บุพเพข้ามภพ ตอนที่10

กระทู้สนทนา


ทักทาย ยามดึกค่ะ

(ไม่รู้จะมีใครรอพี่ขุนไกรบ้างรึเปล่านะ? )

เงียบ เงียบ จนได้ยินเสียงเครื่องปรับอาศ

แหม....ก็นี่มันตีหนึ่งกว่าแล้วนี้

55555 คนเขียนบ้าไปแล้วคุยคนเดียว

ตอนที่ 10

    “แม่ว่าเจ้าทั้งสองก็คงอายุอานามห่างกันมิมากนัก  วิลันดาปีนี้ เจ้าอายุย่างกี่ปีแล้วรึ” คุณท้าวเฟื่องคะเนจากหน้าตาแม่หญิงวิลันดา คิดว่านางคงอายุราว 20 ถึง 21 นางไม่รู้ว่า ผู้หญิงยุครัตนโกสินทร์เขามีเครื่องสำอางมากมาย ล้วนช่วยทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง

    “ดิฉันอายุย่างเข้า ยี่สิบสี่ปีแล้วเจ้าค่ะ”

    “จริงรึนี่ อายุยี่สิบสี่ ปีแล้วรึ สมควรจักหาคู่ได้แล้วหนา มากไปกว่านี่จักโดนนินทาเอาได้ว่าจักขึ้นคาน” คุณท้าวเป็นคนอารมณ์ดีจึงหยอกล้อนางเล่น แต่วิลันดาก็รู้สึกเขินเพราะรู้ว่าผู้หญิงยุคนี้นิยมแต่งงานกันเร็ว

    “แล้วแม่ดาวเรืองเล่า ถ้าเราจำมิผิดเจ้าย่างเข้ายี่สิบเอ็ดปี ใช่รึไม่”

    “เจ้าค่ะ” สายตาของแม่หญิงดาวเรืองยังติดใจในเสื้อผ้าที่วิลันดาสวมใส่

    “แม่หญิงวิลันดา พี่นี่ช่างเลือกผ้าได้งามนักเจ้าค่ะ พี่กับข้าคงจักชอบเสื้อผ้าคล้ายกันเป็นแน่” แม่หญิงดาวเรืองลองหยั่งเชิงวิลันดา นางจำเสื้อผ้าที่สั่งให้ช่างในพระนครตัดได้  แต่เหตุไฉนเสื้อผ้าของนาง จึงมาอยู่บนเรือนร่างแม่หญิงผู้นี้ได้

    “พี่ต้องขอโทษแม่หญิงดาวเรืองด้วย  เรื่องนี้หากจักเล่าแล้วนั้นคงจักต้องใช้เพลาเป็นอันมาก พี่กับแม่หญิง ได้ไปพบท่านจมื่นราชภักดี พี่ของเจ้าเข้าโดยบังเอิญที่บางช้าง ท่านจึงเชิญเราไปพักยังเรือนของท่าน ระหว่างการเดินทางเสื้อผ้าของแม่หญิงวิลันดาถูกโจรขโมยไป จมื่นราชภักดีจึงได้ให้นางยืมเสื้อผ้าของน้องสวมใส่ก่อน”

    ขุนไกรเป็นผู้อธิบายแก่แม่หญิงดาวเรือง เพราะรู้ว่าวิลันดาหล่อนคงรู้สึกเขินอายที่ถูกเจ้าของเสื้อผ้ามองอย่างจับผิดในชุดที่หล่อนสวมใส่อยู่  ขุนไกรพลางคิดในใจว่า แม่ดาวเรืองคนนี้ก็ใช่เล่นเหมือนกัน ยังอุตส่าห์จำเสื้อผ้าได้แม่นยำ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่สนใจมากมายขนาดนี้

    “พี่ต้องขอโทษแม่หญิงดาวเรืองด้วย ที่ถือวิสาสะหยิบของน้องมาใช้” วิลันดากล่าว

    “อย่าได้คิดมากไปเลยเจ้าคะ พี่หญิงเองเป็นญาติของพี่ขุนไกร น้องก็จักถือว่าเป็นญาติของน้องด้วย แค่เรื่องเสื้อผ้าหาต้องเกรงใจกันไม่” แม่หญิงดาวเรืองพูดตรงข้ามกับความคิด หล่อนแสร้งยิ้ม แท้ที่จริงอยากจะเข้าไปกระชากเสื้อผ้านั้นออกจากร่างแม่หญิงวิลันดาด้วยซ้ำไป บ่าวไพร่ของแม่หญิงดาวเรืองต่างรู้ดีว่า แม่หญิงดาวเรืองภายนอกดูเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่จริง ๆ แล้วหล่อนอารมณ์ร้าย เกรี้ยวกราดขนาดไหนและหวงของยิ่งนัก บ่าวไพร่คนใดทำเสื้อผ้านางชำรุด เป็นได้โดนสั่งเฆี่ยนกันหลังลาย

