[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทนำและบทที่หนึ่ง
https://ppantip.com/topic/36104509
บทที่สองและบทที่สาม
https://ppantip.com/topic/36165235
บทที่สี่และบทที่ห้า
https://ppantip.com/topic/36177683
บทที่หกและบทที่เจ็ด
https://ppantip.com/topic/36200757
******************************************
สวัสดีครับ
นางสาปที่เคยแจ้งว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการพิมพ์ มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรของสำนักพิมพ์นั้น ความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อๆ ไปครับว่า นางสาป จะได้คลอดออกมาเมื่อไร
ส่วนที่วางในถนนนักเขียนนี้ ก็จะวางต่อไปจนจบตามที่บอกครับ และเช่นเคยต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม นางสาป มาโดยตลอด
ขอบคุณสำหรับทุกโหวต ทุกไลค์ จากคุณ Lady Star 919 ถูกใจ, GTW ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, ออมอำพัน ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ, ลายลิขิต หลงรัก, สมาชิกหมายเลข 868666 ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ
ขอบคุณสองความคิดเห็นแสนอบอุ่น จากคุณลายลิขิต และอ.จีทีดับเบิ้ลยู
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน นางสาป ครับผม
ผมเอง เพลงเกือบพัน
**********************************************************
นางสาป บทที่ 8
ภายในวัดท้ายเมืองเงียบสงบ สมภารเจ้าวัดจัดการให้รอบบริเวณ เตียนเรียบเป็นอันดี และเพราะตั้งอยู่ข้างฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำพระยา จึงรอดพ้นจากการรุกรานของพม่าข้าศึก ทำให้โบสถ์วิหาร และเจดียสถานต่างๆ ยังงดงามสมบูรณ์
แต่พลอยพาวาดเดินลึกเข้าไปด้านหลัง ตรงสุดเขตวัดที่เป็นสระน้ำกว้างใหญ่ ต้องเลาะหลีกสุมทุมพุ่มไม้เข้าไปเสียก่อน จึงจะได้เห็นความงามของทุ่งดอกบัวสะพรั่งบาน
คนริจะทำตัวเป็นแม่สื่อ บอกให้นางรื่นนางเรียมหยุดไว้ตรงหน้าพุ่มไม้ใหญ่ นั่งเล่นรอที่แคร่ใต้ต้นพิกุล แล้วตนกับบุตรีผู้เป็นนายของพวกนาง จะเข้าไปชมบรรยากาศเพียงลำพัง
“เถิดค่ะคุณพลอย พวกอิฉันมิใช่หูหนาตาเร่อ รู้อยู่รู้กินดอกเจ้าค่ะ อันไรที่ทำให้คุณวาดสบายใจ พวกอิฉันก็พร้อมสนับสนุน เพียงตะว่า...”
นี้เป็นถ้อยคำ ที่สองนางบ่าวสลับกันพูดไปมา เมื่อพลอยจะกำชับความ
“...ฉันเอาหัวเป็นประกันเลยนะ พี่รื่นพี่เรียม รับรองว่าเรื่องนี้ จักมิรู้ไปถึงหูท่านพระยาเด็ดขาด ขอแค่พี่สาวสองคน ดูทางหนีทีไล่ไว้ให้จงดี”
จากนั้นพลอยก็ยัดอัฐใส่มือนางบ่าวทั้งคู่จำนวนหนึ่ง แล้วรีบกลับมาสมทบกับวาด ซึ่งกำลังตื่นตาตื่นใจ กับทิวทัศน์วิจิตรงดงามตรงหน้า อันมีศาลาท่าน้ำโปร่งสบายตั้งเด่นตระหง่าน พร้อมฉากหลังเป็นทุ่งนาบัวสีสดสล้าง
และเพราะภาพฟุ้งฝันนั้นกระจ่างแสง สองสาวจึงยังไม่ทันได้เห็น ใครอีกคน ยืนซ่อนเงาอยู่ใต้ร่มศาลา
จนกระทั่งพลอยพาวาดเดินใกล้เข้ามา หญิงสาวผู้พี่ซึ่งกำลังรู้สึกประดักประเดิดเขินอายอย่างหนัก ก็แทบจะถอดใจ หันหลังกลับไปตั้งหลักเสียก่อน
พลอยยุดแขนหล่อนเอาไว้ ทำให้วาดได้แต่ก้มหน้างุด ค่อยๆ สืบเท้า คล้ายไม่อยากเดินให้ถึงจุดหมาย
วันนี้สองสุภาพสตรีแห่งกรุงศรีอยุธยา จัดแจงผ้านุ่งผ้าห่มได้เรียบร้อยสวยงาม เหมาะสมทุกประการ กับการพากันมากราบพระขอพร กระนั้นชายหนุ่มผู้ยืนรออยู่ก่อน ยังอดชื่นชมไม่ได้ว่า ทั้งสองสาว ต่างมีรูปโฉมงดงาม ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด เพียงแค่วาดนั้นสวยดั่งวาดสมชื่อ ส่วนพลอยก็ส่งประกายสดใสออกมาได้สมนาม
กระทั่งมายืนอยู่ต่อหน้ากันแล้ว วาดยังก้มหน้า ไม่ยอมสบสายตาใครๆ หรือคิดชื่นชมบรรยากาศรอบตัวอีกเลย
“คุณ... แม่วาด...”
