เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 70-71

กระทู้สนทนา
ปอกส้ม หายไปนาน...ปีกว่า คนเขียนยังไม่ตายนะคะ แหะ แหะ แค่ยุ่งๆ กับชีวิตหลายๆ เรื่อง
สาธยายไปจะยายเวิ่นเว้อมากค่ะ  ยังไงก็สวัสดีปีใหม่นะคะทุกคน ขอให้มีความสุขมากๆ ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทำนะคะ
ถ้ายังไม่ลืมกันละก็...รบกวนช่วยอ่านกันต่อไปจนจบนะคะ  จะให้ดีก็ช่วยคอมเม้นท์ทักทายกันหน่อยนะคะ


ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 69 http://ppantip.com/topic/32329512
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
https://www.facebook.com/icy.piccy/?ref=hl


ตอนที่ 70



             ‘ถ้าจุมภะไม่สิ้นสุด..จะไม่มีเชียงใหม่ในปัจจุบัน!’


              สิ้นคำบอกเล่าของวิทยเทพทุกสรรพเสียงเงียบงัน  เคียงฟ้านิ่งชะงักไปก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความอัดอั้น


             “ถ้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้  งั้นจะระลึกชาติไปทำไม ฟ้าจะย้อนมาอดีตไปทำไม ทำไมต้องให้ฟ้ารับรู้ด้วยคะ?!!” หล่อนซบหน้าลงร้องไห้กับหมอนขวานข้างตัว


             “อาจารย์รู้ไหม  ถ้ารู้แล้วทำอะไรไม่ได้มันเจ็บใจ  มันเสียใจยิ่งกว่าไม่รู้เสียอีก”


             “มันเป็นวาระ...เรียกว่าวาระกรรมก็ว่าได้  จะมีสักกี่คนมีโอกาสได้เรียนรู้ ได้แก้ไขในสิ่งที่เคยผิดพลาดไป”


             “แก้ไข...แก้ไขอะไรคะ  อาจารย์เพิ่งตัดความหวังของฟ้าไปหยกๆ” หล่อนตัดพ้อ


             “หึ...แก้ไม่ได้ทุกเรื่องแต่ไม่ได้บอกว่าบางเรื่องแก้ไม่ได้นี่” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้น


             “มะ...หมายความว่ายังไงคะ?” หล่อนผุดลุกขึ้นมาทั้งที่หน้ายังนองไปด้วยน้ำตา


             “มาเถิดเคียงฟ้า จงเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตให้ถึงที่สุด  แล้วเจ้าจะได้คำตอบ”


              พูดจบกึ่งเทพรูปทองก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ร่างนั้นค่อยๆ โปร่งแสงและเลือนรางหายไปก่อนที่เคียงฟ้าจะทันได้ห้ามไว้


             “อาจารย์คะ! อาจารย์เดี๋ยวก่อน!” หล่อนร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เขาหายไปไม่ตอบรับเสียงเรียกของหล่อนอีก แม้พยายามเพ่งจิตให้เป็นสมาธิเท่าไรก็ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสถึงตัวตนของวิมุตติได้อีก


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


              เป็นไปตามคาดภูวิษะเจ้าไม่ตอบสาส์นขององค์ชายา  มีเพียงราชองครักษ์เท่านั้นที่กลับมารายงานว่าได้ส่งถึงหัตถ์แล้ว ทำเอาเคียงฟ้าร้อนรนนึกโมโหเจ้านาคราชขึ้นมาทันที  หล่อนจึงพยายามแต่งสาส์นใหม่ไปถึงเขาว่าด้วยเรื่องสำคัญยิ่งของจุมภะให้เขารีบกลับมาหาทางปรึกษากัน  จากนั้นก็นั่งรอชะเง้อคอยาวคอยดูว่าเมื่อใดจะเสด็จกลับมาเสียที  แต่ความหวังของหล่อนก็มลายเมื่อมีเพียงคำสั่งว่าไม่ว่างติดราชการ คืนนี้จะค้างที่ตำหนักหลวง อย่าได้รบกวนอีก