    “เยี่ยงนี้ก็ดีแล้ว ที่เจ้ามิได้ถือสาหาความอันใด เมื่อเจ้ามาแล้วก็อยู่รับข้าวกันเถิดหนา” คุณท้าวเฟื่องชักชวนนางอย่างที่เจ้าของเรือนควรกระทำ

    “เจ้าค่ะ ดีเหมือนกัน ดาวเรืองเองก็อยากจักอยู่คุยกับพี่ขุนไกร หลังงานหมั้นพี่ขุนก็มิเคยไปเยี่ยมข้าบ้างเลย” แม่หญิงดาวเรืองรับคำอย่างเต็มใจ หล่อนกระเง้ากระงอดใส่ขุนไกร ส่วนขุนไกรมองกิริยาของนางแล้วรู้สึกรำคาญ เขาคิดว่าหากต้องแต่งงานกับนางไปจริง ๆ คงจะรำคาญนางน่าดู ถึงแม้รูปโฉมนางจะสะคราญสักเพียงใดก็ตาม พลางมองไปยังวิลันดา แต่หล่อนไม่ได้มีท่าทีว่าจักสนใจเขาสักนิด คิดได้เช่นนั้น เขาก็จึงคิดแผนหยั่งใจวิลันดาดูว่า จะมีใจให้เขาบ้างหรือไม่

    บ่าวไพร่ยกสำรับกับข้าวขึ้นมาบนเรือน วิลันดามองอาหารไทยหลายอย่างมีไข่ที่โรยเป็นเส้นข้างในเป็นหมูรสชาติออกหวาน ๆ เค็ม ๆ เผ็ดเล็กน้อย หล่อนเห็นพวกบ่าวไพร่เรียกกันว่าตะหลุ่ม และมีอีกหลายอย่างที่หล่อนดูแล้วไม่เคยทานมาก่อน ล้วนแต่จัดมาอย่างสวยสดงดงาม แต่ที่ถูกใจคือผักสดที่ถูกแกะเป็นรูปดอกไม้ใบไม้หลากหลายขนาด ลดหลั่นกันไป จัดคู่กับน้ำพริกมะขามที่ดูสีสันน่ากิน ช่างเรียกน้ำย่อยของหล่อนเหลือเกิน เพราะจำได้ว่า กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ หลังจากที่หล่อนไม่ได้สติไปก็ยังไม่มีอะไรรองท้องอีกเลย

“เจ้าลองกินน้ำพริกมะขามนี่สิ ฝีมือแม่ครัวเรือนพี่ มิเป็นสองรองผู้ใดดอกหนา” ขุนไกรแสร้งตักอาหารให้กับแม่หญิงดาวเรืองอย่างเอาอกเอาใจ แม่หญิงดาวเรืองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หล่อนเขินจนหน้าแดง

“รสดีนักเจ้าค่ะ รสชาติกำลังดี วันหลังน้องจักต้องมาฝากท้องยังเรือนพี่ขุนอีกเป็นแน่”

“เจ้าอยากมารับข้าวพร้อมพี่เมื่อไหร่ ขอให้เจ้าบอกมาเถิด พี่ก็อยากจักรับข้าวร่วมกับเจ้าทุกมื้อ” ทำเอาแม่หญิงดาวเรืองถึงกับอายม้วน             
ขุนไกรแอบมองแม่หญิงวิลันดาหลายครั้งแต่ไม่เห็นว่า หล่อนจะแสดงสีหน้าท่าทางไม่พอใจเลยสักนิด หล่อนดูราวกับเจริญอาหารเสียมากกว่า ขุนไกรคิดในใจว่าเขาคงจักพาหล่อนเดินทางมาอย่างยากลำบากมากถึงได้กินข้าวเยอะ เหมือนคนอดข้าวมาสักสามวัน
    
“เจ้าว่า น้ำพริกมะขามรสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้าง แม่หญิงวิลันดา” คุณท้าวเฟื่องถาม เพราะเห็นหล่อนกินแต่น้ำพริกตรงหน้ากับผักสดและหมูหวานเท่านั้นจึงคิดว่ายุคของนางคงจะเป็นของหายาก แท้ที่จริงแล้วหล่อนกำลังน้อยใจขุนไกรที่ดูเขาจะเอาใจคู่หมั้นแสนสวยจนออกนอกหน้า ไม่คิดบ้างว่าหล่อนต้องมาอยู่ยังที่ซึ่งไม่มีคนรู้จักหล่อนจะรู้สึกเช่นไร

