สวัสดีค่ะ
พา นางสาป บทส่งท้าย มากล่าวคำอำลา และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาโดยตลอด แม้จะกระท่อนกระแท่นไปบ้าง แต่ในที่สุดก็จบลงแล้ว ในแบบที่คนเขียนอยากให้จบ...(ู^__^") อาจไม่จบไปพร้อมกับความฟุ้งฝันตามสมัยนิยม แต่คิดว่าคนเขียนก็สามารถนำมาเรื่องราวมาสู่ตรงนี้ ตรงกับใจที่วางเจตนาการเขียนไว้ตั้งแต่แรก
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกกำลังใจ ทุกความคิดเห็น ทุกโหวต จากใจจริงๆ ค่ะ
เรื่องราวต่อไป ที่จะนำมาวางให้อ่าน... โปรดติดตาม... อย่าลืมกัน... นะคะ
ขอบคุณอีกครั้ง
นวลชมพู
นางสาป
บทส่งท้าย
ผ่านไปกว่าครึ่งปี ภูอินกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเดิม เปิดเรือนแพริมน้ำเป็นร้านหมอสมุนไพร รับตรวจรักษาผู้คนทั่วไป โดยไม่เกี่ยงงอนว่าจะมีอัฐฬสมาจ่ายค่ายาค่าตรวจอาการหรือไม่
ตัวเขาเอง ไม่คิดจะมีครอบครัวอีกแล้ว หน้าที่สำคัญนอกจากอุทิศตัวช่วยเหลือผู้คน คือการดูแลมารดาตาบอด ให้สะดวกสบาย ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องราวใดๆ อีก
แม้ว่าขณะนี้ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาจะยังวุ่นวายไม่หยุดหย่อน การอยู่ห่างไกลมาถึงถิ่นนี้ ก็ยังมีพวกหลบหนีราชการมาซุ่มซ่อนอยู่จำนวนมาก ไล่เรื่อยมาตั้งแต่อัมพวากระทั่งเลยไปจรดปรานบุรี
เหล่านั้นทำให้กิจการของชายหนุ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ชื่อเสียงเรื่องความมีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เล่าลือกันกว้างขวางขจรไกล กระทั่งเข้าหูหลวงเวทเภสัช และโด่งดังไปถึงในราชสำนัก แต่แม้ผู้เป็นอาจารย์จะบอกว่าหนทางการเจริญก้าวหน้าในทางราชการ ของเขาจะสดใสปลอดโปร่ง ภูอินก็ปฏิเสธไปโดยความสุภาพ
วันหนึ่ง แดดร่มลมตก คนป่วยได้รับการตรวจรักษา คนนัดรับยาไปต้มบรรเทาอาการก็ลากลับไปหมดแล้ว หลังนางเหมยปิดหน้าถังด้านสำหรับต้อนรับคนไข้ทางหน้าแพ มารดาของภูอินก็หันมาบอกบุตรชาย
“ทิดภูไปพักผ่อนเสียเถิด ทางนี้ประเดี๋ยวแม่จัดการเก็บกวาดให้เอง”
“มิเป็นไรดอกแม่ นี้ฉันกำลังจัดชุดยาบำรุงครรภ์ ตั้งใจว่าจะเอาไปให้ป้าสีตั้งตะพรุ่งนี้เช้าๆ ท้องแก่มากแล้ว นี้เสียดายว่าฉันเป็นพูชาย มิเช่นนั้น วิชาแพทย์แผนสตรี คงจักได้จัดการกระไรๆ ได้มากกว่าที่เป็น”
ภูอินยิ้มตอบอารมณ์ดี ช่วงที่ผ่าน แม้นไม่เคยลืมเลือนสิ่งใดๆ เลย แต่ก็พอทำใจได้แล้วว่า คงมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถเอาชนะชะตาลิขิต
“กระไรได้ เพียงเป็นหมอยาหมอ จับเส้นจับชีพจรเพียงเท่านี้ ทิดภูก็ได้บุญได้กุศลเหลือคณานับแล้วละ โบราณเขาว่า ช่วยเหลือชีวิตผู้คน เป็นโพธิสัตว์ หวังสวรรค์หวังนิพพานได้ด้วยซ้ำ”
มารดายกมือประนมท่วมหัว เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ตนเคารพนับถือ
“ทิดภูน่ะเหลือเพียงมิออกบวชเท่านั้นดอกหนา นี้ก็เป็นบุญของแม่ ที่มีลูกชายกลับมาช่วยดูแล ตะว่า หากคิดมีเหย้ามีเรือน ก็อย่าห่วงตะแม่...”
