(เครดิตภาพถ่ายสวยๆมาจาก googe)
ทักทายค่ะ
ขอบคุณมากจากตอนที่ 8หลายท่านมาให้กำลังใจว่าติดตามอ่านอยู่ให้มาลงสม่ำเสมอจะลงให้จบค่ะ แต่เป็นแนวอิงประวัติศาสตร์เล่มแรก
ที่เขียนมันไม่สนุกต้องปรับปรุงอย่างไรแนะนำได้นะคะน้อมรับคำติชมค่ะ
ตอนที่ 9
“พี่เพ็ง ๆ เจ้าคะ” เสียงเรียกนี้ จมื่นราชภักดีมิอยากหันหลังกลับไป เพราะรู้ดีว่าคือเสียงแม่หญิงจำปา แต่ด้วยเป็นเจ้าของเรือนจึงไม่อาจจะทำแบบนั้นได้
“เจ้ามีเรื่องอันใดรึแม่หญิงจำปาถึงมาเยือนเรือนพี่ได้”
“พี่เพ็งพูดเข้า จำปาน้อยใจหนาเจ้าคะ วันนี้น้องทำขนมบัวลอยจักนำมาให้พี่ได้ชิม”
“เยี่ยงนั้นรึ พี่ขอบใจน้ำใจเจ้ามาก แต่วันหลังอย่าลำบากเลยบ่าวไพร่ในเรือนพี่ก็มีอยู่มาก”
“นี่นังอุ่นเอาขนมบัวลอยมาซิ ชักช้าอยู่ไย” จำปาเรียกบ่าวที่ติดตามให้ยกหม้อบัวลอยมาให้หล่อน จำปาเปิดฝาหม้อบัวลอยด้วยหวังจะอวดฝีมือตนให้จมื่นราชภักดีได้ชื่นชม
“นี่เจ้าค่ะพี่เพ็ง น่ากินรึไม่เจ้าคะ”
พ่อเพ็งมองบัวลอยในหม้อขนมที่มีเม็ดไม่เท่ากัน บ้างก็เล็ก บ้างก็ปั้นเสียใหญ่ ให้นึกขัน แต่เกรงจะเป็นการเสียมารยาท จึงกลั้นหัวเราะเอาไว้
“พี่ขอบใจเจ้ามาก นี่เจ้าคงตั้งใจทำมาก” คำชมแกมหยอก
“ใช่เจ้าค่ะ น้องตั้งใจทำให้พี่เพ็ง” พลางส่งสายตาหวานซึ้งให้จมื่นราชภักดี พลันสายตาของนาง ก็เหลือบไปมองชายหนุ่มรูปงามที่กำลังเดินเข้ามาหาจมื่นราชภักดี เขาดูหล่อเหลา คมเข้ม คิ้วดกดำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักได้รูป ร่างกายกำยำ สูงใหญ่ รูปงามไม่เหมือนจมื่นราชภักดีหรือมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ผิวของเขาจะคล้ำกว่าพี่เพ็งของหล่อนมากนัก
“นั่นใครรึพี่เพ็ง น้องมิเคยเห็นมาก่อน”
“นี่ขุนไกร คู่หมั้นของแม่หญิงดาวเรือง น้องข้าอย่างไรเล่า”
จำปารู้สึกเสียดายชายหนุ่มตรงหน้าและแอบอิจฉาแม่หญิงดาวเรืองคู่ปรับเมื่อสมัยยังเด็ก แต่หล่อนก็คิดว่าอย่างน้อย หล่อนก็ยังมีจมื่นราชภักดี จะไม่ปล่อยให้เขาต้องหลุดมือเป็นอันขาด
แม่หญิงจำปายกมือไหว้ขุนไกร เพราะทั้งยศและท่าทางเขาดูจะแก่กว่าหล่อนหลายปี เพราะปีนี้แม่หญิงจำปาย่างเข้ายี่สิบเอ็ดปี
“ข้าดีใจที่ได้รู้จักแม่หญิง เสียเพียงแต่ว่า ข้ากับน้องจักต้องรีบออกเดินทางแล้ว พูดถึงก็มาพอดี” วิลันดาเดินถือห่อผ้า ซึ่งหล่อนไม่มีสัมภาระอันใดที่ต้องนำไปด้วยมากนัก
“ที่แท้นางก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านนี่เอง” แม่หญิงจำปามองวิลันดาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร บ่งบอกถึงความไม่ชอบหน้ากัน
“ใช่แล้ว พวกเราคงจักต้องลาแล้ว เดี๋ยวสายจักเดินทางลำบาก”
วิลันดาหันมายิ้มเป็นมิตรให้กับจำปา แต่จำปากลับเบือนหน้าหนี
“เสร็จงานนี้ พี่จักรีบไปเยี่ยมแม่หญิงที่เรือน” สายตาของจมื่นราชภักดีที่มองแม่หญิงวิลันดานั้น เหมือนกับชายกำลังโดนพรากจากคนรัก จนขุนไกรและจำปาแอบหมั่นไส้ แม่หญิงจำปามองตามด้วยความอิจฉา
