บุพเพข้ามภพ (ตอนที่2)

ตอนที่1
http://ppantip.com/topic/31086126


ใครไปงานหนังสือปีนี้บางคะ ถ้าไปแวะทักทายกันได้ที่บูธ สนพ อินเลิฟ วันที่ 26 ช่วง 13.00-15.00 นะคะ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่2

     ขุนไกร ชายชาตินักรบแห่งกรุงธนบุรี เขายืดอกรับโชคชะตาที่เขามิได้เป็นผู้กำหนด ไม่หวั่นเกรง แม้จิตใต้สำนึกจะเตือนให้เขารู้แล้วว่า นี่มิใช่การแสดงของแม่หญิง ผู้ที่เขาคิดว่าหล่อนคงจักวิปลาสไปเสียแล้ว ความรู้สึกของเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เขาจะกล้ายอมรับมันหรือไม่ เขาลองเอาฝ่ามือใหญ่ของตน จับบริเวณต้นแขนด้านซ้ายและออกแรงหยิกมันลงไปแรง ๆ เพื่อเป็นการทดสอบว่าเขาจะมีความรู้สึกหรือไม่ ผลลัพธ์คือความรู้สึกเจ็บแปลบที่กายเนื้อ บริเวณนั้นมีรอยแดงขึ้นมาตามแรงกดจิกของนิ้ว นี่ไม่ใช่ความฝันของเขา                 

หญิงสาวผู้มีใบหน้าหวานเลิศล้ำเกินหญิงใดที่ขุนไกรเคยพบพาน มองกิริยานั้น ด้วยความรู้สึกขบขันแกมสนเท่ห์ในใจว่าชายตัวสูงใหญ่ผู้นี้คงคิดว่าตนเองกำลังฝัน
    
“แล้วข้าจักกลับไปยังยุคกรุงธนบุรีได้เยี่ยงไรกันเล่าแม่หญิง”

เขาเองก็มิรู้จะทำอย่างไร จึงหันไปถามหล่อนซึ่งเขาคิดว่าหล่อนอาจจะเป็นผู้ชักพาเขามาที่นี่และคงมีวิธีส่งเขากลับไป
    
“คุณเชื่อฉันแล้วใช่ไหม”

แต่ในความคิดของหล่อนกลับตอบว่า ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ นี่ฉันกำลังฝันไปหรือเปล่า วิลันดาหยิกแขนตัวเองเบา ๆ เช่นกันและรับรู้ได้ว่ามันยังเจ็บอยู่
    
ขุนไกรนิ่งไม่ตอบ แต่วิลันดาจับความรู้สึกได้ว่า เขาเริ่มจะเชื่อหล่อนบ้างแล้ว ใช่ว่าเขาคนเดียวเท่านั้นที่คงจะกำลังสับสน แม้แต่ตัวหล่อนเองก็ยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริง หล่อนเคยดูละคร เคยอ่านนิยายมาบ้างและมักจะรู้สึกคัดค้านในความคิดเสมอว่า มันคงจะเป็นเพียงจินตนาการของบรรดานักเขียนที่วาดฝันไปเท่านั้น ไม่สามารถจะเกิดขึ้นจริงได้ แต่ว่าวันนี้ ณ เวลานี้ สิ่งที่หล่อนกำลังเผชิญอยู่คืออะไร
    
“แม่หญิงมีวิธีส่งข้ากลับไปได้รึไม่”

ในเมื่อมาได้ ก็น่าจะกลับไปได้ความคิดของขุนไกรในเวลานี้ ไม่มีสิ่งใดดีเกินกว่า การหาทางกลับไปยังสถานที่เดิม เขากวาดตาไปรอบ ๆ โบสถ์มีหล่อนคนเดียวเท่านั้น ฉะนั้นหล่อนผู้นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการมาที่นี่ของเขา
             
  “ฉันไม่ทราบ คุณมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นซิคะ”

ตากลมโตเบิกกว้างขึ้น แล้วส่ายหัวช้า ๆ เป็นเชิงปฏิเสธ วิลันดากล่าว หล่อนคิดอย่างที่พูดจริง ๆ ก็หล่อนไหว้พระของหล่อนอยู่ดี ๆ เขาก็โผล่พรวดมาอย่างนี้ จะให้ทำอย่างไร ถ้าเล่าให้ใครฟังมีหวังต้องถูกหาว่าบ้าอย่างแน่นอน