“ฉันมิคิดจักรักใคร่กับใครอีกแล้ว มิคิดจักมีเหย้ามีเรือนอันไรอีกแล้วนะแม่ เพียงเท่าที่เคยผ่านมา ฉันได้รู้จักความรักเป็นฉันใด รสรักเป็นฉันใด เพียงเท่านั้นฉันก็รู้ซึ้งแก่ใจแล้วละว่า มันเป็นทุกข์มากกว่าสุข”
กับทุกถ้อยคำที่เอ่ย เวลานี้ไม่ได้เจือปนด้วยน้ำเสียงตัดพ้อต่อโชคชะตาชีวิตอีกแล้ว อาจเป็นเพราะความราบรื่นผาสุกในช่วงเวลาที่ได้อยู่กันสองคนแม่ลูก ทำให้ความเศร้าโศกหมองหม่นต่างๆ ได้คลี่คลายไปมากแล้วนั่นเอง
ขณะจะหับประตูทางเข้าด้านริมตลิ่ง ก็มีเสียงเรียกให้หยุดไว้ก่อน นางเหมยชะงัก ภูอินรีบวางมือจากการจัดห่อเครื่องยา ออกมาดูผู้มาเยือน
“นี้ก็ใกล้พลบ ยังจักมีใครมาอีกฤๅ”
“เถิดหนาทิดภู นี้ก็เหนื่อยมาทั้งวัน หากมิได้เป็นไรมาก ก็บอกให้เขามาเสียวันพรุ่ง”
ที่มารดาพูดดังนั้น เพราะก็รู้อยู่ว่า ที่ผ่านมา ชายหนุ่มทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการดูแลรักษาคนไข้ของตนเองถึงขนาดไหน
“มิเป็นไรดอกนะแม่ หากมิเจ็บป่วยจริงๆ เขาก็คงไม่ดั้นด้นมาหา จนเย็นย่ำขนาดนี้ เรื่องช่วยเหลือคน ฉันมิเหนื่อยมิอ่อนเพลียอันใด”
ไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเด็กทารกร้องไห้จ้าตามมา ทำให้เขาต้องรีบเปิดประตูออกไป โดยเฉพาะกับแม่ลูกอ่อนที่พาเด็กน้อยมาด้วยเช่นนี้ เขายิ่งต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อแรกเห็น คือหล่อนหันหลังให้ คล้ายหลบสายตาคนเพื่อให้นมบุตร ก้มหน้าอุ้มชูทะนุถนอม และเด็กในห่อผ้าแนบอ้อมอกนั้น ก็เงียบเสียงไปได้ทันที
หล่อนค่อยๆ หันกลับมา ทำให้ภูอินตะลึงงัน
เป็นหล่อน... เป็นยอดดวงใจของเขา...
เป็นแม่วาด กำลังอุ้มทารกน้อยๆ มองมาด้วยแววตาที่เขาประทับไว้ในความทรงจำมิมีวันลืมเลือน
ภูอินคลี่ยิ้ม เห็นละม้ายเป็นหญิงสาวที่แสนรักก็จริง แต่ก็มิได้หวังลมๆ แล้งๆ อันใดอีกแล้ว
และหล่อนก็ทำสีหน้าไม่ถูก คล้ายอยากจะยิ้มตอบ แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ
“นี้... นี้เอ็งเป็นคนฤๅภูตผีปิศาจแปลกปลอมมาอีกเล่า...”
เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ เวลานี้แม้ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับสุดที่รักอีกแล้ว ก็หวังแต่ให้หล่อนได้ไปสู่สุคติภพ สุขสบายอยู่ในห้วงสวรรค์
“เป็น... เป็นอณูพระแม่จุติลงมา...”
เสียงตอบน้ำคำ เขาก็จำได้ไม่ลืม กับถ้อยที่เอ่ย ก็รู้ว่าใช่แน่แล้ว...
นั้นคือถ้อยคำคำแรก ที่ภูอินได้พูดจากับหล่อนโดยตรง ได้บอกว่า แม่วาดจะต้องมิเป็นไร...
“นอกนั้น... ยังเป็น... อัปสรต้องสาป... ให้พลัดพรากจากคนที่รักสุดหัวใจ...”
“แม่วาด... เป็นแม่วาดจริงๆ ฤๅหาไม่”
ภูอินยังตะลึงค้าง ทั้งร่างกายคล้ายถูกแช่แข็ง ทว่าส่วนที่ด้านชาที่สุดคือหัวใจเขา ขณะนี้กลับผ่าวร้อนราวสุมเพลิง
ต่างคนต่างจดจ้อง เพ่งเล็งให้เห็นน้ำใสใจจริงในแววตา มองอย่างไรก็เป็นหล่อน พิจารณาอย่างไรก็เป็นเขา ต่างคนต่างตระหนักแน่แก่ใจว่า คนตรงหน้านี้ละ คือยอดดวงใจ คือคนเดียวที่ปรารถนาจะอยู่ร่วมชีวิต
อีกอึดใจใหญ่ กว่าภูอินจะขยับเข้าใกล้...