“เจ้าค่ะ ข้าจักรอพี่เพ็ง” วิลันดาเองน้อยใจที่ขุนไกรหายไปหลายวันกลับมาแล้วยังมิไยดี จึงแกล้งพูดให้ความหวังพ่อเพ็ง เพื่อประชดขุนไกรเช่นกัน จมื่นราชภักดียืนส่งแม่หญิงวิลันดากับขุนไกรจนเกวียนลับตาไป จึงเดินขึ้นเรือน เขารู้สึกว่าเรือนของเขาดูเงียบเหงาไปถนัด แม้นว่าจะมีหญิงอีกนางซึ่งกำลังเดินขึ้นเรือนตามเขามา แต่นั่นก็ไม่อาจมาเติมเต็มความเหงาในหัวใจเขาได้แม้แต่น้อย
++++++++++++++++++
บัดนี้ ผู้ที่นั่งอยู่บนเกวียนกลับไม่พูดจากัน ทำหน้าบึ้งตึงใส่กันทั้ง ๆ ที่เมื่อวาน ต่างคนก็ต่างคิดถึงอีกฝ่าย จนขุนไกรเริ่มรู้สึกอึดอัด จึงเริ่มพูดกับนางก่อนแต่ดูจะเหมือนการประชดเสียมากกว่า
“เจ้าร้อนรึไม่” ขุนไกรเอ่ยถาม
“นิดหน่อยค่ะ” เวลาอยู่กันเพียงลำพังหล่อนมักจะพูดภาษาของยุคหล่อนเพื่อจะได้โต้เถียงเขาอย่างถนัดปาก
“ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าคงจักร้อนใจมากกว่าร้อนกายจริงรึไม่”
นี่คุณ! วิลันดาเข้าใจความหมายที่ขุนไกรทหารกล้าประชดประชันดี
“เจ้าคงเสียใจมากที่พี่จักพาเจ้ากลับกรุงธน มิได้อยู่ที่เรือนบางช้างของจมื่นราชภักดีรูปงามนั่น”
“ฉันว่าคุณต่างหาก ที่อยากรีบกลับไปหาแม่หญิงดาวเรืองคู่หมั้น อย่ามาโทษฉันหน่อยเลย”
“พี่มิอยากจะถกเถียงกับเด็กหัวดื้อเยี่ยงเจ้า”
ดูซิ เขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายพูดหาเรื่องหล่อนก่อน ยังมาหาว่าหล่อนเป็นเด็กหัวดื้อเสียอีก ทั้งสองจึงบึ้งตึงใส่กันต่อไป
การเดินทางครั้งนี้ วิลันดาไม่คิดว่าจากสมุทรสงครามไปกรุงธนบุรีจะใช้เวลานานและยากลำบากขนาดนี้ ถ้าเป็นยุคของหล่อนขับรถแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้วไม่ต้องใช้เวลาเป็นวันเช่นนี้ หล่อนถึงกับเป็นลมไปเพราะโดนแดดแรงจนจับไข้ “เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างวิลันดา ข้าขอโทษ” ระหว่างทางเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ เช็ดหน้าของหล่อนให้ไข้ลดลง
เมื่อมาถึงเรือนพระยามิตรไมตรีบ่าวไพร่ต่างแตกตื่น ที่อยู่ดี ๆ ขุนไกรก็อุ้มหญิงงามนางหนึ่งขึ้นเรือนมาอย่างเร่งรีบ
“ใครอยู่แถวนี้ เอ็งเร่งไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้แม่หญิงเร็วเข้า นางกำลังจับไข้”
ฝ่ายคุณท้าวเฟื่องดีใจมาก ที่ได้รู้ว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนกลับมาแล้ว เขาหายไปไหนเสียหลายวัน จนนางเป็นกังวลกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความเป็นห่วง จึงรีบออกมาพบ
“พ่อขุน ลูกแม่กลับมาแล้วรึ” คุณท้าวเฟื่องดีใจที่ได้เห็นหน้าบุตรชายแต่ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามจับตาหาหญิงใดเทียบที่ขุนไกรอุ้มนางไว้และดูเหมือนนางยังมิได้สติ
“นางจับไข้ขอรับท่านแม่” คุณท้าวเฟื่องจับน้ำเสียงความเป็นห่วงของขุนไกรได้
“วางนางลงก่อนเถิดใครเห็นเข้าจักมิงาม นางจักเสียหายเอาได้”
++++++++++++++++++
“เอาล่ะไหน ลองว่ามาสิพ่อขุน เรื่องราวมันเป็นเยี่ยงไร เจ้าถึงพาแม่หญิงผู้นั้นกลับมาที่เรือน”
ขุนไกรเล่าความจริงทั้งหมดให้มารดาฟัง ซึ่งแม้นเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสักเพียงใด แต่คุณท้าวเฟื่องรู้ดีว่าขุนไกรไม่เคยพูดปดนางสักครั้ง
