หายไปนาน...ปีกว่า คนเขียนยังไม่ตายนะคะ แหะ แหะ แค่ยุ่งๆ กับชีวิตหลายๆ เรื่อง
สาธยายไปจะยายเวิ่นเว้อมากค่ะ ยังไงก็สวัสดีปีใหม่นะคะทุกคน ขอให้มีความสุขมากๆ ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทำนะคะ
ถ้ายังไม่ลืมกันละก็...รบกวนช่วยอ่านกันต่อไปจนจบนะคะ จะให้ดีก็ช่วยคอมเม้นท์ทักทายกันหน่อยนะคะ
ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 69
http://ppantip.com/topic/32329512
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
https://www.facebook.com/icy.piccy/?ref=hl
ตอนที่ 70
‘ถ้าจุมภะไม่สิ้นสุด..จะไม่มีเชียงใหม่ในปัจจุบัน!’
สิ้นคำบอกเล่าของวิทยเทพทุกสรรพเสียงเงียบงัน เคียงฟ้านิ่งชะงักไปก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความอัดอั้น
“ถ้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ งั้นจะระลึกชาติไปทำไม ฟ้าจะย้อนมาอดีตไปทำไม ทำไมต้องให้ฟ้ารับรู้ด้วยคะ?!!” หล่อนซบหน้าลงร้องไห้กับหมอนขวานข้างตัว
“อาจารย์รู้ไหม ถ้ารู้แล้วทำอะไรไม่ได้มันเจ็บใจ มันเสียใจยิ่งกว่าไม่รู้เสียอีก”
“มันเป็นวาระ...เรียกว่าวาระกรรมก็ว่าได้ จะมีสักกี่คนมีโอกาสได้เรียนรู้ ได้แก้ไขในสิ่งที่เคยผิดพลาดไป”
“แก้ไข...แก้ไขอะไรคะ อาจารย์เพิ่งตัดความหวังของฟ้าไปหยกๆ” หล่อนตัดพ้อ
“หึ...แก้ไม่ได้ทุกเรื่องแต่ไม่ได้บอกว่าบางเรื่องแก้ไม่ได้นี่” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้น
“มะ...หมายความว่ายังไงคะ?” หล่อนผุดลุกขึ้นมาทั้งที่หน้ายังนองไปด้วยน้ำตา
“มาเถิดเคียงฟ้า จงเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตให้ถึงที่สุด แล้วเจ้าจะได้คำตอบ”
พูดจบกึ่งเทพรูปทองก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ร่างนั้นค่อยๆ โปร่งแสงและเลือนรางหายไปก่อนที่เคียงฟ้าจะทันได้ห้ามไว้
“อาจารย์คะ! อาจารย์เดี๋ยวก่อน!” หล่อนร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เขาหายไปไม่ตอบรับเสียงเรียกของหล่อนอีก แม้พยายามเพ่งจิตให้เป็นสมาธิเท่าไรก็ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสถึงตัวตนของวิมุตติได้อีก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นไปตามคาดภูวิษะเจ้าไม่ตอบสาส์นขององค์ชายา มีเพียงราชองครักษ์เท่านั้นที่กลับมารายงานว่าได้ส่งถึงหัตถ์แล้ว ทำเอาเคียงฟ้าร้อนรนนึกโมโหเจ้านาคราชขึ้นมาทันที หล่อนจึงพยายามแต่งสาส์นใหม่ไปถึงเขาว่าด้วยเรื่องสำคัญยิ่งของจุมภะให้เขารีบกลับมาหาทางปรึกษากัน จากนั้นก็นั่งรอชะเง้อคอยาวคอยดูว่าเมื่อใดจะเสด็จกลับมาเสียที แต่ความหวังของหล่อนก็มลายเมื่อมีเพียงคำสั่งว่าไม่ว่างติดราชการ คืนนี้จะค้างที่ตำหนักหลวง อย่าได้รบกวนอีก
“เจ้าภู!! ทำไมเป็นคนอย่างนี้นะ คิดว่าฉันงี่เง่าหึงโลกแตกอีกแล้วหรือไง” หล่อนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดด้วยความไม่พอใจอยู่คนเดียว แต่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจดังเฮือกบอกตนเองว่า...สงสัยจะใช่
แล้วหล่อนจะทำอย่างไรดี...สุดท้ายก็ได้แต่นั่งรอเวลาอย่างเดียวอย่างนั้นหรือ หญิงสาวกุมขมับนี่ถ้าหล่อนไม่ถูกกักขัง อย่างๆ น้อยก็ยังพอออกไปสืบข่าวคราวได้บ้าง ดูเหมือนหนทางจะคับแคบและต้อนหล่อนจนสู่ทางตันไปเสียหมด
คืนนั้นหล่อนนอนไม่หลับได้แต่เปิดบานบัญชรมองดูแสงดาว บนฝืนฟ้าพราวระยับงามจับตานักแบบที่มองเห็นได้ยากในเมืองใหญ่ แต่กับที่นี่ในกาลเวลาที่ยังไม่มีไฟฟ้ามาบดบังแสงจากแดนไกลดวงดาวจึงพริบพราว หญิงสาวครุ่นคิดอย่างหนัก จะมีใครสักคนไหมหนอรู้ว่าเมืองนี้กำลังจะล่มอีกไม่ช้า ถ้าหากว่าดูจากดวงดาวแล้ว...หล่อนยังไม่เห็นวี่แววเลย ทุกอย่างสงบเหมือนทะเลก่อนเกิดพายุที่ปราศจากคลื่นลม
ไกลออกไปในอุทยานร่างเงาอรชรของหญิงสาวในชุดผ้าซิ่นยกดอกยาวกรอมเท้าสีหมากสุก มีผ้าแถบพันรอบอกข้างกันนั้นมีชายร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นมาเคียงคู่
“คิดสิ่งใดอยู่รึแม่หญิง?”