“แม่วาด เป็นแม่วาดจริงๆ”
เขาเห็นน้ำตาหล่อนเอ่อคลอ รอยยิ้มจางคล้ายไม่แน่ใจ บัดนี้คลี่คลายกลายเป็นความชื่นสุขสมใจหวัง
หล่อนระบายลมหายใจเบาแผ่ว เมื่อทารกในอ้อมอกขยับก็ก้มลงปลอบโยน กิริยานุ่มนวลหวานละมุน ไม่ว่าพิจารณาอย่างไร ก็เป็นแม่วาดของเขาจริงๆ
“เป็นแม่วาด เป็นแม่วาดของพี่... ตะว่า... แม่วาดตายไปแล้ว... ตะนี้กลับฟื้น ซ้ำยังอุ้มเด็กน้อยนี้มาด้วย”
สองสายตายังประสานกันดื่มด่ำ ขณะสุดที่รักของเขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เป็นเพราะอิฉัน ได้รับประทานเม็ดยาสัญชีวนีเข้าไป จึงทำให้ได้ชีวิตกลับคืนมา...”
เมื่อเห็นภูอินปลายตาไปที่ทารกน้อย วาดก็พูดต่อไปว่า
“ส่วนเด็กคนนี้ เป็นลูกของพี่ภูกับแม่พลอย...”
หลังจากพากันเข้ามาในร่มเรือน วาดผู้ฟื้นคืน ก็เล่าเรื่องราวเมื่อหลายเดือนก่อนให้ภูอินฟัง
ว่าแท้ที่จริงตัวหล่อนเองมีกำเนิดเป็นเช่นไร เหตุใดประสบเคราะห์ร้ายแรงหลายครั้ง จึงสามารถคงสภาพร่างกายได้ดั่งเดิม และเป็นพลอยที่กลับมาขุดฝาเปิดโลง ป้อนสัญชีวนีเภสัช ด้วยอานุภาพของเม็ดยาวิเศษนั้น ที่ทำให้หล่อนรู้สึกตัว...
เมื่อแรกคล้ายสำลักน้ำ ขาดอากาศ กระอักกระไอทรมาน กระทั่งพลอยต้องเข้าประคับประคองช่วยเหลือ พยาบาลอีกหลายวันกว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะได้กลับคืน
“เรากลับไปอยู่ที่เรือนพระนครารักษ์ เก็บตัวอยู่เงียบๆ จนแม่พลอยคลอดลูกออกมา ให้นมอ้ายหนูนี้อีกสามเดือน แล้วให้อิฉันอุ้มมาที่นี่ มามอบบุตรชายคนโตนี้ ให้แก่พี่ภู...”
เด็กน้อยเริ่มร่ำร้องไขว่คว้าอีกครั้ง คราวนี้วาดส่งให้ชายหนุ่ม และคล้ายสายใยผูกพันของพ่อกับลูกจะสามารถสื่อสารถึงกัน พอเขารับมาอุ้ม เจ้าทารกหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ก็หยุดดิ้นรน หยุดร้องได้ทันที
ไม่ต้องมีใครมายืนยัน ภูอินก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า นี้ละคือลูกชายของตนจริงๆ
“ตะว่า... ตอนนั้น... แม่พลอยบอกว่า แท้งลูกคนนี้ไปแล้ว...”
เขายังอดไม่ได้ที่จะทบทวน เมื่อครั้งสุดท้ายก่อนที่พลอยจะหันหลังเดินจากไป แต่พอทบทวนให้แน่ใจ เขาก็นึกได้ว่า แท้จริงพลอยไม่ได้พูดเช่นนั้นสักคำเดียว
“แม่พลอยคงหลอกพี่ภู เพราะมิอยากให้พี่ต้องเอาชีวิตทั้งชีวิต มาแสดงความรับผิดชอบ ทั้งที่... ทั้งที่มิได้รัก...”
คำท้ายๆ นี้ วาดเองก็มีสีหน้าลำบากใจ เพราะย่อมรู้อยู่เต็มอก ว่าคนที่ตนรักเหลือเกิน บัดนี้ก็ได้ชื่อว่ามีภรรยาไปแล้ว และมีประจักษ์หลักฐาน คือทารกน้อยที่เขากำลับโอบอุ้มอย่างเอ็นดู
“ฤๅ... เพียงเพราะทดแทนความพลาดพลั้ง...”
ภูอินน้ำตาซึม ทำได้เพียงพึมพำออกมาเบาๆ
“แม่พลอย... แม่พลอยนิสัยมิเคยเปลี่ยนแปลงจริงๆ”
ฝ่ายนางเหมยซึ่งนั่งนิ่งฟังความอยู่ตั้งแต่แรก ก็เรียกร้องขออุ้มหลานชายของตนบ้าง
“ไหนเล่า ไหนเล่าหลานชายของย่า...”
