแล้ว ก็ขอร้องไปดังนั้น โดยภูอินชะเง้อตามทันที ตั้งแต่นางรื่นยังไม่ทันจะทำตามคำร้องขอ
ผู้เป็นอาจารย์หันมาปรามศิษย์ด้วยสายตา ก่อนชะโงกเข้าไปมองดูดวงหน้าของธิดาเจ้าของเรือน แต่พอเห็นก็ถึงกับผงะ รีบถามนางบ่าวคนสนิท
“เมื่อเช้าเป็นเยี่ยงไร ไอฤาหาไม่ เพลาไอเป็นเยี่ยงไร”
“ไอโขลกๆ ตั้งตะรู้สึกตัวเลยละเจ้าค่ะ ตอนที่หายใจมิทัน หอบๆ อยู่พักก็ไออีก ซ้ำยังมีโลหิตตามออกมา”
หลวงเวทเภสัชได้ยินดังนั้น ก็ส่ายหน้าด้วยความหนักใจ
ท่าทางที่เห็นนั่น ทำให้พระยารัตนภักดี ซึ่งเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างยิ่งตระหนก เขานั่งไม่ติดที่ ลุกมาถามอาการถึงชิดตัวผู้เป็นแพทย์
“เป็นยังไรเล่าหลวงเวท นี้ลูกสาวข้าเป็นอันไรไปอีกแล้ว!”
“นั่นซีครับพ่อครู ชีพจร สีหน้าอาการของคุณวาดเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
ภูอินเป็นห่วงจนอดใจไว้ไม่ได้ ถูกบิดาของคนเจ็บค้อนให้ทีหนึ่ง พอหันไปสบตากับพลอย ก็ถูกหล่อนเมินหนี
ผู้เป็นอาจารย์ยกคิ้วให้กับคำถามของชายหนุ่ม เตือนให้เขารู้ตัวว่า กำลังยุ่มย่ามมากเกินไปแล้ว แต่ปากยังค่อยอธิบาย ให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน
“ชีพจรแผ่วเหลือเกิน ใบหน้าซีดเซียว ห้วงหายใจสั้นจนหน้าท้องไม่ได้สะท้อนขึ้นลงอย่างที่ควร เรียกว่า แม่วาดแทบจะหมดลมหายใจอยู่แล้ว...”
“แล้ว... แล้วมันแผ่วลงฤๅหาไม่”
ชายหนุ่มยังซักถาม ไม่เกรงว่าจะถูกตำหนิ
และคำตอบของหลวงเวท ก็คือการพยักหน้าให้ อย่างหมดหนทาง
“นั้น... นั้นก็หมายความว่า...”
“หมายความว่ายังไร หลวงเวท! รีบพูดออกมา!”
คำท้าย ท่านพระยาถึงกับตวาดเอากับคนยังอ้ำอึ้ง
“คือว่า ตอนนี้คล้ายมีสิ่งไรมิรู้ กำลังดูดกลืนกระแสปราณของธิดาท่าน ทีละน้อยๆ”
“อันไร! แล้วมันคือโรควิปริตพิสดารอันไร!”
“กระผมก็วินิจฉัยลำบาก บอกได้ตะเพียงว่า อาการของแม่วาด มีตะทรุดลงเรื่อยๆ”
คนพูดยังไม่กล่าวออกมาว่า คนเจ็บยังเหลือชีวิตอยู่ ไม่ถึงสามวันเจ็ดวันด้วยซ้ำ
“ก็กระไรเมื่อหลายวันก่อน หลวงเวทบอกเองว่า แม่วาดปลอดภัย มิเป็นอันไรแล้ว! ยาต้มยาหม้อ ยาพอกยาทาอะไรๆ ก็ให้งดได้ทั้งหมด แล้วนี้มันอันไร!”
บิดาของวาดแทบเก็บอารมณ์ไม่อยู่ อยากจะฟาดหน้าหลวงเวทสักตุ้บ แต่ภูอินแทรกเข้ามาเสียก่อน
“พ่อครู... ขอกระผมได้ตรวจดูคุณวาดสักหน่อย”
“วะ! อ้ายหนุ่ม น้ำหน้าอย่างน่ะรึจักบังอาจ นี้ขนาดหลวงเวท พ่อครูของยังส่ายหน้า แล้ววิเศษวิโสมาจากไหน!”