“เจ้ามิได้เป็นผู้เรียกข้ามาที่นี่ดอกรึ”  สายตาคมกริบนัยน์ตาดำสนิทดั่งสีนิลจ้องมองมาอย่างสงสัย

“เปล่าเลย ฉันจะเรียกคุณมาทำไมกัน ฉันไม่ใช่พ่อมดหมอผี จะได้เรียกคุณมาที่นี่ได้”  หล่อนรีบปัดข้อหาที่กำลังจะถูกยัดเยียดทันที
    
“แล้วข้าจักกลับบ้านข้าได้เยี่ยงไรเล่า”

ขุนไกรทหารกล้าฝีมือดีแห่งกรุงธนบุรี บัดนี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่รู้จะทำเช่นไรกับชีวิตของตน แม้ขุนไกรจะเป็นคนแห่งยุคกรุงธนบุรี แต่เขาเองก็เป็นบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าหัวทันสมัยในยุคของเขา จึงเชื่อว่าเขาข้ามภพมาจริง ๆ แต่จะหาทางกลับไปอย่างไร นั่นคือเรื่องที่เขาต้องคิด
    
“เอาอย่างนี้ละกัน ฉันจะพาคุณไปหาตำรวจ”
             
ยามนี้หล่อนก็คิดอะไรไม่ออก การพาเขาไปส่งตำรวจคงจะดีที่สุด  เพราะจะทำให้เขาไม่ต้องมาเป็นตัวปัญหาของหล่อนอีกต่อไป
    
“เจ้าจักพาข้าไปหาใครรึ”

เขาย้อนถามหล่อน  เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หล่อนเรียกว่าตำรวจคือกรมพระตำรวจหรือไม่  
    
“ตำรวจ เอ่อ ๆ สมัยของคุณเขาคงเรียกว่าโปลิศน่ะค่ะ”  วิลันดาคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจความหมายของคำว่าตำรวจ
    
“เจ้าหมายความว่า เจ้าจักนำพาข้าไปหาขุนนางในกรมพระตำรวจกระนั้นรึ”
    
“อืม! ใช่ซินะ ฉันก็ลืมไป คุณหลงยุคมา ถ้าฉันพาคุณไปแจ้งความกับตำรวจให้พวกเขาพาคุณกลับบ้าน ฉันคงต้องเข้าไปนอนในคุกข้อหาแจ้งความเท็จแน่นอนเลย”

เฮ้อ! แล้วฉันจะทำยังไงกับคุณดีนะ วิลันดาถอนหายใจ
    
“เพลานี้ก็ใกล้ย่ำค่ำแล้ว บางทีเจ้าอาจจักมีที่พักให้ข้าได้พักก่อน แล้วข้าจักหาทางกลับไปยังบ้านของข้า แม่หญิงเจ้าจักพอช่วยเหลือข้าได้รึไม่”
    
“ที่พัก เอาแล้วซิซวยแล้ววิลันดา”                 

หล่อนพึมพำอยู่เบา ๆ หากอากัปกิริยานั้นก็ไม่พ้นสายตาของขุนไกรทหารกล้า
    
“หากข้าทำให้เจ้าต้องลำบากใจ ข้าก็จักมิขอร้องเจ้าอีก”  ขุนไกร ก้าวเดินผ่านหน้าหล่อนมุ่งไปยังประตูทางออกของโบสถ์
    
“เดี๋ยวซิคุณ ทำเป็นงอนไปได้ ฉันเพิ่งรู้นะว่าผู้ชายยุคคุณ เขาก็ขี้งอนกันแบบนี้” หล่อนเรียกเขาเอาไว้กลัวว่าเขาจะเดินออกไปจากโบสถ์
    
ขุนไกรหันหลังก้าวเดินกลับมาหาหล่อนซึ่งยืนทำคิ้วย่นอย่างกับจะผูกกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ข้ามิได้งอนเจ้าดอกหนา กิริยาเยี่ยงที่เจ้าพูด เขาใช้กับแม่หญิงเยี่ยงเจ้า ชายชาติทหารกล้าเยี่ยงข้านี้ มิได้เป็นเยี่ยงนั้นดอก ข้าเพียงแต่มิอยากให้เจ้าต้องลำบากใจ”