“เหลือเชื่อเหลือเกินพ่อขุน แม่อยากจักเป็นลม นี่ถ้ามิใช่พ่อขุนเล่า แม่มิมีทางเชื่อเป็นอันขาด แล้วนี่พ่อขุนจักทำเยี่ยงไรต่อไปกับนาง”
“ลูกก็ยังมิรู้เลยขอรับ”
“แลเจ้าจักให้แม่รับนางเข้ามาอยู่ในเรือนในฐานะอันใดรึพ่อขุน”
“ลูกคิดว่าจักบอกแก่ผู้อื่นว่านางเป็นญาติมาจากต่างเมือง”
“แล้วถ้านางกลับไปยังยุคของนางมิได้ พ่อขุนจักทำเยี่ยงไรกับนาง”
“ลูกจักแต่งงานกับนางให้ถูกต้องตามประเพณี จักรับนางมาเป็นแม่หญิงเคียงเรือนขอรับท่านแม่”
“เจ้าจักทำเยี่ยงนั้นมิได้ดอกหนา พ่อขุน แล้วเจ้าจักเอาแม่หญิงดาวเรืองคู่หมั้นไปไว้ที่ใดเล่า”
“แต่ลูกมิเคยรักแม่หญิงดาวเรืองหนาขอรับ”
“แต่หมั้นกันแล้ว นางมิได้มีความผิดอันใดจักทำให้นางเสื่อมเสียด้วยการถอนหมั้น แม่ว่าเจ้าจักทำเกินไปหนาพ่อขุน”
คุณท้าวเฟื่องเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกันการถูกถอนหมั้นนั้นเป็นเรื่องที่หญิงยุคนั้นถือว่าเสื่อมเสียอย่างมาก
“แต่ลูก”
“เอาเป็นว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันก่อน ดีเสียว่าท่านพ่อของเจ้าไปราชการที่หัวเมืองเสียก่อนเยี่ยงนั้นแล้วคงได้ลมจับกันเสียหลายรอบ”
“โธ่.. ท่านแม่ความรักมันบังคับกันมิได้หนาขอรับ” เขาพยายามอ้อนวอนมารดา ที่เขายอมบอกความในใจกับแม่ของเขาเพราะรู้ใจตนเองแล้วว่าหลงรักแม่หญิงต่างยุคอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“แล้วแม่หญิงนางรู้รึไม่ว่า เจ้าหลงรักนาง” คุณท้าวเฟื่องถามเพราะไม่เคยเห็นขุนไกรจะเคยเกี้ยวพาผู้หญิงคนใดมาก่อน
“นางมิรู้ดอกท่านแม่ลูกมิกล้าบอกความในใจแก่นาง”
เฮ้อ! คุณท้าวเฟื่องถอนใจ เห็นแววความยุ่งยากซึ่งมีทีท่าว่างานนี้ตนจะถูกผู้ใหญ่ฝ่ายแม่หญิงดาวเรืองถอนหงอกเป็นแน่ แต่ก็นึกโทษตนเองและสามีส่วนหนึ่งเรื่องการไปทาบทามแม่หญิงดาวเรืองมาเป็นสะใภ้ โดยมิได้ไต่ถามความสมัครใจของขุนไกรเลย
“แล้วแม่หญิงนางนี้มีชื่อว่ากระไรรึพ่อขุน”
“วิลันดา ขอรับท่านแม่” คุณท้าวทวนชื่อของหล่อนและรู้สึกประหลาด“คนยุคนั้นไยชื่อ เหมือนฝรั่งมังฆ้องชาติวิลันดาเช่นนั้นเล่าพ่อขุน” สีหน้าของนางแสดงความสงสัย วิลันดาในสมัยอยุธยานั้น คือคำเรียกคนต่างชาติพวกผิวขาวแต่คนละเชื้อชาติกับพวกโปรตุเกส
“นางมีเพื่อนชื่อแก้วกานดาด้วยขอรับ ชื่อของคนที่นั่นล้วนแปลกแถมยาวจนลูกคิดว่าเป็นพวกมีเชื้อมีสายเสียอีกขอรับมิค่อยมีผู้ใดชื่อเรียกง่ายๆ แบบคนยุคของเรา”
“ฟ้าคงกำหนดให้เจ้ากับนาง มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันขนาดเจ้าทั้งสองอยู่คนละภพยังได้พบกัน”
“บุพเพอาละวาดมากกว่าขอรับ นางนั้นดื้อดึงเกินหญิงยุคเรามากขอรับ หากนางเป็นเด็กลูกคงจักลงโทษนางไปหลายครั้งหลายคราแล้ว”
“แต่เจ้าก็หลงรักนาง” คุณท้าวเฟื่องมองลูกชายอย่างรู้ทันเขาและลูกชายเพียงคนเดียวสนิทกันจนไม่มีเรื่องใดที่ปิดกันได้
“ท่านแม่” ขุนไกรยิ้มกริ่มหน้าแดงเขาเขินมารดาแต่ก็นึกดีใจที่ได้ระบายความในใจที่อัดแน่นไว้
“นายท่านเจ้าขา นางฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” นางผินรีบมารายงานตามที่ขุนไกรสั่งไว้
วิลันดาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองไปรอบห้องซึ่งไม่รู้ว่าบัดนี้ตนนอนอยู่ที่ใด พลางนึกถึงพ่อกับแม่ของหล่อนที่เสียชีวิตไปแล้วท่านจะรู้หรือไม่ว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านจะต้องมากลายเป็นแม่หญิงหลงยุคแบบนี้
ประตูห้องถูกเปิดออก คนแรก วิลันดาจำได้ดีหน้าตาคมเข้มของเขาตรึงใจหล่อนมิเคยลืม ตามด้วยหญิงวัยประมาณห้าสิบ แต่ดูมีสง่าราศีผิวพรรณขาวผ่องใบหน้าอิ่มเอิบดูใจดี แต่งกายอย่างคนมีฐานะ ส่วนคนสุดท้ายคงเป็นบ่าวคนที่หล่อนลืมตาเห็นครั้งแรกจากนั้นนางก็รีบออกไปจากห้อง
“เจ้าฟื้นแล้วรึ” ขุนไกรรีบเข้ามาประชิดตัวหล่อนแววตาของเขาบ่งบอกว่าห่วงใยนางเหลือเกิน
“นี่แม่ของข้า” คุณท้าวเฟื่องยิ้มให้หล่อนอย่างเอ็นดูทั้งคู่รู้สึกถูกชะตากันและกัน วิลันดายันกายขึ้นเธอต้องการจะลงไปกราบแม่ของขุนไกร
“เจ้ามิต้องลุกขึ้นมาดอก ข้ามิถือสา เจ้าจับไข้อยู่นอนพักเสียเถิด”
นางยกมือขึ้นทาบที่ศีรษะของหล่อนเพื่อดูความร้อนของพิษไข้
วิลันดาตื้นตันจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า ไม่มีใครทำกับหล่อนแบบนี้ ยามเจ็บไข้ก็ต้องดูแลตัวเอง เพราะพ่อกับแม่ของเธอจากไปนานแล้ว การที่มีใครให้ความสนใจกับหล่อนทำให้ หล่อนคิดถึงความอบอุ่นของแม่
“นางตัวร้อนมากนัก นางผินไปเอาผ้าชุบน้ำคอยเช็ดหน้าตาเนื้อตัวให้นางด้วยหนา เจ้านอนหลับเสียเถิด พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”
“เจ้าค่ะ”
หล่อนหลับตาอย่างว่าง่ายและด้วยพิษไข้ที่รุมเร้าร่างกาย ทำให้อ่อนเพลีย ขุนไกรทำทีจะไม่ยอมไปไหนทั้งสิ้นคงจะเฝ้านางอยู่ที่ขอบเตียง แต่คุณท้าวเฟื่องมองว่าไม่เหมาะ
“พ่อขุนปล่อยให้นางนอนพักเถิด”
คุณท้าวเฟื่อง เรียกลูกชายให้ออกจากห้อง เพราะเห็นขุนไกรทำทีอิดเอื้อน มิอยากออกจากห้องของแม่หญิง แต่ต้องจำใจออกไปตามคำสั่งแม่
++++++++++++++++++
อากาศยามดึกเย็นสบาย ลมพัดใบไม้ไหว ๆ เสียงจักจั่นเรไรร้องกันระงมแต่ขุนไกรกลับร้อนรุ่ม นอนกระสับกระส่าย คิดถึงแม่หญิงที่นอนจับไข้อยู่ เขาโทษตัวเองที่ทำให้เธอต้องนอนจับไข้ เขาพลิกไปมาจนเกือบรุ่งสางจึงได้หลับไป
บนเรือนใหญ่ที่ชานเรือน คุณท้าวเฟื่องกำลังสอนบ่าวไพร่สาว ๆ กลุ่มหนึ่งกรองมะลิ ซึ่งคุณท้าวมีฝีมือด้านนี้หาตัวจับยาก
“งามนัก นางขมิ้น ฝีมือเอ็งจัดว่าใช้ได้” คุณท้าวเฟื่องเอ่ยชมบ่าวสาวคนสนิทที่กรองมาลัยมาส่งให้นางตรวจความเรียบร้อย เมื่อมองไปเห็นวิลันดาที่เดินมาอย่างคนไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี
“ตื่นแล้วรึเจ้าเข้ามาใกล้ ๆ ข้าหน่อย”
วิลันดาคลานเข้ามาใกล้ ๆ คุณท้าวเฟื่อง กิริยามารยาทของหล่อนดูแช่มช้อย น่ารักในสายตาคุณท้าว แต่สายตาอีกคู่กลับจับจ้องและนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ แต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก เพราะตนเป็นแค่บ่าวในเรือน
“เจ้าค่ะ” วิลันดาก้มลงกราบอย่างนอบน้อม
“พวกเอ็งออกไปก่อน มีอันใดก็ไปทำกัน” คุณท้าวสั่งพวกบ่าวให้ออกไปก่อน เพราะมีเรื่องจะคุยกับแม่หญิง