ภูอินค่อยยื่นส่งทารกน้อยให้มารดา โดยมีวาดช่วยโอบประคองอยู่ไม่ห่าง
“โอ๋! หลานรักของย่า เอ็งน่ะร้องไห้จ้าๆ เหมือนพ่อเอ็งมิมีผิดเพี้ยนเลยเทียว”
นางเหมยน้ำตาริน แต่แรกที่ภูอินเคยเล่าเรื่องระหว่างเขากับแม่พลอยให้ฟัง ก็หมดหวังตั้งแต่คราวนั้น ว่าจะได้อุ้มชูเลี้ยงดูเด็กน้อยผู้อาภัพ
“นี้ต้องขอบคุณคุณพระคุณเจ้า เทวดาฟ้าดิน อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ทั่วทุกสารทิศ ที่ยังเมตตาเด็กน้อยตาดำๆ ให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากแรงอาฆาตพยาบาททั้งหลาย”
เมื่อเรื่องราวทางนี้ คล้ายจะลงตัว จบลงด้วยความสุขสันต์ ภูอินก็ต้องถามถึงมารดาที่แท้จริงของทารกน้อย
“แล้ว... ตอนนี้ แม่พลอยไปอยู่เสียที่ใดเล่า แม่วาดพอทราบฤๅหาไม่”
“อิฉันเองก็มิทราบ แม่พลอยบอกเพียงว่า ยังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องกระทำ ซ้ำยังพูดจาบางสิ่ง ที่อิฉันฟังมิเข้าใจ”
กับถ้อยคำนั้นของพลอย แม้ภูอินมิได้รับฟัง ก็พอจะคาดเดาได้...
‘ทุกคนต่างมีชีวิตของตนเอง มิจำเป็นต้องฝืน มิจำเป็นต้องวิ่งหนี ในเมื่อชีวิตอิฉันเป็นเช่นนี้ อิฉันก็จักยอมรับไว้ ยอมละทิ้งทุกสิ่งอย่าง บนโลกใบนี้ เพื่อแสวงหาวิธีการ กำจัดมารร้ายทั้งหลาย มิว่าจักเป็นภายนอกหรือภายในจิตใจของผู้คน...
“บนเส้นทางการค้นหาวิธีการเช่นนั้น อิฉันต้องเดินทางไปคนเดียว ละทิ้งความโลภโกรธหลง แม้ต้องโดดเดียวไปชั่วชีวิต ตะว่าภาระหน้าที่ที่ถูกกำหนด แม้จัดเป็นคำสาปจากผู้ใดก็ตาม ก็จักขอเปลี่ยนแปลงมัน ด้วยปณิธานและความมุ่งมั่นของตัวเอง...’
วาดทบทวนคำพูดของพลอยให้ฟังอย่างครบถ้วน สบสายตาประสานนัยน์ตากับชายหนุ่มอีกครั้ง เหมือนมีสิ่งไรจะพูดต่อไป แต่ก็ยังมิได้พูดออกมา
“แม่วาด... หากเป็นดั่งนั้น... แม่พลอยคงตั้งใจแน่วแน่ เข้าสู่โลกของการแสวงหาสัจธรรม เราควรอนุโมทนาสาธุ ขอให้แม่พลอยประสบพบเจอสิ่งที่หวัง แล้ว... ส่วนพวกเรา เพลานี้ก็มีภารกิจยิ่งใหญ่ พี่เชื่อว่าสิ่งนี้มิยิ่งหย่อนไปกว่า สิ่งที่แม่พลอยกำลังพยายาม...”
พอเขาชำเลืองมองทารกในอ้อมอกมารดาตน วาดก็มองตาม
“คือการอุ้มชูเลี้ยงดูอ้ายหนูน้อยผู้นี้ ให้เจริญเติบโต ได้เลือกหนทางของตนเองได้จริงๆ กระนั้นฤๅคะ”
“ใช่... ใช่แล้วละแม่วาด... คนเราต้องใช้อดีตเป็นบทเรียน สิ่งใดเคยผิดพลาดพลั้งเผลอ ก็ให้จบสิ้นแต่เพียงที่ผ่านไป อย่าก่อเริ่มสร้างใหม่... นะ... แม่วาด...”
คำท้ายเบาแผ่ว เขาเรียกชื่อคนรักเบาๆ ขยับเข้ากอดประคอง เป็นกอดแรกที่ได้สัมผัส ขณะหญิงสาวแสนรัก เป็นตัวเป็นตน เป็นตัวของหล่อนเองจริงๆ ทั้งเรือนร่างและความรู้สึกนึกคิด
“แม่วาด... จากนี้จนวันตาย พี่จักมิทำความผิดพลาดอันไรอีกแล้ว จักมิยอมให้ใครๆ เข้ามาทำร้าย ทำให้พวกเราต้องเจ็บข้องหมองใจ ขอเพียงแม่วาดรับปาก เราจักช่วยกันเลี้ยงดูลูกของเรา ให้เขาได้เติบโตขึ้นเป็นผู้คน... เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มิบกพร่อง... แม่วาดรับปากกับพี่ได้ฤๅหาไม่”
หญิงสาวน้ำตาคลอ โอบกระชับกับอ้อมกอดของเขา ซบหน้าแนบแผงอกอบอุ่น ความตื้นตันแล่นขึ้นจนไม่สามารถจะเอ่ยกระไรอีก นอกจากพยักหน้ารับคำ กอดกระชับเป็นคำมั่นว่า หล่อนจะกระทำตามถ้อยคำที่เขาขอนั้น ตราบจนลมหายใจสุดท้าย...
************จบบริบูรณ์*************
ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม พบกันใหม่ เรื่องต่อไป...