เสียงท้ายที่ภูอินทักทาย แทบแห้งหายลงไปในลำคอ เพราะนี้ก็เป็นครั้งแรกของตน กับการนัดหญิงสาวออกมาพบหากันดังนี้
“เชิญนั่งก่อนเถิด ฉันเตรียมน้ำร้อนน้ำชา ผลหมากผลไม้ไว้แล้ว”
เมื่อคนหนึ่งยังไม่เอ่ยอะไรสักคำ พลอยจึงพูดขึ้นเสียเอง
“ช่างรอบคอบเสียจริงๆ นะเจ้าคะ”
หล่อนประชดประชันให้ได้ยินกันชัดๆ
แต่พอสองหนุ่มสาวไม่ได้สนใจจะตอบคำ หล่อนก็ต้องถอนหายใจ ตอนนี้คนทั้งคู่ต่างกระทำเพียงสบตาอีกฝ่าย นิ่ง นาน ราวต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์หรือไม่ก็ห้วงฝัน
“ใช่ฤๅมิใช่!”
พลอยต้องกระชากถามด้วยเสียงห้วนๆ อีกครั้ง อยากให้ชายหนุ่มตกใจ เหมือนอย่างที่หล่อนเคยเห็นเขาทำเป็นขวัญอ่อนอยู่สามสี่ครั้ง
ทว่ายามอยู่ต่อหน้าวาด ภูอินกลับกลายเป็นคนละคน ทั้งสองไหล่และแผ่นหลังหยัดตรงกว่าปกติ ท่วงทีสง่าผ่าเผย ดวงหน้าหล่อคม ยังเพิ่มประกายปรารถนาในนัยน์ตาขึ้นมาอีกหลายส่วน
รวมทั้ง... หล่อนต้องแปลกใจ กับน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ที่เอ่ยออกมาว่า
“นี้เพราะทราบดีว่า แม่วาดชอบฟังเรื่องราวต่างๆ หากได้มานั่งเล่น ณ ศาลาริมสระบัวเยี่ยงนี้ มีน้ำฝนเย็นๆ มีผลไม้หอมหวาน ก็คงจักสร้างความรื่นรมย์ได้มิน้อย จึงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้เช่นนี้”
คำพูดยาวๆ ล้วนคล้ายไม่ได้ตั้งใจจะตอบคำ แต่เป็นการบอกเล่า เฉพาะเขากับวาดมากกว่า เมื่อพลอยรู้สึกได้ว่า ตนกลายเป็นส่วนเกิน จึงรีบขอตัวออกมา
“แม่วาด วันนี้อยากฟังเรื่องอันไรเป็นพิเศษ บ้างฤๅหาไม่”
ยิ่งเมื่อเขาเอ่ยชื่อหญิงสาวที่รัก น้ำเสียงนั้นก็ยิ่งนุ่มละมุนชวนฝัน จนพลอยอดรู้สึกไม่ได้ว่า หากมีใครสักคน มาพูดจากับหล่อนแบบนี้บ้าง ก็คงจะดี...