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่9)
(เครดิตภาพถ่ายสวยๆมาจาก googe)
ทักทายค่ะ
ขอบคุณมากจากตอนที่ 8หลายท่านมาให้กำลังใจว่าติดตามอ่านอยู่ให้มาลงสม่ำเสมอจะลงให้จบค่ะ แต่เป็นแนวอิงประวัติศาสตร์เล่มแรก
ที่เขียนมันไม่สนุกต้องปรับปรุงอย่างไรแนะนำได้นะคะน้อมรับคำติชมค่ะ
ตอนที่ 9
“พี่เพ็ง ๆ เจ้าคะ” เสียงเรียกนี้ จมื่นราชภักดีมิอยากหันหลังกลับไป เพราะรู้ดีว่าคือเสียงแม่หญิงจำปา แต่ด้วยเป็นเจ้าของเรือนจึงไม่อาจจะทำแบบนั้นได้
“เจ้ามีเรื่องอันใดรึแม่หญิงจำปาถึงมาเยือนเรือนพี่ได้”
“พี่เพ็งพูดเข้า จำปาน้อยใจหนาเจ้าคะ วันนี้น้องทำขนมบัวลอยจักนำมาให้พี่ได้ชิม”
“เยี่ยงนั้นรึ พี่ขอบใจน้ำใจเจ้ามาก แต่วันหลังอย่าลำบากเลยบ่าวไพร่ในเรือนพี่ก็มีอยู่มาก”
“นี่นังอุ่นเอาขนมบัวลอยมาซิ ชักช้าอยู่ไย” จำปาเรียกบ่าวที่ติดตามให้ยกหม้อบัวลอยมาให้หล่อน จำปาเปิดฝาหม้อบัวลอยด้วยหวังจะอวดฝีมือตนให้จมื่นราชภักดีได้ชื่นชม
“นี่เจ้าค่ะพี่เพ็ง น่ากินรึไม่เจ้าคะ”
พ่อเพ็งมองบัวลอยในหม้อขนมที่มีเม็ดไม่เท่ากัน บ้างก็เล็ก บ้างก็ปั้นเสียใหญ่ ให้นึกขัน แต่เกรงจะเป็นการเสียมารยาท จึงกลั้นหัวเราะเอาไว้
“พี่ขอบใจเจ้ามาก นี่เจ้าคงตั้งใจทำมาก” คำชมแกมหยอก
“ใช่เจ้าค่ะ น้องตั้งใจทำให้พี่เพ็ง” พลางส่งสายตาหวานซึ้งให้จมื่นราชภักดี พลันสายตาของนาง ก็เหลือบไปมองชายหนุ่มรูปงามที่กำลังเดินเข้ามาหาจมื่นราชภักดี เขาดูหล่อเหลา คมเข้ม คิ้วดกดำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักได้รูป ร่างกายกำยำ สูงใหญ่ รูปงามไม่เหมือนจมื่นราชภักดีหรือมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ผิวของเขาจะคล้ำกว่าพี่เพ็งของหล่อนมากนัก
“นั่นใครรึพี่เพ็ง น้องมิเคยเห็นมาก่อน”
“นี่ขุนไกร คู่หมั้นของแม่หญิงดาวเรือง น้องข้าอย่างไรเล่า”
จำปารู้สึกเสียดายชายหนุ่มตรงหน้าและแอบอิจฉาแม่หญิงดาวเรืองคู่ปรับเมื่อสมัยยังเด็ก แต่หล่อนก็คิดว่าอย่างน้อย หล่อนก็ยังมีจมื่นราชภักดี จะไม่ปล่อยให้เขาต้องหลุดมือเป็นอันขาด
แม่หญิงจำปายกมือไหว้ขุนไกร เพราะทั้งยศและท่าทางเขาดูจะแก่กว่าหล่อนหลายปี เพราะปีนี้แม่หญิงจำปาย่างเข้ายี่สิบเอ็ดปี
“ข้าดีใจที่ได้รู้จักแม่หญิง เสียเพียงแต่ว่า ข้ากับน้องจักต้องรีบออกเดินทางแล้ว พูดถึงก็มาพอดี” วิลันดาเดินถือห่อผ้า ซึ่งหล่อนไม่มีสัมภาระอันใดที่ต้องนำไปด้วยมากนัก
“ที่แท้นางก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านนี่เอง” แม่หญิงจำปามองวิลันดาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร บ่งบอกถึงความไม่ชอบหน้ากัน
“ใช่แล้ว พวกเราคงจักต้องลาแล้ว เดี๋ยวสายจักเดินทางลำบาก”
วิลันดาหันมายิ้มเป็นมิตรให้กับจำปา แต่จำปากลับเบือนหน้าหนี
“เสร็จงานนี้ พี่จักรีบไปเยี่ยมแม่หญิงที่เรือน” สายตาของจมื่นราชภักดีที่มองแม่หญิงวิลันดานั้น เหมือนกับชายกำลังโดนพรากจากคนรัก จนขุนไกรและจำปาแอบหมั่นไส้ แม่หญิงจำปามองตามด้วยความอิจฉา