นวนิยาย : นางสาป : บทส่งท้าย
นางสาป บทก่อนหน้า
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=whitewine&month=01-2016&date=05&group=2&gblog=10
สวัสดีค่ะ
พา นางสาป บทส่งท้าย มากล่าวคำอำลา และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาโดยตลอด แม้จะกระท่อนกระแท่นไปบ้าง แต่ในที่สุดก็จบลงแล้ว ในแบบที่คนเขียนอยากให้จบ...(ู^__^") อาจไม่จบไปพร้อมกับความฟุ้งฝันตามสมัยนิยม แต่คิดว่าคนเขียนก็สามารถนำมาเรื่องราวมาสู่ตรงนี้ ตรงกับใจที่วางเจตนาการเขียนไว้ตั้งแต่แรก
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกกำลังใจ ทุกความคิดเห็น ทุกโหวต จากใจจริงๆ ค่ะ
เรื่องราวต่อไป ที่จะนำมาวางให้อ่าน... โปรดติดตาม... อย่าลืมกัน... นะคะ
นวลชมพู
บทส่งท้าย
ผ่านไปกว่าครึ่งปี ภูอินกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเดิม เปิดเรือนแพริมน้ำเป็นร้านหมอสมุนไพร รับตรวจรักษาผู้คนทั่วไป โดยไม่เกี่ยงงอนว่าจะมีอัฐฬสมาจ่ายค่ายาค่าตรวจอาการหรือไม่
ตัวเขาเอง ไม่คิดจะมีครอบครัวอีกแล้ว หน้าที่สำคัญนอกจากอุทิศตัวช่วยเหลือผู้คน คือการดูแลมารดาตาบอด ให้สะดวกสบาย ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องราวใดๆ อีก
แม้ว่าขณะนี้ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาจะยังวุ่นวายไม่หยุดหย่อน การอยู่ห่างไกลมาถึงถิ่นนี้ ก็ยังมีพวกหลบหนีราชการมาซุ่มซ่อนอยู่จำนวนมาก ไล่เรื่อยมาตั้งแต่อัมพวากระทั่งเลยไปจรดปรานบุรี
เหล่านั้นทำให้กิจการของชายหนุ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ชื่อเสียงเรื่องความมีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เล่าลือกันกว้างขวางขจรไกล กระทั่งเข้าหูหลวงเวทเภสัช และโด่งดังไปถึงในราชสำนัก แต่แม้ผู้เป็นอาจารย์จะบอกว่าหนทางการเจริญก้าวหน้าในทางราชการ ของเขาจะสดใสปลอดโปร่ง ภูอินก็ปฏิเสธไปโดยความสุภาพ
วันหนึ่ง แดดร่มลมตก คนป่วยได้รับการตรวจรักษา คนนัดรับยาไปต้มบรรเทาอาการก็ลากลับไปหมดแล้ว หลังนางเหมยปิดหน้าถังด้านสำหรับต้อนรับคนไข้ทางหน้าแพ มารดาของภูอินก็หันมาบอกบุตรชาย
“ทิดภูไปพักผ่อนเสียเถิด ทางนี้ประเดี๋ยวแม่จัดการเก็บกวาดให้เอง”
“มิเป็นไรดอกแม่ นี้ฉันกำลังจัดชุดยาบำรุงครรภ์ ตั้งใจว่าจะเอาไปให้ป้าสีตั้งตะพรุ่งนี้เช้าๆ ท้องแก่มากแล้ว นี้เสียดายว่าฉันเป็นพูชาย มิเช่นนั้น วิชาแพทย์แผนสตรี คงจักได้จัดการกระไรๆ ได้มากกว่าที่เป็น”
ภูอินยิ้มตอบอารมณ์ดี ช่วงที่ผ่าน แม้นไม่เคยลืมเลือนสิ่งใดๆ เลย แต่ก็พอทำใจได้แล้วว่า คงมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถเอาชนะชะตาลิขิต
“กระไรได้ เพียงเป็นหมอยาหมอ จับเส้นจับชีพจรเพียงเท่านี้ ทิดภูก็ได้บุญได้กุศลเหลือคณานับแล้วละ โบราณเขาว่า ช่วยเหลือชีวิตผู้คน เป็นโพธิสัตว์ หวังสวรรค์หวังนิพพานได้ด้วยซ้ำ”
มารดายกมือประนมท่วมหัว เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ตนเคารพนับถือ
“ทิดภูน่ะเหลือเพียงมิออกบวชเท่านั้นดอกหนา นี้ก็เป็นบุญของแม่ ที่มีลูกชายกลับมาช่วยดูแล ตะว่า หากคิดมีเหย้ามีเรือน ก็อย่าห่วงตะแม่...”