“คิดถึงนางคนนั้น...นางจักทำสิ่งใดได้” น้ำเสียงตอบนิ่งสนิทมิได้ดูแคลนอย่างเคย
“แค่หญิงนางเดียวหรือจะฝืนชะตาฟ้า...ยิ่งเป็นชะตาที่ผ่านเลยพ้นไปด้วยแล้ว..จะแก้ไขหรือทำสิ่งใดได้ ข้าอดคิดมิได้ท่านให้นางหวนกลับสู่อดีตเพื่อการใด?” พูดจบก็หันมามองบุรุษข้างกาย รอยยิ้มคมคายจากใบหน้านั้นยังทำงานอยู่
“มีใครแก้ไขอดีตได้บ้าง ผู้คนก็ตายไปแล้ว เมืองก็ล่มสลาย ท่านคิดหรือว่านางจะปลุกเมืองขึ้นมาได้”
“แม่หญิง...แม่หญิงคิดว่าข้ารอคอยสิ่งใดอยู่”
“ข้าจักไปรู้ได้อย่างไร?” เสียงหวานสะบัดด้วยความไม่พอใจ
“แล้วแม่เล่า? รอคอยสิ่งใด ไฉนจึงมายืนด้วยความวิตกอยู่ตรงนี้” คิ้วโก่งงามของผีสาวขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ข้ามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ กล้าเกรงว่าท่านให้ความหวังนางมากเกินไป ความผิดหวังนั้นวิปโยคนัก นางจะรับได้หรือถ้าหากนางต้องเห็นการล่มสลายของเมืองไปต่อหน้าต่อตา”
“นั่นเป็นเรื่องของนาง นั่นเป็นเรื่องที่นางสมควรที่จะได้รู้เห็นด้วยตนเอง” วิทยเทพหยุดพูดไปชั่วขณะรอยหยักที่มุมปากถูกยกขึ้น “แล้วเมื่อนั้นการพิจารณาความที่แท้จริงจึงจะบังเกิดขึ้น”
“ท่านใจดำนัก เจตนาให้นางชอกช้ำตั้งตัวไม่ติด พอถึงเวลาจะเอาโทษอันใดนางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เฮ้อ..อ” เสียงถอนหายใจดังมาจากกุสุมาลย์
“มิใช่...แม่ชอบกล่าวโทษเราเกินกว่าเหตุอยู่ร่ำไป เรารึจะทำเช่นนั้น...เพียงแต่นางผู้นี้มิใช่หรือที่จะไถ่ถอนบาปหรือจะหมุนวงล้อกงกรรมให้เร็วขึ้นทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวนาง”
“แต่...กรณีนี้...”
“ใช่..พิเศษ ภูวิษะเจ้าเป็นผู้ขอโอกาสนี้ให้นาง ทีนี้ไม่ว่านางจะสำนึกหรือไม่ หรือแม้แต่ปฏิเสธทุกสิ่งก็ตาม นางจักได้เลือกเอง”
“ไม่ยุติธรรม!”
“ไฉน?”