“เอาล่ะ ๆ พอทีเถอะ เอาเป็นว่า ฉันจะให้คุณไปพักที่บ้านฉันก่อน จนกว่าคุณจะหาทางกลับบ้านได้ละกัน ฉันคงช่วยคุณได้เท่านี้”

หล่อนพูดจากใจจริงและก็อดนึกสงสารเขาไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็เป็นบรรพบุรุษของไทยคนหนึ่งที่ได้เคยปกป้องบ้านเมืองไว้ แม้หล่อนเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านประวัติศาสตร์ ตอนเรียนก็มักจะสอบตกวิชานี้ เพราะขี้เกียจอ่านหนังสือ แต่ก็จำได้ว่าในยุคที่เขาจากมามีวีรชนคนกล้าที่ต้องพลีชีพไปไม่รู้เท่าไหร่กว่าประเทศไทยจะเป็นปึกแผ่นเช่นทุกวันนี้
    
ทั้งเขาและหล่อนหันกลับไปมองหลวงพ่อนิลมณีที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าและย่อตัวลงนั่งคุกเข่ายกมือไหว้โดยมิได้นัดกันล่วงหน้า
    
“ขอให้ข้าได้กลับไปยังบ้านเมืองของข้าด้วยเถิดขอรับ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ข้ามีหน้าที่จักต้องรับใช้ชาติบ้านเมือง”
    “หากแม้นนี่ คือความปรารถนาที่องค์หลวงพ่อจะให้ลูกได้ช่วยเหลือชายผู้นี้ ลูกก็ยินดีจะช่วยเขาเจ้าค่ะ”                         
วิลันดาก้มลงกราบลาองค์หลวงพ่อนิลมณีอันศักดิ์สิทธิ์
                                          ++++++++++++++++++
“เจ้าจักให้ข้าเข้าไปอยู่ในไอ้วัตถุหน้าตาประหลาดนี่กระนั้นรึ”

ขุนไกรอิดออดทำท่าไม่ยอมขึ้นรถยนต์คันเล็กสีชมพูของหล่อน
“นี่เขาเรียกว่ารถยนต์ค่ะ ถ้าคุณไม่ขึ้นรถ จะให้ขี่ม้ากลับกรุงเทพฯ หรือไง” วิลันดาอ่อนใจกับทหารหนุ่มหล่อยุคกรุงธนบุรีผู้นี้เสียจริง

“ข้าขี่ม้าได้ เจ้ารู้รึไม่ ข้าขี่ม้าได้เก่ง ไม่เป็นรองผู้ใด”

เขาคิดถึงเจ้าม้าตัวโปรดที่ผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ทางเข้าโบสถ์ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้าง

“แต่ฉันไม่มีม้าให้คุณขี่หรอกนะคะ แล้วถ้าคุณยังไม่ขึ้นมา ก็ยืนอยู่ตรงนี้รอคนอื่นมาช่วยละกัน ฉันจะกลับบ้านแล้ว ไม่เห็นหรือว่ามืดค่ำแล้วเนี่ย”

ขุนไกรไม่รอช้า จำต้องขึ้นรถของหล่อนอย่างขัดใจ ทำให้รถขอหล่อนดูอึดอัดไปถนัดตาเพราะเขามีร่างกายสูงใหญ่กำยำ

“เอ่อ...เจ้าจักให้ข้าช่วยอันใดเจ้าได้บ้างรึไม่ ”  

ขุนไกรเห็นหล่อนกำลังขยับอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่รู้จักและหมุนบางสิ่งที่มีลักษณะกลมเป็นวงเบื้องหน้าหล่อน แต่มันทำให้รถวิ่งไปข้างหน้าได้เขาจึงอยากจะช่วยหล่อนบ้าง

“ไม่ต้องคุณนั่งเฉย ๆ ก็พอ”

“แต่ข้าเป็นชายชาติทหาร จักปล่อยให้สตรีเยี่ยงเจ้าลำบาก มันมิสมควรดอก”