พลอยไม่ได้เดินกลับมา ทางที่นางรื่นกับนางเรียมคอยดูต้นทาง หล่อนเลี้ยวซ้ายพ้นแนวพุ่มไม้ออกมา นั่งจ่อมลงตรงที่จะเห็นศาลา ซึ่งสองหนุ่มสาวกำลังยิ้มแย้ม สนทนากันอย่างหวานชื่น
หญิงสาวรู้สึกแปลบๆ แปลกๆ กับสิ่งที่เห็น แต่ก็กลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นไว้ ด้วยหน้าที่สำคัญ คือเฝ้าระแวดระวัง ไม่ให้มีอะไรเกินเลย
พอน้ำตารื้นขึ้นมาเฉยๆ ก็กรีดทิ้งเสีย ใจคอเหมือนอยากสะอื้นไห้เพราะความว้าเหว่เดียวดาย แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า ยังมีพ่อมีแม่ ยังมีพี่แสนไว้คอยต่อล้อต่อเถียงด้วยอีกทั้งคน
เพราะพลอยวกเวียนอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง พร้อมกับทอดสายตาไป ตรงเฉพาะที่หนุ่มสาวกำลังเสมือนจะพรอดรักกันอยู่ จึงไม่ทันสังเกตสิ่งผิดปกติที่อยู่ใกล้
นั่นคือนางสางขนา ซึ่งเพิ่งได้โอกาสลอบติดตามหล่อนในวันนี้ เพื่อหาจังหวะเข้าควบคุมร่างกายของพลอย อาศัยให้ขโมยดาบน้ำพี้ปราบมนตร์มาร
เวลานี้นางสางรูปสวย ทอดตามองตามสายตาของหญิงสาว คนที่นางอยากใช้เป็นเครื่องมือ จนกระทั่ง...เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวในศาลาชวนสบายนั่น ก็ถึงกับตกตะลึง มุ่งความสนใจไปที่การติดตามดูอากัปกิริยา ทุกท่วงทีของทั้งคู่อย่างเพลิดเพลิน
เวลาแห่งความสุขคงรวดเร็ว เพราะต่างคนต่างสรรหาสิ่งต่างๆ มาแลกเปลี่ยน เล่าสู่กันฟังได้หลายหลาก บางตอนทั้งนางขนาและพลอย ได้ยินเสียงเอื้อนเอ่ยบทดอกสร้อยสักวา ลอยมาตามลม เสียงของชายหนุ่มอันทุ้มนุ่มละมุมละไม จับความตอนหนึ่งได้ว่า
“...สุดเอย สุดใจ ไกลเนตรพี่แล้วเจ้าแก้วตา
สุดที่จักเล็งแลหา เจ้าแล้วแลนากลอยใจ...
สุดโหยสุดไห้อาไลยนัก สุดรักสุดจิตต์พิสมัย
ดังจักสุดชีวิตจิตต์ใจ พ่างเพียงจักสิ้นสุดปราณฯ”
ส่วนเสียงของวาด ก็หวานหยด กังวานวิเวกอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์กำลังยอแสง ในถ้อยคำที่โต้ตอบด้วยปฏิภาณนั้น ก็ไว้เนื้อไว้ตัวได้อย่างน่าชม ดังที่หล่อนบอกเขาว่า
“...สุดเอยสุดจิตต์ ช่างประดิษฐ์กล้องแกล้งแถลงสาร
จักมาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน คำหวานจักให้ละลานใจ
คารมเจ้าคือคมกรด จักอดจักลดกะไรได้
เจ้าอย่าสิ้นสุดอาไลย เกี้ยวพานไปเถิดเจ้าตาเพราฯ...”*
*บทดอกสร้อยครั้งกรุงเก่า หนังสือ ดอกสร้อยสวรรค์ :กระทรวงธรรมการและกรมศึกษาธิการ (สะกดการันต์ตามต้นฉบับ)
และเมื่อสองหนุ่มสาวทบทวนซักซ้อมท่วงทำนอง แล้วเอ่ยเอื้อนคลอเคลียเข้าจังหวะ รับส่งกันคนละท่อนคนละวรรค คนได้ยินทั้งที่อยู่ในอารมณ์เหว่ว้าอย่างพลอย และในอารมณ์เคียดแค้นชิงชังอย่างนางสางขนา ก็ต่างพากันหลงเพลิน จนตะวันคล้อยต่ำลงอีกเป็นอันมาก ก็ยังไม่รู้สึกกระไร
“คุณพลอยเจ้าคะ บอกคุณวาดให้นิดเถิดค่ะ นี้เย็นมากแล้ว หากมืดค่ำ กว่าจะถึงเรือนเกรงว่า จักปกปิดคุณท่านไว้มิได้”
คนถูกร้องขอพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้กระดากใจอยู่บ้าง ที่จะต้องเข้าไปขัดจังหวะคู่รักตรงนั้น แต่จะปล่อยให้เสียเวลา ก็คงไม่ดีแน่ๆ
พลอยค่อยเลียบเคียง ส่งเสียงนำเข้าไป ก่อนตัวจะถึงร่มศาลา
“เย็นมากแล้วนะจ๊ะพี่วาด เราคงต้องกลับกันแล้ว นะเจ้าคะคุณหมอ...”