“หากดีก็ดีเหลือแสน หากร้ายก็ร้ายเหลือทน พวกท่านคิดสิ่งใดกัน ทำไมไม่ปล่อยให้ไปตามกงเกวียนกรรมเกวียน” ผีสาวทำหน้าราวกับจะร้องไห้
“แล้วแม่เล่า...ไยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกงเกวียนกรรมเกวียน ไฉนมาตามพยาบาทนางอยู่เช่นนี้...” ประโยคยอกย้อนยังกล่าวไม่ทันจบ ฝ่ามือเรียวก็ฟาดผัวะลงบนท่อนแขนแข็งแรงนั้นทันที
“หาเรื่องนัก ผู้ชายกระไร!” คำตัดพ้อต่อว่ากลับกลายเป็นเรียกเสียงขบขันจากคู่สนทนา
“นี่มิใช่เรื่องชวนหัว!” เสียงหวานตวาดห้วน
“อภัยให้เราเถิดแม่คุณ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แต่ก็ยังไม่ได้หยุดหัวเราะ
“เราไม่ได้มาให้ท่านหยอกเอินดอกนะ หากไม่มีธุระกระไรอีกก็ขอลากันแค่ตรงนี้”
“เดี๋ยวสิ! อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน อาจมีสิ่งใดที่มิได้คาดคิดเกิดขึ้นได้” นัยน์ตาสีน้ำตาลใสคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา ราวกับมีความเชื่อมั่นบางประการ
“ท่านคิดว่าหญิงนางนั้น...จักทำสิ่งใดได้กระนั้นรึ?”
“เรื่องนั้นหามีผู้ใดรู้ไม่...แต่ เคียงฟ้ามิใช่หญิงที่จะละทิ้งโอกาสของตน”
กุสุมาลย์มองไปยังโฉมงามซึ่งประทับอยู่ตรงบานบัญชร ใจหนึ่งนึกเวทนาอีกใจหนึ่งก็มิได้อยากเกี่ยวข้องกับหญิงที่สร้างตราบาปไว้แก่ตน
“วิมุตติ...ท่านอยากให้นางเห็นสิ่งใด”
“สิ่งที่ภูวิษะเจ้าเห็นในเวลานั้น”
“ความวิบัติพินาศของเมืองอย่างนั้นรึ?”
“มิใช่...”
“แล้วเป็นสิ่งใด...”
“แม่หญิง...” บุรุษรูปทองแย้มยิ้มให้วิญญาณหญิงงามข้างกาย ก่อนจะเอ่ยต่อ “อย่างไร...ข้าก็เป็นสหายของภูวิษะ” ทว่ารอยยิ้มนั้นลึกลับยากยิ่งแก่ความเข้าใจ
“วิมุตติ ท่าน....”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 70-71
สาธยายไปจะยายเวิ่นเว้อมากค่ะ ยังไงก็สวัสดีปีใหม่นะคะทุกคน ขอให้มีความสุขมากๆ ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทำนะคะ
ถ้ายังไม่ลืมกันละก็...รบกวนช่วยอ่านกันต่อไปจนจบนะคะ จะให้ดีก็ช่วยคอมเม้นท์ทักทายกันหน่อยนะคะ
ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 69 http://ppantip.com/topic/32329512
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
https://www.facebook.com/icy.piccy/?ref=hl
‘ถ้าจุมภะไม่สิ้นสุด..จะไม่มีเชียงใหม่ในปัจจุบัน!’
สิ้นคำบอกเล่าของวิทยเทพทุกสรรพเสียงเงียบงัน เคียงฟ้านิ่งชะงักไปก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความอัดอั้น
“ถ้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ งั้นจะระลึกชาติไปทำไม ฟ้าจะย้อนมาอดีตไปทำไม ทำไมต้องให้ฟ้ารับรู้ด้วยคะ?!!” หล่อนซบหน้าลงร้องไห้กับหมอนขวานข้างตัว
“อาจารย์รู้ไหม ถ้ารู้แล้วทำอะไรไม่ได้มันเจ็บใจ มันเสียใจยิ่งกว่าไม่รู้เสียอีก”