“ฉันมิคิดจักรักใคร่กับใครอีกแล้ว มิคิดจักมีเหย้ามีเรือนอันไรอีกแล้วนะแม่ เพียงเท่าที่เคยผ่านมา ฉันได้รู้จักความรักเป็นฉันใด รสรักเป็นฉันใด เพียงเท่านั้นฉันก็รู้ซึ้งแก่ใจแล้วละว่า มันเป็นทุกข์มากกว่าสุข”
กับทุกถ้อยคำที่เอ่ย เวลานี้ไม่ได้เจือปนด้วยน้ำเสียงตัดพ้อต่อโชคชะตาชีวิตอีกแล้ว อาจเป็นเพราะความราบรื่นผาสุกในช่วงเวลาที่ได้อยู่กันสองคนแม่ลูก ทำให้ความเศร้าโศกหมองหม่นต่างๆ ได้คลี่คลายไปมากแล้วนั่นเอง
ขณะจะหับประตูทางเข้าด้านริมตลิ่ง ก็มีเสียงเรียกให้หยุดไว้ก่อน นางเหมยชะงัก ภูอินรีบวางมือจากการจัดห่อเครื่องยา ออกมาดูผู้มาเยือน
“นี้ก็ใกล้พลบ ยังจักมีใครมาอีกฤๅ”
“เถิดหนาทิดภู นี้ก็เหนื่อยมาทั้งวัน หากมิได้เป็นไรมาก ก็บอกให้เขามาเสียวันพรุ่ง”
ที่มารดาพูดดังนั้น เพราะก็รู้อยู่ว่า ที่ผ่านมา ชายหนุ่มทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการดูแลรักษาคนไข้ของตนเองถึงขนาดไหน
“มิเป็นไรดอกนะแม่ หากมิเจ็บป่วยจริงๆ เขาก็คงไม่ดั้นด้นมาหา จนเย็นย่ำขนาดนี้ เรื่องช่วยเหลือคน ฉันมิเหนื่อยมิอ่อนเพลียอันใด”
ไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเด็กทารกร้องไห้จ้าตามมา ทำให้เขาต้องรีบเปิดประตูออกไป โดยเฉพาะกับแม่ลูกอ่อนที่พาเด็กน้อยมาด้วยเช่นนี้ เขายิ่งต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อแรกเห็น คือหล่อนหันหลังให้ คล้ายหลบสายตาคนเพื่อให้นมบุตร ก้มหน้าอุ้มชูทะนุถนอม และเด็กในห่อผ้าแนบอ้อมอกนั้น ก็เงียบเสียงไปได้ทันที
หล่อนค่อยๆ หันกลับมา ทำให้ภูอินตะลึงงัน
เป็นหล่อน... เป็นยอดดวงใจของเขา...
เป็นแม่วาด กำลังอุ้มทารกน้อยๆ มองมาด้วยแววตาที่เขาประทับไว้ในความทรงจำมิมีวันลืมเลือน
ภูอินคลี่ยิ้ม เห็นละม้ายเป็นหญิงสาวที่แสนรักก็จริง แต่ก็มิได้หวังลมๆ แล้งๆ อันใดอีกแล้ว
และหล่อนก็ทำสีหน้าไม่ถูก คล้ายอยากจะยิ้มตอบ แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ
“นี้... นี้เอ็งเป็นคนฤๅภูตผีปิศาจแปลกปลอมมาอีกเล่า...”
เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ เวลานี้แม้ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับสุดที่รักอีกแล้ว ก็หวังแต่ให้หล่อนได้ไปสู่สุคติภพ สุขสบายอยู่ในห้วงสวรรค์
“เป็น... เป็นอณูพระแม่จุติลงมา...”
เสียงตอบน้ำคำ เขาก็จำได้ไม่ลืม กับถ้อยที่เอ่ย ก็รู้ว่าใช่แน่แล้ว...
นั้นคือถ้อยคำคำแรก ที่ภูอินได้พูดจากับหล่อนโดยตรง ได้บอกว่า แม่วาดจะต้องมิเป็นไร...
“นอกนั้น... ยังเป็น... อัปสรต้องสาป... ให้พลัดพรากจากคนที่รักสุดหัวใจ...”
“แม่วาด... เป็นแม่วาดจริงๆ ฤๅหาไม่”
ภูอินยังตะลึงค้าง ทั้งร่างกายคล้ายถูกแช่แข็ง ทว่าส่วนที่ด้านชาที่สุดคือหัวใจเขา ขณะนี้กลับผ่าวร้อนราวสุมเพลิง
ต่างคนต่างจดจ้อง เพ่งเล็งให้เห็นน้ำใสใจจริงในแววตา มองอย่างไรก็เป็นหล่อน พิจารณาอย่างไรก็เป็นเขา ต่างคนต่างตระหนักแน่แก่ใจว่า คนตรงหน้านี้ละ คือยอดดวงใจ คือคนเดียวที่ปรารถนาจะอยู่ร่วมชีวิต
อีกอึดใจใหญ่ กว่าภูอินจะขยับเข้าใกล้...