คำท้ายใครฟังก็รู้ว่า หล่อนประชดยกย่องตำแหน่งนั้นให้ ทั้งที่ไม่เชื่อถือ
แต่สองคนตรงหน้า คล้ายไม่มีปฏิกิริยา กับวาจาประชดประชัดของพลอย และหล่อนเองยังรู้สึกว่า บรรยากาศรอบกายคล้ายดับวูบ มืดสนิทลงทันที เมื่อเห็นสีหน้าของคนทั้งคู่
“พี่ภูจ๊ะ นี้ก็เย็นมากแล้วจริงๆ...”
หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งไปอึดใจใหญ่ วาดก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะสบสายตากันเงียบๆ อีกครั้ง
“แม่วาด... แม่วาดก็ต้องกลับเรือนดีๆ ระวังๆ ด้วยหนา”
คล้ายเขาไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ท่าทางนั้นเหมือนอยากจับมือหญิงสาวมากอบกุมเอาไว้ เพื่อถ่ายทอดความห่วงใยจากใจจริง
“พี่ภูก็ด้วยนะจะ รักษาเนื้อรักษาตัว”
“พุโธ่พุทัง... มัวตะโอ้เอ้กันอยู่ จนทุกคนนั่นละ ที่จักมิปลอดภัย!”
พลอยอดรำคาญไม่ได้ จึงเอ่ยไปดังนั้น
จากนั้นก็คว้าแขนหญิงสาวผู้พี่ พากันกลับมาสมทบกับนางรื่นนางเรียม
ทิ้งให้ภูอินได้แต่มองตาม ด้วยความรู้สึกแห้งระโหยอยู่ในอก
บรรยากาศจากลากันเช่นนั้น ไม่ได้รอดพ้นสายตา ของนางสางขนาแม้พริบตาเดียว และยิ่งเมื่อวาดเดินผ่านไปให้เห็นได้ชัดๆ นางก็ถึงกับต้องพึมพำออกมา...
“กวาดตาทั่วแผ่นดิน ตั้งตะข้าเกิดจนวันนี้ ยังจักหาผู้หญิงหน้าตาสวยสะขนาดนี้ได้อีกฤๅ...”