“มันเป็นวาระ...เรียกว่าวาระกรรมก็ว่าได้ จะมีสักกี่คนมีโอกาสได้เรียนรู้ ได้แก้ไขในสิ่งที่เคยผิดพลาดไป”
“แก้ไข...แก้ไขอะไรคะ อาจารย์เพิ่งตัดความหวังของฟ้าไปหยกๆ” หล่อนตัดพ้อ
“หึ...แก้ไม่ได้ทุกเรื่องแต่ไม่ได้บอกว่าบางเรื่องแก้ไม่ได้นี่” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้น
“มะ...หมายความว่ายังไงคะ?” หล่อนผุดลุกขึ้นมาทั้งที่หน้ายังนองไปด้วยน้ำตา
“มาเถิดเคียงฟ้า จงเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตให้ถึงที่สุด แล้วเจ้าจะได้คำตอบ”
พูดจบกึ่งเทพรูปทองก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ร่างนั้นค่อยๆ โปร่งแสงและเลือนรางหายไปก่อนที่เคียงฟ้าจะทันได้ห้ามไว้
“อาจารย์คะ! อาจารย์เดี๋ยวก่อน!” หล่อนร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เขาหายไปไม่ตอบรับเสียงเรียกของหล่อนอีก แม้พยายามเพ่งจิตให้เป็นสมาธิเท่าไรก็ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสถึงตัวตนของวิมุตติได้อีก
เป็นไปตามคาดภูวิษะเจ้าไม่ตอบสาส์นขององค์ชายา มีเพียงราชองครักษ์เท่านั้นที่กลับมารายงานว่าได้ส่งถึงหัตถ์แล้ว ทำเอาเคียงฟ้าร้อนรนนึกโมโหเจ้านาคราชขึ้นมาทันที หล่อนจึงพยายามแต่งสาส์นใหม่ไปถึงเขาว่าด้วยเรื่องสำคัญยิ่งของจุมภะให้เขารีบกลับมาหาทางปรึกษากัน จากนั้นก็นั่งรอชะเง้อคอยาวคอยดูว่าเมื่อใดจะเสด็จกลับมาเสียที แต่ความหวังของหล่อนก็มลายเมื่อมีเพียงคำสั่งว่าไม่ว่างติดราชการ คืนนี้จะค้างที่ตำหนักหลวง อย่าได้รบกวนอีก
“เจ้าภู!! ทำไมเป็นคนอย่างนี้นะ คิดว่าฉันงี่เง่าหึงโลกแตกอีกแล้วหรือไง” หล่อนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดด้วยความไม่พอใจอยู่คนเดียว แต่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจดังเฮือกบอกตนเองว่า...สงสัยจะใช่
แล้วหล่อนจะทำอย่างไรดี...สุดท้ายก็ได้แต่นั่งรอเวลาอย่างเดียวอย่างนั้นหรือ หญิงสาวกุมขมับนี่ถ้าหล่อนไม่ถูกกักขัง อย่างๆ น้อยก็ยังพอออกไปสืบข่าวคราวได้บ้าง ดูเหมือนหนทางจะคับแคบและต้อนหล่อนจนสู่ทางตันไปเสียหมด
คืนนั้นหล่อนนอนไม่หลับได้แต่เปิดบานบัญชรมองดูแสงดาว บนฝืนฟ้าพราวระยับงามจับตานักแบบที่มองเห็นได้ยากในเมืองใหญ่ แต่กับที่นี่ในกาลเวลาที่ยังไม่มีไฟฟ้ามาบดบังแสงจากแดนไกลดวงดาวจึงพริบพราว หญิงสาวครุ่นคิดอย่างหนัก จะมีใครสักคนไหมหนอรู้ว่าเมืองนี้กำลังจะล่มอีกไม่ช้า ถ้าหากว่าดูจากดวงดาวแล้ว...หล่อนยังไม่เห็นวี่แววเลย ทุกอย่างสงบเหมือนทะเลก่อนเกิดพายุที่ปราศจากคลื่นลม
ไกลออกไปในอุทยานร่างเงาอรชรของหญิงสาวในชุดผ้าซิ่นยกดอกยาวกรอมเท้าสีหมากสุก มีผ้าแถบพันรอบอกข้างกันนั้นมีชายร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นมาเคียงคู่
“คิดสิ่งใดอยู่รึแม่หญิง?”