“แม่วาด เป็นแม่วาดจริงๆ”
เขาเห็นน้ำตาหล่อนเอ่อคลอ รอยยิ้มจางคล้ายไม่แน่ใจ บัดนี้คลี่คลายกลายเป็นความชื่นสุขสมใจหวัง
หล่อนระบายลมหายใจเบาแผ่ว เมื่อทารกในอ้อมอกขยับก็ก้มลงปลอบโยน กิริยานุ่มนวลหวานละมุน ไม่ว่าพิจารณาอย่างไร ก็เป็นแม่วาดของเขาจริงๆ
“เป็นแม่วาด เป็นแม่วาดของพี่... ตะว่า... แม่วาดตายไปแล้ว... ตะนี้กลับฟื้น ซ้ำยังอุ้มเด็กน้อยนี้มาด้วย”
สองสายตายังประสานกันดื่มด่ำ ขณะสุดที่รักของเขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เป็นเพราะอิฉัน ได้รับประทานเม็ดยาสัญชีวนีเข้าไป จึงทำให้ได้ชีวิตกลับคืนมา...”
เมื่อเห็นภูอินปลายตาไปที่ทารกน้อย วาดก็พูดต่อไปว่า
“ส่วนเด็กคนนี้ เป็นลูกของพี่ภูกับแม่พลอย...”
หลังจากพากันเข้ามาในร่มเรือน วาดผู้ฟื้นคืน ก็เล่าเรื่องราวเมื่อหลายเดือนก่อนให้ภูอินฟัง
ว่าแท้ที่จริงตัวหล่อนเองมีกำเนิดเป็นเช่นไร เหตุใดประสบเคราะห์ร้ายแรงหลายครั้ง จึงสามารถคงสภาพร่างกายได้ดั่งเดิม และเป็นพลอยที่กลับมาขุดฝาเปิดโลง ป้อนสัญชีวนีเภสัช ด้วยอานุภาพของเม็ดยาวิเศษนั้น ที่ทำให้หล่อนรู้สึกตัว...
เมื่อแรกคล้ายสำลักน้ำ ขาดอากาศ กระอักกระไอทรมาน กระทั่งพลอยต้องเข้าประคับประคองช่วยเหลือ พยาบาลอีกหลายวันกว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะได้กลับคืน
“เรากลับไปอยู่ที่เรือนพระนครารักษ์ เก็บตัวอยู่เงียบๆ จนแม่พลอยคลอดลูกออกมา ให้นมอ้ายหนูนี้อีกสามเดือน แล้วให้อิฉันอุ้มมาที่นี่ มามอบบุตรชายคนโตนี้ ให้แก่พี่ภู...”
เด็กน้อยเริ่มร่ำร้องไขว่คว้าอีกครั้ง คราวนี้วาดส่งให้ชายหนุ่ม และคล้ายสายใยผูกพันของพ่อกับลูกจะสามารถสื่อสารถึงกัน พอเขารับมาอุ้ม เจ้าทารกหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ก็หยุดดิ้นรน หยุดร้องได้ทันที
ไม่ต้องมีใครมายืนยัน ภูอินก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า นี้ละคือลูกชายของตนจริงๆ
“ตะว่า... ตอนนั้น... แม่พลอยบอกว่า แท้งลูกคนนี้ไปแล้ว...”
เขายังอดไม่ได้ที่จะทบทวน เมื่อครั้งสุดท้ายก่อนที่พลอยจะหันหลังเดินจากไป แต่พอทบทวนให้แน่ใจ เขาก็นึกได้ว่า แท้จริงพลอยไม่ได้พูดเช่นนั้นสักคำเดียว
“แม่พลอยคงหลอกพี่ภู เพราะมิอยากให้พี่ต้องเอาชีวิตทั้งชีวิต มาแสดงความรับผิดชอบ ทั้งที่... ทั้งที่มิได้รัก...”
คำท้ายๆ นี้ วาดเองก็มีสีหน้าลำบากใจ เพราะย่อมรู้อยู่เต็มอก ว่าคนที่ตนรักเหลือเกิน บัดนี้ก็ได้ชื่อว่ามีภรรยาไปแล้ว และมีประจักษ์หลักฐาน คือทารกน้อยที่เขากำลับโอบอุ้มอย่างเอ็นดู
“ฤๅ... เพียงเพราะทดแทนความพลาดพลั้ง...”
ภูอินน้ำตาซึม ทำได้เพียงพึมพำออกมาเบาๆ
“แม่พลอย... แม่พลอยนิสัยมิเคยเปลี่ยนแปลงจริงๆ”
ฝ่ายนางเหมยซึ่งนั่งนิ่งฟังความอยู่ตั้งแต่แรก ก็เรียกร้องขออุ้มหลานชายของตนบ้าง
“ไหนเล่า ไหนเล่าหลานชายของย่า...”