              “เจ้าภู!! ทำไมเป็นคนอย่างนี้นะ  คิดว่าฉันงี่เง่าหึงโลกแตกอีกแล้วหรือไง” หล่อนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดด้วยความไม่พอใจอยู่คนเดียว  แต่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจดังเฮือกบอกตนเองว่า...สงสัยจะใช่


              แล้วหล่อนจะทำอย่างไรดี...สุดท้ายก็ได้แต่นั่งรอเวลาอย่างเดียวอย่างนั้นหรือ  หญิงสาวกุมขมับนี่ถ้าหล่อนไม่ถูกกักขัง อย่างๆ น้อยก็ยังพอออกไปสืบข่าวคราวได้บ้าง ดูเหมือนหนทางจะคับแคบและต้อนหล่อนจนสู่ทางตันไปเสียหมด


              คืนนั้นหล่อนนอนไม่หลับได้แต่เปิดบานบัญชรมองดูแสงดาว  บนฝืนฟ้าพราวระยับงามจับตานักแบบที่มองเห็นได้ยากในเมืองใหญ่ แต่กับที่นี่ในกาลเวลาที่ยังไม่มีไฟฟ้ามาบดบังแสงจากแดนไกลดวงดาวจึงพริบพราว  หญิงสาวครุ่นคิดอย่างหนัก  จะมีใครสักคนไหมหนอรู้ว่าเมืองนี้กำลังจะล่มอีกไม่ช้า  ถ้าหากว่าดูจากดวงดาวแล้ว...หล่อนยังไม่เห็นวี่แววเลย ทุกอย่างสงบเหมือนทะเลก่อนเกิดพายุที่ปราศจากคลื่นลม


              ไกลออกไปในอุทยานร่างเงาอรชรของหญิงสาวในชุดผ้าซิ่นยกดอกยาวกรอมเท้าสีหมากสุก  มีผ้าแถบพันรอบอกข้างกันนั้นมีชายร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นมาเคียงคู่


              “คิดสิ่งใดอยู่รึแม่หญิง?”


              “คิดถึงนางคนนั้น...นางจักทำสิ่งใดได้” น้ำเสียงตอบนิ่งสนิทมิได้ดูแคลนอย่างเคย


             “แค่หญิงนางเดียวหรือจะฝืนชะตาฟ้า...ยิ่งเป็นชะตาที่ผ่านเลยพ้นไปด้วยแล้ว..จะแก้ไขหรือทำสิ่งใดได้  ข้าอดคิดมิได้ท่านให้นางหวนกลับสู่อดีตเพื่อการใด?” พูดจบก็หันมามองบุรุษข้างกาย  รอยยิ้มคมคายจากใบหน้านั้นยังทำงานอยู่


             “มีใครแก้ไขอดีตได้บ้าง  ผู้คนก็ตายไปแล้ว เมืองก็ล่มสลาย  ท่านคิดหรือว่านางจะปลุกเมืองขึ้นมาได้”


             “แม่หญิง...แม่หญิงคิดว่าข้ารอคอยสิ่งใดอยู่”


              “ข้าจักไปรู้ได้อย่างไร?” เสียงหวานสะบัดด้วยความไม่พอใจ


              “แล้วแม่เล่า? รอคอยสิ่งใด ไฉนจึงมายืนด้วยความวิตกอยู่ตรงนี้” คิ้วโก่งงามของผีสาวขมวดมุ่นเข้าหากัน


              “ข้ามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ  กล้าเกรงว่าท่านให้ความหวังนางมากเกินไป  ความผิดหวังนั้นวิปโยคนัก  นางจะรับได้หรือถ้าหากนางต้องเห็นการล่มสลายของเมืองไปต่อหน้าต่อตา”


              “นั่นเป็นเรื่องของนาง  นั่นเป็นเรื่องที่นางสมควรที่จะได้รู้เห็นด้วยตนเอง”  วิทยเทพหยุดพูดไปชั่วขณะรอยหยักที่มุมปากถูกยกขึ้น  “แล้วเมื่อนั้นการพิจารณาความที่แท้จริงจึงจะบังเกิดขึ้น”