แต่ก็เพียงแค่นั้น เพราะนางสางผู้เพิ่งสูญเสียคู่รัก ติดอกติดใจชายหนุ่มตรงโน้นมากกว่า
“นั่นก็กระไร... หล่อเหลาเกลากลึงเสียมิมีที่ติ รูปงามกว่าพี่สิขรของข้าสักร้อยเท่าพันเท่าได้กระมัง... มินึกเลยว่า จักมีผู้ชายหน้าตาดีจัดขนาดนี้ เล็ดรอดสายตาข้าไปได้”
นางสางขนารอท่าภูอินอยู่อีกนาน จนตะวันลับทิวไม้ พ้นพลบค่ำ กระทั่งแสงดาวกระจ่างตา ชายหนุ่มก็ยังอยู่ในอาการเหม่อลอยเช่นเดิม
เมื่อเข้าใจจนได้ว่า ชายหนุ่มกำลังตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความรัก แบบไม่อาจถอนตัวได้แน่ๆ แผนการบางอย่างก็เกิดขึ้นเงียบๆ จากนั้นนางสางร้ายก็หันกลับไปสนใจ ภารกิจสำคัญ
(มีต่อคคห.ที่1)
นวนิยาย : นางสาป : บทที่ 8-9
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
******************************************
สวัสดีครับ
นางสาปที่เคยแจ้งว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการพิมพ์ มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรของสำนักพิมพ์นั้น ความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อๆ ไปครับว่า นางสาป จะได้คลอดออกมาเมื่อไร
ส่วนที่วางในถนนนักเขียนนี้ ก็จะวางต่อไปจนจบตามที่บอกครับ และเช่นเคยต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม นางสาป มาโดยตลอด
ขอบคุณสำหรับทุกโหวต ทุกไลค์ จากคุณ Lady Star 919 ถูกใจ, GTW ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, ออมอำพัน ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ, ลายลิขิต หลงรัก, สมาชิกหมายเลข 868666 ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ
ขอบคุณสองความคิดเห็นแสนอบอุ่น จากคุณลายลิขิต และอ.จีทีดับเบิ้ลยู
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน นางสาป ครับผม
นางสาป บทที่ 8
ภายในวัดท้ายเมืองเงียบสงบ สมภารเจ้าวัดจัดการให้รอบบริเวณ เตียนเรียบเป็นอันดี และเพราะตั้งอยู่ข้างฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำพระยา จึงรอดพ้นจากการรุกรานของพม่าข้าศึก ทำให้โบสถ์วิหาร และเจดียสถานต่างๆ ยังงดงามสมบูรณ์
แต่พลอยพาวาดเดินลึกเข้าไปด้านหลัง ตรงสุดเขตวัดที่เป็นสระน้ำกว้างใหญ่ ต้องเลาะหลีกสุมทุมพุ่มไม้เข้าไปเสียก่อน จึงจะได้เห็นความงามของทุ่งดอกบัวสะพรั่งบาน
คนริจะทำตัวเป็นแม่สื่อ บอกให้นางรื่นนางเรียมหยุดไว้ตรงหน้าพุ่มไม้ใหญ่ นั่งเล่นรอที่แคร่ใต้ต้นพิกุล แล้วตนกับบุตรีผู้เป็นนายของพวกนาง จะเข้าไปชมบรรยากาศเพียงลำพัง
“เถิดค่ะคุณพลอย พวกอิฉันมิใช่หูหนาตาเร่อ รู้อยู่รู้กินดอกเจ้าค่ะ อันไรที่ทำให้คุณวาดสบายใจ พวกอิฉันก็พร้อมสนับสนุน เพียงตะว่า...”
นี้เป็นถ้อยคำ ที่สองนางบ่าวสลับกันพูดไปมา เมื่อพลอยจะกำชับความ
“...ฉันเอาหัวเป็นประกันเลยนะ พี่รื่นพี่เรียม รับรองว่าเรื่องนี้ จักมิรู้ไปถึงหูท่านพระยาเด็ดขาด ขอแค่พี่สาวสองคน ดูทางหนีทีไล่ไว้ให้จงดี”
จากนั้นพลอยก็ยัดอัฐใส่มือนางบ่าวทั้งคู่จำนวนหนึ่ง แล้วรีบกลับมาสมทบกับวาด ซึ่งกำลังตื่นตาตื่นใจ กับทิวทัศน์วิจิตรงดงามตรงหน้า อันมีศาลาท่าน้ำโปร่งสบายตั้งเด่นตระหง่าน พร้อมฉากหลังเป็นทุ่งนาบัวสีสดสล้าง
และเพราะภาพฟุ้งฝันนั้นกระจ่างแสง สองสาวจึงยังไม่ทันได้เห็น ใครอีกคน ยืนซ่อนเงาอยู่ใต้ร่มศาลา
จนกระทั่งพลอยพาวาดเดินใกล้เข้ามา หญิงสาวผู้พี่ซึ่งกำลังรู้สึกประดักประเดิดเขินอายอย่างหนัก ก็แทบจะถอดใจ หันหลังกลับไปตั้งหลักเสียก่อน
พลอยยุดแขนหล่อนเอาไว้ ทำให้วาดได้แต่ก้มหน้างุด ค่อยๆ สืบเท้า คล้ายไม่อยากเดินให้ถึงจุดหมาย
วันนี้สองสุภาพสตรีแห่งกรุงศรีอยุธยา จัดแจงผ้านุ่งผ้าห่มได้เรียบร้อยสวยงาม เหมาะสมทุกประการ กับการพากันมากราบพระขอพร กระนั้นชายหนุ่มผู้ยืนรออยู่ก่อน ยังอดชื่นชมไม่ได้ว่า ทั้งสองสาว ต่างมีรูปโฉมงดงาม ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด เพียงแค่วาดนั้นสวยดั่งวาดสมชื่อ ส่วนพลอยก็ส่งประกายสดใสออกมาได้สมนาม
กระทั่งมายืนอยู่ต่อหน้ากันแล้ว วาดยังก้มหน้า ไม่ยอมสบสายตาใครๆ หรือคิดชื่นชมบรรยากาศรอบตัวอีกเลย
“คุณ... แม่วาด...”