“เจ้าค่ะ ข้าจักรอพี่เพ็ง” วิลันดาเองน้อยใจที่ขุนไกรหายไปหลายวันกลับมาแล้วยังมิไยดี จึงแกล้งพูดให้ความหวังพ่อเพ็ง เพื่อประชดขุนไกรเช่นกัน จมื่นราชภักดียืนส่งแม่หญิงวิลันดากับขุนไกรจนเกวียนลับตาไป จึงเดินขึ้นเรือน เขารู้สึกว่าเรือนของเขาดูเงียบเหงาไปถนัด แม้นว่าจะมีหญิงอีกนางซึ่งกำลังเดินขึ้นเรือนตามเขามา แต่นั่นก็ไม่อาจมาเติมเต็มความเหงาในหัวใจเขาได้แม้แต่น้อย
++++++++++++++++++
บัดนี้ ผู้ที่นั่งอยู่บนเกวียนกลับไม่พูดจากัน ทำหน้าบึ้งตึงใส่กันทั้ง ๆ ที่เมื่อวาน ต่างคนก็ต่างคิดถึงอีกฝ่าย จนขุนไกรเริ่มรู้สึกอึดอัด จึงเริ่มพูดกับนางก่อนแต่ดูจะเหมือนการประชดเสียมากกว่า
“เจ้าร้อนรึไม่” ขุนไกรเอ่ยถาม
“นิดหน่อยค่ะ” เวลาอยู่กันเพียงลำพังหล่อนมักจะพูดภาษาของยุคหล่อนเพื่อจะได้โต้เถียงเขาอย่างถนัดปาก
“ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าคงจักร้อนใจมากกว่าร้อนกายจริงรึไม่”
นี่คุณ! วิลันดาเข้าใจความหมายที่ขุนไกรทหารกล้าประชดประชันดี
“เจ้าคงเสียใจมากที่พี่จักพาเจ้ากลับกรุงธน มิได้อยู่ที่เรือนบางช้างของจมื่นราชภักดีรูปงามนั่น”
“ฉันว่าคุณต่างหาก ที่อยากรีบกลับไปหาแม่หญิงดาวเรืองคู่หมั้น อย่ามาโทษฉันหน่อยเลย”
“พี่มิอยากจะถกเถียงกับเด็กหัวดื้อเยี่ยงเจ้า”
ดูซิ เขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายพูดหาเรื่องหล่อนก่อน ยังมาหาว่าหล่อนเป็นเด็กหัวดื้อเสียอีก ทั้งสองจึงบึ้งตึงใส่กันต่อไป
การเดินทางครั้งนี้ วิลันดาไม่คิดว่าจากสมุทรสงครามไปกรุงธนบุรีจะใช้เวลานานและยากลำบากขนาดนี้ ถ้าเป็นยุคของหล่อนขับรถแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้วไม่ต้องใช้เวลาเป็นวันเช่นนี้ หล่อนถึงกับเป็นลมไปเพราะโดนแดดแรงจนจับไข้ “เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างวิลันดา ข้าขอโทษ” ระหว่างทางเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ เช็ดหน้าของหล่อนให้ไข้ลดลง
เมื่อมาถึงเรือนพระยามิตรไมตรีบ่าวไพร่ต่างแตกตื่น ที่อยู่ดี ๆ ขุนไกรก็อุ้มหญิงงามนางหนึ่งขึ้นเรือนมาอย่างเร่งรีบ
“ใครอยู่แถวนี้ เอ็งเร่งไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้แม่หญิงเร็วเข้า นางกำลังจับไข้”
ฝ่ายคุณท้าวเฟื่องดีใจมาก ที่ได้รู้ว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนกลับมาแล้ว เขาหายไปไหนเสียหลายวัน จนนางเป็นกังวลกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความเป็นห่วง จึงรีบออกมาพบ
“พ่อขุน ลูกแม่กลับมาแล้วรึ” คุณท้าวเฟื่องดีใจที่ได้เห็นหน้าบุตรชายแต่ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามจับตาหาหญิงใดเทียบที่ขุนไกรอุ้มนางไว้และดูเหมือนนางยังมิได้สติ
“นางจับไข้ขอรับท่านแม่” คุณท้าวเฟื่องจับน้ำเสียงความเป็นห่วงของขุนไกรได้
“วางนางลงก่อนเถิดใครเห็นเข้าจักมิงาม นางจักเสียหายเอาได้”
++++++++++++++++++
“เอาล่ะไหน ลองว่ามาสิพ่อขุน เรื่องราวมันเป็นเยี่ยงไร เจ้าถึงพาแม่หญิงผู้นั้นกลับมาที่เรือน”
ขุนไกรเล่าความจริงทั้งหมดให้มารดาฟัง ซึ่งแม้นเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสักเพียงใด แต่คุณท้าวเฟื่องรู้ดีว่าขุนไกรไม่เคยพูดปดนางสักครั้ง