              “ท่านใจดำนัก   เจตนาให้นางชอกช้ำตั้งตัวไม่ติด พอถึงเวลาจะเอาโทษอันใดนางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เฮ้อ..อ” เสียงถอนหายใจดังมาจากกุสุมาลย์


              “มิใช่...แม่ชอบกล่าวโทษเราเกินกว่าเหตุอยู่ร่ำไป  เรารึจะทำเช่นนั้น...เพียงแต่นางผู้นี้มิใช่หรือที่จะไถ่ถอนบาปหรือจะหมุนวงล้อกงกรรมให้เร็วขึ้นทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวนาง”


              “แต่...กรณีนี้...”


              “ใช่..พิเศษ ภูวิษะเจ้าเป็นผู้ขอโอกาสนี้ให้นาง  ทีนี้ไม่ว่านางจะสำนึกหรือไม่ หรือแม้แต่ปฏิเสธทุกสิ่งก็ตาม  นางจักได้เลือกเอง”


             “ไม่ยุติธรรม!”


              “ไฉน?”


               “หากดีก็ดีเหลือแสน หากร้ายก็ร้ายเหลือทน  พวกท่านคิดสิ่งใดกัน  ทำไมไม่ปล่อยให้ไปตามกงเกวียนกรรมเกวียน”  ผีสาวทำหน้าราวกับจะร้องไห้


              “แล้วแม่เล่า...ไยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกงเกวียนกรรมเกวียน  ไฉนมาตามพยาบาทนางอยู่เช่นนี้...” ประโยคยอกย้อนยังกล่าวไม่ทันจบ  ฝ่ามือเรียวก็ฟาดผัวะลงบนท่อนแขนแข็งแรงนั้นทันที


              “หาเรื่องนัก  ผู้ชายกระไร!” คำตัดพ้อต่อว่ากลับกลายเป็นเรียกเสียงขบขันจากคู่สนทนา


              “นี่มิใช่เรื่องชวนหัว!” เสียงหวานตวาดห้วน


               “อภัยให้เราเถิดแม่คุณ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แต่ก็ยังไม่ได้หยุดหัวเราะ


               “เราไม่ได้มาให้ท่านหยอกเอินดอกนะ  หากไม่มีธุระกระไรอีกก็ขอลากันแค่ตรงนี้”


               “เดี๋ยวสิ! อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน  อาจมีสิ่งใดที่มิได้คาดคิดเกิดขึ้นได้” นัยน์ตาสีน้ำตาลใสคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา  ราวกับมีความเชื่อมั่นบางประการ


              “ท่านคิดว่าหญิงนางนั้น...จักทำสิ่งใดได้กระนั้นรึ?”


              “เรื่องนั้นหามีผู้ใดรู้ไม่...แต่  เคียงฟ้ามิใช่หญิงที่จะละทิ้งโอกาสของตน”


              กุสุมาลย์มองไปยังโฉมงามซึ่งประทับอยู่ตรงบานบัญชร  ใจหนึ่งนึกเวทนาอีกใจหนึ่งก็มิได้อยากเกี่ยวข้องกับหญิงที่สร้างตราบาปไว้แก่ตน  


              “วิมุตติ...ท่านอยากให้นางเห็นสิ่งใด”


              “สิ่งที่ภูวิษะเจ้าเห็นในเวลานั้น”


               “ความวิบัติพินาศของเมืองอย่างนั้นรึ?”


               “มิใช่...”


               “แล้วเป็นสิ่งใด...”


              “แม่หญิง...” บุรุษรูปทองแย้มยิ้มให้วิญญาณหญิงงามข้างกาย ก่อนจะเอ่ยต่อ “อย่างไร...ข้าก็เป็นสหายของภูวิษะ” ทว่ารอยยิ้มนั้นลึกลับยากยิ่งแก่ความเข้าใจ


                “วิมุตติ ท่าน....”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่