เสียงท้ายที่ภูอินทักทาย แทบแห้งหายลงไปในลำคอ เพราะนี้ก็เป็นครั้งแรกของตน กับการนัดหญิงสาวออกมาพบหากันดังนี้
“เชิญนั่งก่อนเถิด ฉันเตรียมน้ำร้อนน้ำชา ผลหมากผลไม้ไว้แล้ว”
เมื่อคนหนึ่งยังไม่เอ่ยอะไรสักคำ พลอยจึงพูดขึ้นเสียเอง
“ช่างรอบคอบเสียจริงๆ นะเจ้าคะ”
หล่อนประชดประชันให้ได้ยินกันชัดๆ
แต่พอสองหนุ่มสาวไม่ได้สนใจจะตอบคำ หล่อนก็ต้องถอนหายใจ ตอนนี้คนทั้งคู่ต่างกระทำเพียงสบตาอีกฝ่าย นิ่ง นาน ราวต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์หรือไม่ก็ห้วงฝัน
“ใช่ฤๅมิใช่!”
พลอยต้องกระชากถามด้วยเสียงห้วนๆ อีกครั้ง อยากให้ชายหนุ่มตกใจ เหมือนอย่างที่หล่อนเคยเห็นเขาทำเป็นขวัญอ่อนอยู่สามสี่ครั้ง
ทว่ายามอยู่ต่อหน้าวาด ภูอินกลับกลายเป็นคนละคน ทั้งสองไหล่และแผ่นหลังหยัดตรงกว่าปกติ ท่วงทีสง่าผ่าเผย ดวงหน้าหล่อคม ยังเพิ่มประกายปรารถนาในนัยน์ตาขึ้นมาอีกหลายส่วน
รวมทั้ง... หล่อนต้องแปลกใจ กับน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ที่เอ่ยออกมาว่า
“นี้เพราะทราบดีว่า แม่วาดชอบฟังเรื่องราวต่างๆ หากได้มานั่งเล่น ณ ศาลาริมสระบัวเยี่ยงนี้ มีน้ำฝนเย็นๆ มีผลไม้หอมหวาน ก็คงจักสร้างความรื่นรมย์ได้มิน้อย จึงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้เช่นนี้”
คำพูดยาวๆ ล้วนคล้ายไม่ได้ตั้งใจจะตอบคำ แต่เป็นการบอกเล่า เฉพาะเขากับวาดมากกว่า เมื่อพลอยรู้สึกได้ว่า ตนกลายเป็นส่วนเกิน จึงรีบขอตัวออกมา
“แม่วาด วันนี้อยากฟังเรื่องอันไรเป็นพิเศษ บ้างฤๅหาไม่”
ยิ่งเมื่อเขาเอ่ยชื่อหญิงสาวที่รัก น้ำเสียงนั้นก็ยิ่งนุ่มละมุนชวนฝัน จนพลอยอดรู้สึกไม่ได้ว่า หากมีใครสักคน มาพูดจากับหล่อนแบบนี้บ้าง ก็คงจะดี...