“ถ้าฉันให้คุณขับรถ พรุ่งนี้ก็คงไม่ถึงกรุงเทพฯ คงได้นอนกันแถวนี้นี่แหละ” หล่อนเร่งความเร็วรถเพื่อจะรีบกลับให้ถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ไม่ดึกเกินไปนัก

“รถของเจ้านี่วิ่งเร็วกว่าม้าของข้านัก หากข้ามีไว้ใช้ยามออกศึกสงครามคงจักดีมิน้อย”

“โอ้โฮ  คิดไปได้”                         

หญิงสาวแอบยิ้มกับความคิดของทหารหนุ่มแห่งกรุงธนบุรี

“ในสมัยนี้ เขาก็มีการนำรถไปใช้ในการทหาร แต่จะเป็นรถถังค่ะ ไม่ใช่รถแบบนี้ แล้วฉันลืมบอกไป ช่วงที่คุณต้องอยู่ที่นี่ คุณควรจะปรับตัวเสียใหม่นะคะเพื่อที่จะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวคุณ”

“เจ้าคงจักพอแนะนำข้าได้บ้างรึไม่ ว่าข้าควรจักทำเยี่ยงไร”

“ก็อย่างเช่น การพูดจาของคุณต้องเปลี่ยนเสียใหม่ เพราะคำพูดแบบที่คุณใช้คนสมัยนี้ เขาไม่ได้ใช้กันแล้ว อย่างเช่นการแทนตัวเองก็เหมือนกัน”

“เจ้าจักให้ข้าเรียกแทนตัวข้าว่ากระไรรึ”

“แทนตัวคุณเองว่าผม  เราจะใช้คำว่าคุณ ในการเรียกผู้อื่น แต่ถ้าสนิทมากเราสามารถเรียกชื่อเขาได้”

“แล้วคุณชื่ออะไรรึ” เขาถามหล่อนกลับทันควัน

“โอ้โฮ คุณนี่สมองไวสุดยอดไปเลยนะ” หญิงสาวหันเหลียวมองค้อนเขาเข้าให้
“ฉันชื่อวิลันดา” หล่อนตอบ  
    
“แต่คุณไม่ต้องพูดคำว่า รึ ,ฤา ,กระไร,เยี่ยงนี้ เยี่ยงนั้น ลงท้ายคำพูด”      

“วิลันดา” ขุนไกรทวนคำนั้นอยู่ในใจ     

“ผมจักเรียกคุณว่าวิลันดา”

สายตาของขุนไกรทหารกล้าเปล่งประกายวาวขึ้น ยามมองหล่อนชัดๆ ใกล้อย่างนี้เขาคิดว่าหล่อนสวยกว่าหญิงกรุงธนบุรีคนอื่น ๆ ที่เคยพบมากนัก มากเสียกว่าแม่หญิงดาวเรืองโฉมงาม คู่หมั้นคู่หมายของเขาที่เจ้าพระยานิมิตไมตรี ผู้เป็นพ่อของเขาได้สู่ขอจากเพื่อนรักเอาไว้ให้
    
“ถึงแล้วค่ะ บ้านของฉัน”                      

หล่อนจอดรถตรงหน้าบ้านเดี่ยว สไตล์ยุโรป 2 ชั้น ขนาด 50 ตรว. กลางเก่ากลางใหม่ มีสนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ มีต้นพิกุลปลูกเป็นรั้วแนวยาวดูสวยงาม

ขุนไกรก้าวลงจากรถ และมองบ้านเรือนแปลกตาด้วยความสงสัย

“เรือนของคุณวิลันดาเหมือนตึกของพวกโปรตุเกสที่ข้าเคยเห็น แต่ตึกพวกนั้นดูมิสวยเท่าเรือนของคุณ”

คำพูดไทยโบราณผสมผสานภาษาไทยในยุคปัจจุบัน ทำเอาวิลันดาอดจะขำไม่ได้แต่ก็พอจะฟังรู้เรื่อง อย่างน้อยก็ดีกว่าเจอชาวต่างชาติหลงยุค ถ้าเช่นนั้นแล้ววิลันดาคงจนปัญญาจริงๆ  