ภูอินค่อยยื่นส่งทารกน้อยให้มารดา โดยมีวาดช่วยโอบประคองอยู่ไม่ห่าง
“โอ๋! หลานรักของย่า เอ็งน่ะร้องไห้จ้าๆ เหมือนพ่อเอ็งมิมีผิดเพี้ยนเลยเทียว”
นางเหมยน้ำตาริน แต่แรกที่ภูอินเคยเล่าเรื่องระหว่างเขากับแม่พลอยให้ฟัง ก็หมดหวังตั้งแต่คราวนั้น ว่าจะได้อุ้มชูเลี้ยงดูเด็กน้อยผู้อาภัพ
“นี้ต้องขอบคุณคุณพระคุณเจ้า เทวดาฟ้าดิน อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ทั่วทุกสารทิศ ที่ยังเมตตาเด็กน้อยตาดำๆ ให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากแรงอาฆาตพยาบาททั้งหลาย”
เมื่อเรื่องราวทางนี้ คล้ายจะลงตัว จบลงด้วยความสุขสันต์ ภูอินก็ต้องถามถึงมารดาที่แท้จริงของทารกน้อย
“แล้ว... ตอนนี้ แม่พลอยไปอยู่เสียที่ใดเล่า แม่วาดพอทราบฤๅหาไม่”
“อิฉันเองก็มิทราบ แม่พลอยบอกเพียงว่า ยังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องกระทำ ซ้ำยังพูดจาบางสิ่ง ที่อิฉันฟังมิเข้าใจ”
กับถ้อยคำนั้นของพลอย แม้ภูอินมิได้รับฟัง ก็พอจะคาดเดาได้...
‘ทุกคนต่างมีชีวิตของตนเอง มิจำเป็นต้องฝืน มิจำเป็นต้องวิ่งหนี ในเมื่อชีวิตอิฉันเป็นเช่นนี้ อิฉันก็จักยอมรับไว้ ยอมละทิ้งทุกสิ่งอย่าง บนโลกใบนี้ เพื่อแสวงหาวิธีการ กำจัดมารร้ายทั้งหลาย มิว่าจักเป็นภายนอกหรือภายในจิตใจของผู้คน...
“บนเส้นทางการค้นหาวิธีการเช่นนั้น อิฉันต้องเดินทางไปคนเดียว ละทิ้งความโลภโกรธหลง แม้ต้องโดดเดียวไปชั่วชีวิต ตะว่าภาระหน้าที่ที่ถูกกำหนด แม้จัดเป็นคำสาปจากผู้ใดก็ตาม ก็จักขอเปลี่ยนแปลงมัน ด้วยปณิธานและความมุ่งมั่นของตัวเอง...’
วาดทบทวนคำพูดของพลอยให้ฟังอย่างครบถ้วน สบสายตาประสานนัยน์ตากับชายหนุ่มอีกครั้ง เหมือนมีสิ่งไรจะพูดต่อไป แต่ก็ยังมิได้พูดออกมา
“แม่วาด... หากเป็นดั่งนั้น... แม่พลอยคงตั้งใจแน่วแน่ เข้าสู่โลกของการแสวงหาสัจธรรม เราควรอนุโมทนาสาธุ ขอให้แม่พลอยประสบพบเจอสิ่งที่หวัง แล้ว... ส่วนพวกเรา เพลานี้ก็มีภารกิจยิ่งใหญ่ พี่เชื่อว่าสิ่งนี้มิยิ่งหย่อนไปกว่า สิ่งที่แม่พลอยกำลังพยายาม...”
พอเขาชำเลืองมองทารกในอ้อมอกมารดาตน วาดก็มองตาม
“คือการอุ้มชูเลี้ยงดูอ้ายหนูน้อยผู้นี้ ให้เจริญเติบโต ได้เลือกหนทางของตนเองได้จริงๆ กระนั้นฤๅคะ”
“ใช่... ใช่แล้วละแม่วาด... คนเราต้องใช้อดีตเป็นบทเรียน สิ่งใดเคยผิดพลาดพลั้งเผลอ ก็ให้จบสิ้นแต่เพียงที่ผ่านไป อย่าก่อเริ่มสร้างใหม่... นะ... แม่วาด...”
คำท้ายเบาแผ่ว เขาเรียกชื่อคนรักเบาๆ ขยับเข้ากอดประคอง เป็นกอดแรกที่ได้สัมผัส ขณะหญิงสาวแสนรัก เป็นตัวเป็นตน เป็นตัวของหล่อนเองจริงๆ ทั้งเรือนร่างและความรู้สึกนึกคิด
“แม่วาด... จากนี้จนวันตาย พี่จักมิทำความผิดพลาดอันไรอีกแล้ว จักมิยอมให้ใครๆ เข้ามาทำร้าย ทำให้พวกเราต้องเจ็บข้องหมองใจ ขอเพียงแม่วาดรับปาก เราจักช่วยกันเลี้ยงดูลูกของเรา ให้เขาได้เติบโตขึ้นเป็นผู้คน... เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มิบกพร่อง... แม่วาดรับปากกับพี่ได้ฤๅหาไม่”
หญิงสาวน้ำตาคลอ โอบกระชับกับอ้อมกอดของเขา ซบหน้าแนบแผงอกอบอุ่น ความตื้นตันแล่นขึ้นจนไม่สามารถจะเอ่ยกระไรอีก นอกจากพยักหน้ารับคำ กอดกระชับเป็นคำมั่นว่า หล่อนจะกระทำตามถ้อยคำที่เขาขอนั้น ตราบจนลมหายใจสุดท้าย...