พลอยไม่ได้เดินกลับมา ทางที่นางรื่นกับนางเรียมคอยดูต้นทาง หล่อนเลี้ยวซ้ายพ้นแนวพุ่มไม้ออกมา นั่งจ่อมลงตรงที่จะเห็นศาลา ซึ่งสองหนุ่มสาวกำลังยิ้มแย้ม สนทนากันอย่างหวานชื่น
หญิงสาวรู้สึกแปลบๆ แปลกๆ กับสิ่งที่เห็น แต่ก็กลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นไว้ ด้วยหน้าที่สำคัญ คือเฝ้าระแวดระวัง ไม่ให้มีอะไรเกินเลย
พอน้ำตารื้นขึ้นมาเฉยๆ ก็กรีดทิ้งเสีย ใจคอเหมือนอยากสะอื้นไห้เพราะความว้าเหว่เดียวดาย แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า ยังมีพ่อมีแม่ ยังมีพี่แสนไว้คอยต่อล้อต่อเถียงด้วยอีกทั้งคน
เพราะพลอยวกเวียนอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง พร้อมกับทอดสายตาไป ตรงเฉพาะที่หนุ่มสาวกำลังเสมือนจะพรอดรักกันอยู่ จึงไม่ทันสังเกตสิ่งผิดปกติที่อยู่ใกล้
นั่นคือนางสางขนา ซึ่งเพิ่งได้โอกาสลอบติดตามหล่อนในวันนี้ เพื่อหาจังหวะเข้าควบคุมร่างกายของพลอย อาศัยให้ขโมยดาบน้ำพี้ปราบมนตร์มาร
เวลานี้นางสางรูปสวย ทอดตามองตามสายตาของหญิงสาว คนที่นางอยากใช้เป็นเครื่องมือ จนกระทั่ง...เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวในศาลาชวนสบายนั่น ก็ถึงกับตกตะลึง มุ่งความสนใจไปที่การติดตามดูอากัปกิริยา ทุกท่วงทีของทั้งคู่อย่างเพลิดเพลิน
เวลาแห่งความสุขคงรวดเร็ว เพราะต่างคนต่างสรรหาสิ่งต่างๆ มาแลกเปลี่ยน เล่าสู่กันฟังได้หลายหลาก บางตอนทั้งนางขนาและพลอย ได้ยินเสียงเอื้อนเอ่ยบทดอกสร้อยสักวา ลอยมาตามลม เสียงของชายหนุ่มอันทุ้มนุ่มละมุมละไม จับความตอนหนึ่งได้ว่า
“...สุดเอย สุดใจ ไกลเนตรพี่แล้วเจ้าแก้วตา
สุดที่จักเล็งแลหา เจ้าแล้วแลนากลอยใจ...
สุดโหยสุดไห้อาไลยนัก สุดรักสุดจิตต์พิสมัย
ดังจักสุดชีวิตจิตต์ใจ พ่างเพียงจักสิ้นสุดปราณฯ”
ส่วนเสียงของวาด ก็หวานหยด กังวานวิเวกอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์กำลังยอแสง ในถ้อยคำที่โต้ตอบด้วยปฏิภาณนั้น ก็ไว้เนื้อไว้ตัวได้อย่างน่าชม ดังที่หล่อนบอกเขาว่า
“...สุดเอยสุดจิตต์ ช่างประดิษฐ์กล้องแกล้งแถลงสาร
จักมาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน คำหวานจักให้ละลานใจ
คารมเจ้าคือคมกรด จักอดจักลดกะไรได้
เจ้าอย่าสิ้นสุดอาไลย เกี้ยวพานไปเถิดเจ้าตาเพราฯ...”*
และเมื่อสองหนุ่มสาวทบทวนซักซ้อมท่วงทำนอง แล้วเอ่ยเอื้อนคลอเคลียเข้าจังหวะ รับส่งกันคนละท่อนคนละวรรค คนได้ยินทั้งที่อยู่ในอารมณ์เหว่ว้าอย่างพลอย และในอารมณ์เคียดแค้นชิงชังอย่างนางสางขนา ก็ต่างพากันหลงเพลิน จนตะวันคล้อยต่ำลงอีกเป็นอันมาก ก็ยังไม่รู้สึกกระไร
“คุณพลอยเจ้าคะ บอกคุณวาดให้นิดเถิดค่ะ นี้เย็นมากแล้ว หากมืดค่ำ กว่าจะถึงเรือนเกรงว่า จักปกปิดคุณท่านไว้มิได้”
คนถูกร้องขอพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้กระดากใจอยู่บ้าง ที่จะต้องเข้าไปขัดจังหวะคู่รักตรงนั้น แต่จะปล่อยให้เสียเวลา ก็คงไม่ดีแน่ๆ
พลอยค่อยเลียบเคียง ส่งเสียงนำเข้าไป ก่อนตัวจะถึงร่มศาลา
“เย็นมากแล้วนะจ๊ะพี่วาด เราคงต้องกลับกันแล้ว นะเจ้าคะคุณหมอ...”