พระยารัตนภักดีผลักภูอินไม่ปรานี แต่แม้เขาจะหงายหลังไปกระแทกตู้ใบหนึ่ง ก็ยังรีบกลับเข้ามาขอร้องอีกรอบ
“หยุด! มิต้องพูดอันไรทั้งสิ้น อ้ายคนปากยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม”
คนห่วงลูกสาวหนัก ผลักอกชายหนุ่มอีกหลายครั้ง แต่เขาตั้งหลักได้แล้วจึงไม่ยอม ยังพยายามแทรกผ่านเข้าไป ให้ถึงตัวหญิงสาวให้ได้
“ทิดภู เอ็งใจเย็นๆ เสียก่อน ไปๆ ไปรอข้างนอก มิต้องอยู่ในห้องนี้แล้ว”
หลวงเวทเภสัชรู้ว่า หากศิษย์ตนยังดื้อดึงอยู่อย่างนี้ อาจมีคนต้องหลังลายกันบ้าง จึงรีบห้ามปราม และขับไล่ศิษย์เอกให้พ้นออกไป
รวมทั้งตัวผู้เป็นอาจารย์ของภูอินทร์เอง ก็เข้าหน้าท่านพระยาไม่ติด อึดใจต่อมา ก็ตามนางรื่นและพลอย หายออกไปเช่นกัน
เมื่อได้อยู่กันตามลำพังพ่อลูก บิดาก็เผยม่าน เพื่อพิจารณาดวงหน้าของธิดาคนเดียวอีกครั้ง... ไม่ใช่เขาไม่เคยเห็นความสะสวยเช่นนี้ เพราะมารดาของวาดนั่นละ ที่จัดว่าสวยยิ่งกว่าความสวยใดๆ จะประมวลไว้ได้
เห็นว่าวาดหายใจรวยริน คล้ายจะขาดใจอยู่เป็นระยะ ผู้มากวัยก็ถึงกับหลั่งน้ำตา นึกเคืองแค้น ไปถึงคนที่สาปแช่ง ให้ตนและบุตรสาว ต้องมีชีวิตเป็นเช่นนี้
พระยารัตนภักดีถอยกลับมา ทรุดลงนั่งใกล้ตั่งแต่งหน้าของบุตรสาว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นจดหมายน้อยฉบับหนึ่ง เส้นลายมือคมชัดเป็นระเบียบ เปี่ยมไปด้วยพลังความมั่นใจ วิธีการดั่งนี้... ทำให้ผู้มากวัย นึกถึงกรณีของตนเองเมื่อหนหลัง ที่มันเริ่มต้นจากจดหมายน้อย บันทึกเพลงยาวแบบนี้ เช่นกัน...
ทว่า... อีกภาพกลับแทรกซ้อนเข้ามาในห้วงมโน
คราวนั้น เพราะเขารู้ทีหลังว่า แท้ที่จริงมารดาของวาด เป็นนางสางแปลงตัวมา เมื่อเกิดมีปากเสียง ถูกนางด่าทอ กล่าวหาว่าเขาก็ไม่ต่างกับเดรัจฉาน จึงย้อนกลับไปว่าถึงอย่างไร ก็ไม่เคยได้หลอกลวงคนกันเอง ไม่เหมือนนางเสือนางสางที่กระสันมาสมสู่
“แม่วาดเป็นลูกสาวข้า เป็นแก้วตาดวงใจของข้า ไม่มีวันเสียหรอกที่จะยอมให้เสือสางอย่างเอ็งเอาไปเลี้ยงดู!”
สุดท้ายเขาพูดไปดังนั้น เมื่อนางสางแปลงยืนยันว่า จะเอาลูกจากไป
แล้วก็คราวนั้นละ ที่ธิดาของท่านเจ้าพระยาต้องคำสาป...
เป็นคำสาปจากแม่แท้ๆ ของหล่อนเอง...
นางสางแปลงผู้ผิดหวังนัก กับความรักครั้งสุดท้าย ถึงกับประกาศต่อฟ้าดินว่า
“ได้! อย่างนั้นก็ได้! ในเมื่อแม่วาดเป็นแก้วตาดวงใจ ข้าก็จะให้แก้วตาดวงใจนี้ละแหลกสลาย จำไว้นะคุณพระ หากท่านไม่ลด ไม่ละ ไม่เลิก การคิดฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำนาบนหลังคนเยี่ยงวันนี้ คนจะรับเคราะห์ รับบาปรับกรรมคนแรกก็จะคือแม่วาด ยิ่งท่านกระทำการชั่วร้ายเท่าไร ความเจ็บปวดทรมานของแม่วาด ก็จะทบขึ้นเป็นทวีคูณ กระทั่ง แก้วตาดวงใจของท่านดับสูญนั่นละ ความเจ็บปวดทั้งหลายทั้งปวง ก็จะตกมาแก่ท่าน!”
(มีต่อในคคห.ที่1)