“เหลือเชื่อเหลือเกินพ่อขุน แม่อยากจักเป็นลม นี่ถ้ามิใช่พ่อขุนเล่า แม่มิมีทางเชื่อเป็นอันขาด แล้วนี่พ่อขุนจักทำเยี่ยงไรต่อไปกับนาง”
“ลูกก็ยังมิรู้เลยขอรับ”
“แลเจ้าจักให้แม่รับนางเข้ามาอยู่ในเรือนในฐานะอันใดรึพ่อขุน”
“ลูกคิดว่าจักบอกแก่ผู้อื่นว่านางเป็นญาติมาจากต่างเมือง”
“แล้วถ้านางกลับไปยังยุคของนางมิได้ พ่อขุนจักทำเยี่ยงไรกับนาง”
“ลูกจักแต่งงานกับนางให้ถูกต้องตามประเพณี จักรับนางมาเป็นแม่หญิงเคียงเรือนขอรับท่านแม่”
“เจ้าจักทำเยี่ยงนั้นมิได้ดอกหนา พ่อขุน แล้วเจ้าจักเอาแม่หญิงดาวเรืองคู่หมั้นไปไว้ที่ใดเล่า”
“แต่ลูกมิเคยรักแม่หญิงดาวเรืองหนาขอรับ”
“แต่หมั้นกันแล้ว นางมิได้มีความผิดอันใดจักทำให้นางเสื่อมเสียด้วยการถอนหมั้น แม่ว่าเจ้าจักทำเกินไปหนาพ่อขุน”
คุณท้าวเฟื่องเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกันการถูกถอนหมั้นนั้นเป็นเรื่องที่หญิงยุคนั้นถือว่าเสื่อมเสียอย่างมาก
“แต่ลูก”
“เอาเป็นว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันก่อน ดีเสียว่าท่านพ่อของเจ้าไปราชการที่หัวเมืองเสียก่อนเยี่ยงนั้นแล้วคงได้ลมจับกันเสียหลายรอบ”
“โธ่.. ท่านแม่ความรักมันบังคับกันมิได้หนาขอรับ” เขาพยายามอ้อนวอนมารดา ที่เขายอมบอกความในใจกับแม่ของเขาเพราะรู้ใจตนเองแล้วว่าหลงรักแม่หญิงต่างยุคอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“แล้วแม่หญิงนางรู้รึไม่ว่า เจ้าหลงรักนาง” คุณท้าวเฟื่องถามเพราะไม่เคยเห็นขุนไกรจะเคยเกี้ยวพาผู้หญิงคนใดมาก่อน
“นางมิรู้ดอกท่านแม่ลูกมิกล้าบอกความในใจแก่นาง”
เฮ้อ! คุณท้าวเฟื่องถอนใจ เห็นแววความยุ่งยากซึ่งมีทีท่าว่างานนี้ตนจะถูกผู้ใหญ่ฝ่ายแม่หญิงดาวเรืองถอนหงอกเป็นแน่ แต่ก็นึกโทษตนเองและสามีส่วนหนึ่งเรื่องการไปทาบทามแม่หญิงดาวเรืองมาเป็นสะใภ้ โดยมิได้ไต่ถามความสมัครใจของขุนไกรเลย
“แล้วแม่หญิงนางนี้มีชื่อว่ากระไรรึพ่อขุน”
“วิลันดา ขอรับท่านแม่” คุณท้าวทวนชื่อของหล่อนและรู้สึกประหลาด“คนยุคนั้นไยชื่อ เหมือนฝรั่งมังฆ้องชาติวิลันดาเช่นนั้นเล่าพ่อขุน” สีหน้าของนางแสดงความสงสัย วิลันดาในสมัยอยุธยานั้น คือคำเรียกคนต่างชาติพวกผิวขาวแต่คนละเชื้อชาติกับพวกโปรตุเกส
“นางมีเพื่อนชื่อแก้วกานดาด้วยขอรับ ชื่อของคนที่นั่นล้วนแปลกแถมยาวจนลูกคิดว่าเป็นพวกมีเชื้อมีสายเสียอีกขอรับมิค่อยมีผู้ใดชื่อเรียกง่ายๆ แบบคนยุคของเรา”
“ฟ้าคงกำหนดให้เจ้ากับนาง มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันขนาดเจ้าทั้งสองอยู่คนละภพยังได้พบกัน”
“บุพเพอาละวาดมากกว่าขอรับ นางนั้นดื้อดึงเกินหญิงยุคเรามากขอรับ หากนางเป็นเด็กลูกคงจักลงโทษนางไปหลายครั้งหลายคราแล้ว”
“แต่เจ้าก็หลงรักนาง” คุณท้าวเฟื่องมองลูกชายอย่างรู้ทันเขาและลูกชายเพียงคนเดียวสนิทกันจนไม่มีเรื่องใดที่ปิดกันได้
“ท่านแม่” ขุนไกรยิ้มกริ่มหน้าแดงเขาเขินมารดาแต่ก็นึกดีใจที่ได้ระบายความในใจที่อัดแน่นไว้
“นายท่านเจ้าขา นางฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” นางผินรีบมารายงานตามที่ขุนไกรสั่งไว้
วิลันดาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองไปรอบห้องซึ่งไม่รู้ว่าบัดนี้ตนนอนอยู่ที่ใด พลางนึกถึงพ่อกับแม่ของหล่อนที่เสียชีวิตไปแล้วท่านจะรู้หรือไม่ว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านจะต้องมากลายเป็นแม่หญิงหลงยุคแบบนี้
ประตูห้องถูกเปิดออก คนแรก วิลันดาจำได้ดีหน้าตาคมเข้มของเขาตรึงใจหล่อนมิเคยลืม ตามด้วยหญิงวัยประมาณห้าสิบ แต่ดูมีสง่าราศีผิวพรรณขาวผ่องใบหน้าอิ่มเอิบดูใจดี แต่งกายอย่างคนมีฐานะ ส่วนคนสุดท้ายคงเป็นบ่าวคนที่หล่อนลืมตาเห็นครั้งแรกจากนั้นนางก็รีบออกไปจากห้อง
“เจ้าฟื้นแล้วรึ” ขุนไกรรีบเข้ามาประชิดตัวหล่อนแววตาของเขาบ่งบอกว่าห่วงใยนางเหลือเกิน
“นี่แม่ของข้า” คุณท้าวเฟื่องยิ้มให้หล่อนอย่างเอ็นดูทั้งคู่รู้สึกถูกชะตากันและกัน วิลันดายันกายขึ้นเธอต้องการจะลงไปกราบแม่ของขุนไกร
“เจ้ามิต้องลุกขึ้นมาดอก ข้ามิถือสา เจ้าจับไข้อยู่นอนพักเสียเถิด”
นางยกมือขึ้นทาบที่ศีรษะของหล่อนเพื่อดูความร้อนของพิษไข้
วิลันดาตื้นตันจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า ไม่มีใครทำกับหล่อนแบบนี้ ยามเจ็บไข้ก็ต้องดูแลตัวเอง เพราะพ่อกับแม่ของเธอจากไปนานแล้ว การที่มีใครให้ความสนใจกับหล่อนทำให้ หล่อนคิดถึงความอบอุ่นของแม่
“นางตัวร้อนมากนัก นางผินไปเอาผ้าชุบน้ำคอยเช็ดหน้าตาเนื้อตัวให้นางด้วยหนา เจ้านอนหลับเสียเถิด พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”
“เจ้าค่ะ”
หล่อนหลับตาอย่างว่าง่ายและด้วยพิษไข้ที่รุมเร้าร่างกาย ทำให้อ่อนเพลีย ขุนไกรทำทีจะไม่ยอมไปไหนทั้งสิ้นคงจะเฝ้านางอยู่ที่ขอบเตียง แต่คุณท้าวเฟื่องมองว่าไม่เหมาะ
“พ่อขุนปล่อยให้นางนอนพักเถิด”
คุณท้าวเฟื่อง เรียกลูกชายให้ออกจากห้อง เพราะเห็นขุนไกรทำทีอิดเอื้อน มิอยากออกจากห้องของแม่หญิง แต่ต้องจำใจออกไปตามคำสั่งแม่
++++++++++++++++++
อากาศยามดึกเย็นสบาย ลมพัดใบไม้ไหว ๆ เสียงจักจั่นเรไรร้องกันระงมแต่ขุนไกรกลับร้อนรุ่ม นอนกระสับกระส่าย คิดถึงแม่หญิงที่นอนจับไข้อยู่ เขาโทษตัวเองที่ทำให้เธอต้องนอนจับไข้ เขาพลิกไปมาจนเกือบรุ่งสางจึงได้หลับไป
บนเรือนใหญ่ที่ชานเรือน คุณท้าวเฟื่องกำลังสอนบ่าวไพร่สาว ๆ กลุ่มหนึ่งกรองมะลิ ซึ่งคุณท้าวมีฝีมือด้านนี้หาตัวจับยาก
“งามนัก นางขมิ้น ฝีมือเอ็งจัดว่าใช้ได้” คุณท้าวเฟื่องเอ่ยชมบ่าวสาวคนสนิทที่กรองมาลัยมาส่งให้นางตรวจความเรียบร้อย เมื่อมองไปเห็นวิลันดาที่เดินมาอย่างคนไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี
“ตื่นแล้วรึเจ้าเข้ามาใกล้ ๆ ข้าหน่อย”
วิลันดาคลานเข้ามาใกล้ ๆ คุณท้าวเฟื่อง กิริยามารยาทของหล่อนดูแช่มช้อย น่ารักในสายตาคุณท้าว แต่สายตาอีกคู่กลับจับจ้องและนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ แต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก เพราะตนเป็นแค่บ่าวในเรือน
“เจ้าค่ะ” วิลันดาก้มลงกราบอย่างนอบน้อม
“พวกเอ็งออกไปก่อน มีอันใดก็ไปทำกัน” คุณท้าวสั่งพวกบ่าวให้ออกไปก่อน เพราะมีเรื่องจะคุยกับแม่หญิง