“เรียกว่าบ้านจะดีกว่าค่ะ เป็นการปลูกเลียนแบบสไตล์ยุโรปค่ะ เข้าบ้านซิคะ”
ขุนไกรเดินตามหล่อนเข้าบ้าน ภายในบ้านของหล่อน เขามองไม่เห็นใครสักคน เห็นแต่โต๊ะ ตู้สิ่งของต่าง ๆ ที่ดูแปลกตากว่าในยุคสมัยของเขามากนัก

“พ่อแม่ของเจ้ามิอยู่ดอกรึ”
    
“เอาอีกแล้วนะ” หล่อนหันมายิ้ม
    
“พ่อแม่ของคุณไม่อยู่หรือครับ”                 

หล่อนแก้ให้แล้วหันไปยิ้มเยาะหยอกเอินเขาพอเป็นพิธี
    
“พ่อแม่ฉันเสียไปได้ 3 ปีแล้วล่ะ”

หล่อนตอบเขา นัยน์ตาเศร้าลงแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำรินลงในแก้วแล้วยกดื่มแก้กระหาย

“แล้วผัวของคุณไม่อยู่หรือครับ”

หล่อนสำลักน้ำที่ดื่ม หน้าตาตื่นกับคำถามของเขา แต่ก็รู้อยู่ในใจว่าเขาพูดไปโดยมิได้มีเจตนาไม่ดีกับหล่อน

“ฉันยังไม่มีสามีหรอกค่ะ ส่วนแฟนก็เพิ่งจะเลิกกันไป”

ขุนไกรสังเกตว่า แวบหนึ่งแววตาของแม่หญิงผู้นี้หม่นลง ก่อนจะกลับคืนเป็นปกติ
    
“เอ่อ...คืออย่างนี้นะขุนไกร สมัยนี้เขาจะไม่พูดคำว่าผัว เพราะมันฟังดูไม่สุภาพจะใช้คำว่าสามีแทน ส่วนคนที่เขารักกัน แต่ยังไม่แต่งงานกันเรียกว่าแฟน”
    
เฮ้อ! เขาถอนใจเป็นคนยุคสมัยใหม่ ทำไมถึงยากนักเขาคิด  

“ทำไมสมัยของคุณต้องเปลี่ยนแปลงให้มันยุ่งยากด้วย” วิลันดาไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร
    
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวฉันจะไปหาเสื้อผ้าของคุณพ่อที่เหลืออยู่ มาให้คุณเปลี่ยน แล้วจะจัดที่ให้คุณนอน”

หล่อนหายไปพักหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมเสื้อผ้าในมือ หล่อนจัดการแนะนำวิธีการใช้ห้องน้ำของคนยุคปัจจุบันให้ขุนไกร เพราะคิดว่าหากหล่อนไม่บอก ขุนไกรจะต้องตกใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่เขาพบ และเขาจะต้องตั้งคำถามกับหล่อนอีกมากมาย

“เข้าใจแล้วใช่ไหมคะ” หล่อนส่งยิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ

ขุนไกรอาบน้ำล้างคราบเหงื่อไคลออกจนสิ้น เสื้อผ้าของพ่อแม่หญิงผู้นี้ช่างใกล้เคียงกับขนาดของรูปร่างของเขาจนไม่เป็นปัญหามากนัก         

วิลันดาหันไปมองคนที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ หล่อนไม่อยากจะเชื่อสายตา หลังจากเขาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่                     

ขุนไกรจะดูดีขึ้นขนาดนี้ ในความรู้สึกของวิลันดา เขาหล่อเหมือนพระเอกหนังไทยไม่มีผิด แต่หล่อนก็ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกมาให้ปรากฏ เพียงแต่นึกชื่นชมเขาอยู่ในใจเท่านั้น

“ฉันจัดที่นอนไว้ให้คุณแล้ว คุณนอนพักเอาแรงเสียหน่อยดีกว่านะคะ แล้วฉันจะค่อย ๆ หาวิธีช่วยคุณกลับไป”

“คุณจะให้ผมนอนที่ห้องของคุณ มันจะไม่เหมาะ เรายังมิได้แต่งงานกันมิสมควรนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกัน”

ขุนไกรแย้งขึ้น วิลันดาส่ายศีรษะทันที

“ใครว่าฉันจะให้คุณนอนเตียงเดียวกับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่