คำท้ายใครฟังก็รู้ว่า หล่อนประชดยกย่องตำแหน่งนั้นให้ ทั้งที่ไม่เชื่อถือ
แต่สองคนตรงหน้า คล้ายไม่มีปฏิกิริยา กับวาจาประชดประชัดของพลอย และหล่อนเองยังรู้สึกว่า บรรยากาศรอบกายคล้ายดับวูบ มืดสนิทลงทันที เมื่อเห็นสีหน้าของคนทั้งคู่
“พี่ภูจ๊ะ นี้ก็เย็นมากแล้วจริงๆ...”
หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งไปอึดใจใหญ่ วาดก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะสบสายตากันเงียบๆ อีกครั้ง
“แม่วาด... แม่วาดก็ต้องกลับเรือนดีๆ ระวังๆ ด้วยหนา”
คล้ายเขาไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ท่าทางนั้นเหมือนอยากจับมือหญิงสาวมากอบกุมเอาไว้ เพื่อถ่ายทอดความห่วงใยจากใจจริง
“พี่ภูก็ด้วยนะจะ รักษาเนื้อรักษาตัว”
“พุโธ่พุทัง... มัวตะโอ้เอ้กันอยู่ จนทุกคนนั่นละ ที่จักมิปลอดภัย!”
พลอยอดรำคาญไม่ได้ จึงเอ่ยไปดังนั้น
จากนั้นก็คว้าแขนหญิงสาวผู้พี่ พากันกลับมาสมทบกับนางรื่นนางเรียม
ทิ้งให้ภูอินได้แต่มองตาม ด้วยความรู้สึกแห้งระโหยอยู่ในอก
บรรยากาศจากลากันเช่นนั้น ไม่ได้รอดพ้นสายตา ของนางสางขนาแม้พริบตาเดียว และยิ่งเมื่อวาดเดินผ่านไปให้เห็นได้ชัดๆ นางก็ถึงกับต้องพึมพำออกมา...
“กวาดตาทั่วแผ่นดิน ตั้งตะข้าเกิดจนวันนี้ ยังจักหาผู้หญิงหน้าตาสวยสะขนาดนี้ได้อีกฤๅ...”
แต่ก็เพียงแค่นั้น เพราะนางสางผู้เพิ่งสูญเสียคู่รัก ติดอกติดใจชายหนุ่มตรงโน้นมากกว่า
“นั่นก็กระไร... หล่อเหลาเกลากลึงเสียมิมีที่ติ รูปงามกว่าพี่สิขรของข้าสักร้อยเท่าพันเท่าได้กระมัง... มินึกเลยว่า จักมีผู้ชายหน้าตาดีจัดขนาดนี้ เล็ดรอดสายตาข้าไปได้”
นางสางขนารอท่าภูอินอยู่อีกนาน จนตะวันลับทิวไม้ พ้นพลบค่ำ กระทั่งแสงดาวกระจ่างตา ชายหนุ่มก็ยังอยู่ในอาการเหม่อลอยเช่นเดิม
เมื่อเข้าใจจนได้ว่า ชายหนุ่มกำลังตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความรัก แบบไม่อาจถอนตัวได้แน่ๆ แผนการบางอย่างก็เกิดขึ้นเงียบๆ จากนั้นนางสางร้ายก็หันกลับไปสนใจ ภารกิจสำคัญ
(มีต่อคคห.ที่1)