“คิดถึงนางคนนั้น...นางจักทำสิ่งใดได้” น้ำเสียงตอบนิ่งสนิทมิได้ดูแคลนอย่างเคย
“แค่หญิงนางเดียวหรือจะฝืนชะตาฟ้า...ยิ่งเป็นชะตาที่ผ่านเลยพ้นไปด้วยแล้ว..จะแก้ไขหรือทำสิ่งใดได้ ข้าอดคิดมิได้ท่านให้นางหวนกลับสู่อดีตเพื่อการใด?” พูดจบก็หันมามองบุรุษข้างกาย รอยยิ้มคมคายจากใบหน้านั้นยังทำงานอยู่
“มีใครแก้ไขอดีตได้บ้าง ผู้คนก็ตายไปแล้ว เมืองก็ล่มสลาย ท่านคิดหรือว่านางจะปลุกเมืองขึ้นมาได้”
“แม่หญิง...แม่หญิงคิดว่าข้ารอคอยสิ่งใดอยู่”
“ข้าจักไปรู้ได้อย่างไร?” เสียงหวานสะบัดด้วยความไม่พอใจ
“แล้วแม่เล่า? รอคอยสิ่งใด ไฉนจึงมายืนด้วยความวิตกอยู่ตรงนี้” คิ้วโก่งงามของผีสาวขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ข้ามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ กล้าเกรงว่าท่านให้ความหวังนางมากเกินไป ความผิดหวังนั้นวิปโยคนัก นางจะรับได้หรือถ้าหากนางต้องเห็นการล่มสลายของเมืองไปต่อหน้าต่อตา”
“นั่นเป็นเรื่องของนาง นั่นเป็นเรื่องที่นางสมควรที่จะได้รู้เห็นด้วยตนเอง” วิทยเทพหยุดพูดไปชั่วขณะรอยหยักที่มุมปากถูกยกขึ้น “แล้วเมื่อนั้นการพิจารณาความที่แท้จริงจึงจะบังเกิดขึ้น”
“ท่านใจดำนัก เจตนาให้นางชอกช้ำตั้งตัวไม่ติด พอถึงเวลาจะเอาโทษอันใดนางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เฮ้อ..อ” เสียงถอนหายใจดังมาจากกุสุมาลย์
“มิใช่...แม่ชอบกล่าวโทษเราเกินกว่าเหตุอยู่ร่ำไป เรารึจะทำเช่นนั้น...เพียงแต่นางผู้นี้มิใช่หรือที่จะไถ่ถอนบาปหรือจะหมุนวงล้อกงกรรมให้เร็วขึ้นทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวนาง”
“แต่...กรณีนี้...”
“ใช่..พิเศษ ภูวิษะเจ้าเป็นผู้ขอโอกาสนี้ให้นาง ทีนี้ไม่ว่านางจะสำนึกหรือไม่ หรือแม้แต่ปฏิเสธทุกสิ่งก็ตาม นางจักได้เลือกเอง”
“ไม่ยุติธรรม!”
“ไฉน?”
“หากดีก็ดีเหลือแสน หากร้ายก็ร้ายเหลือทน พวกท่านคิดสิ่งใดกัน ทำไมไม่ปล่อยให้ไปตามกงเกวียนกรรมเกวียน” ผีสาวทำหน้าราวกับจะร้องไห้
“แล้วแม่เล่า...ไยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกงเกวียนกรรมเกวียน ไฉนมาตามพยาบาทนางอยู่เช่นนี้...” ประโยคยอกย้อนยังกล่าวไม่ทันจบ ฝ่ามือเรียวก็ฟาดผัวะลงบนท่อนแขนแข็งแรงนั้นทันที
“หาเรื่องนัก ผู้ชายกระไร!” คำตัดพ้อต่อว่ากลับกลายเป็นเรียกเสียงขบขันจากคู่สนทนา
“นี่มิใช่เรื่องชวนหัว!” เสียงหวานตวาดห้วน
“อภัยให้เราเถิดแม่คุณ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แต่ก็ยังไม่ได้หยุดหัวเราะ
“เราไม่ได้มาให้ท่านหยอกเอินดอกนะ หากไม่มีธุระกระไรอีกก็ขอลากันแค่ตรงนี้”
“เดี๋ยวสิ! อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน อาจมีสิ่งใดที่มิได้คาดคิดเกิดขึ้นได้” นัยน์ตาสีน้ำตาลใสคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา ราวกับมีความเชื่อมั่นบางประการ
“ท่านคิดว่าหญิงนางนั้น...จักทำสิ่งใดได้กระนั้นรึ?”
“เรื่องนั้นหามีผู้ใดรู้ไม่...แต่ เคียงฟ้ามิใช่หญิงที่จะละทิ้งโอกาสของตน”
กุสุมาลย์มองไปยังโฉมงามซึ่งประทับอยู่ตรงบานบัญชร ใจหนึ่งนึกเวทนาอีกใจหนึ่งก็มิได้อยากเกี่ยวข้องกับหญิงที่สร้างตราบาปไว้แก่ตน
“วิมุตติ...ท่านอยากให้นางเห็นสิ่งใด”
“สิ่งที่ภูวิษะเจ้าเห็นในเวลานั้น”
“ความวิบัติพินาศของเมืองอย่างนั้นรึ?”
“มิใช่...”
“แล้วเป็นสิ่งใด...”
“แม่หญิง...” บุรุษรูปทองแย้มยิ้มให้วิญญาณหญิงงามข้างกาย ก่อนจะเอ่ยต่อ “อย่างไร...ข้าก็เป็นสหายของภูวิษะ” ทว่ารอยยิ้มนั้นลึกลับยากยิ่งแก่ความเข้าใจ
“วิมุตติ ท่าน....”