“รสดีนักเจ้าค่ะ” จากนั้นหล่อนก็กินข้าวต่อโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองขุนไกรที่กำลังหยิบนู่นตักนี่ให้กับแม่หญิงดาวเรืองอย่างเอาใจ

“เสียแต่ว่า”
    
“เสียแต่ว่ากระไรรึ” คุณท้าวเฟื่องเอ่ยถาม

“หวานไปนิดเจ้าค่ะ รับมากเกินไปก็อาจจักเลี่ยนได้” พลางนางก็ได้คิดอะไรสนุก ๆ ขึ้น
มา
“หวานไปกระนั้นรึ” คุณท้าวเฟื่องอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อม มองออกว่าหนุ่มสาวแต่ละคนรู้สึกนึกคิดอย่างใด นี่แม่ดาวเรืองหล่อนจะรู้หรือไม่ว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือพิสูจน์รักของเจ้าลูกชายตัวดีของนางเสียแล้ว

“พี่ขุนลองชิมนี่ดูสิเจ้าคะ”  วิลันดาแสร้งทำเป็นน้องสาวผู้แสนดีหยิบตะหลุ่มซึ่งนางแอบซ่อนพริกขี้หนูเม็ดเล็กไว้ข้างใน ตักใส่ชามข้าวให้ขุนไกร สร้างความไม่พอใจให้แม่หญิงดาวเรืองอย่างมาก ขุนไกรแอบดีใจจนยิ้มออกมารีบกินตะหลุ่มที่วิลันดาตักมาให้

“โอ๊ยเผ็ด ขอน้ำให้ข้าที”

“น้ำเจ้าค่ะ ค่อย ๆ กินหนาเจ้าค่ะพี่ขุน” แม่ดาวเรืองรีบหยิบขันน้ำส่งให้

“ตะหลุ่ม ไยถึงมีพริกได้เล่า แม่สั่งแล้วหนาว่า มิให้ทำอาหารเผ็ดมากนักพ่อขุนมิชอบ” ขุนไกรหน้าแดง เขารู้แล้วว่า ตอนนี้โดนแม่หญิงหลงยุคแกล้งเข้าให้ ข้าศึกขุนไกรไม่เคยเกรง แต่หล่อนจะรู้หรือไม่ว่าขุนไกรทหารกล้าคนนี้กลัวเผ็ด เขาไม่ชอบอาหารที่มีรสเผ็ดจัดมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ จนทำให้โดนเพื่อนรักเช่นขุนศรี ล้อเรื่องที่เขากินเผ็ดไม่ได้เสมอ

วิลันดาแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่แอบยิ้มอย่างสะใจที่แกล้งเขาได้ หล่อนคิดในใจว่า นี่แหละนะอยากไม่สนใจหล่อนดีนัก ให้สำลักพริกตายไปเลย

“เจ้าเป็นอันใดรึ แม่หญิงข้าเห็นเจ้ายิ้มคนเดียว” คุณท้าวเฟื่องถามวิลันดา

“เปล่าเจ้าค่ะ” แต่คราวนี้ก็ทำให้หล่อนรู้แล้วว่า ผู้ชายตัวใหญ่น่าเกรงขามแบบขุนไกร กลับมาตายน้ำตื้น เพราะกินเผ็ดไม่ได้ นี่ถ้าหล่อนกลับยุคของหล่อนได้จะเอาไปเล่าให้แก้วกานดาเพื่อนรักของหล่อนฟัง

“พ่อขุนลูกลองกินบะช่อนี่เถิด แม่กินแล้วมันมิเผ็ด เจ้าคงจักกินได้”

“น้องเองเพิ่งรู้ว่า พี่ขุนรับอาหารเผ็ดมิได้” แม้แต่แม่หญิงดาวเรืองเองนางก็ให้นึกขำเช่นกัน

“พี่นี้ น่าอายนักเสียดายเป็นชายชาติทหาร กลับต้องมาพ่ายกับไอ้พริกเม็ดเล็กเพียงแค่นี้” ขุนไกรรู้สึกอายแม่หญิงทั้งสองเหลือเกิน แต่แอบคาดโทษวิลันดาอยู่ในใจ เขาจะต้องเอาคืนหล่อนบ้าง

“โถ..โถ.. พี่ขุนของน้อง เมื่อตอนเด็ก ข้าก็ยังมิชอบทานผักเลย” แม่หญิงดาวเรืองพูดเอาอกเอาใจขุนไกร

“กระนั้นเจ้ายังเด็ก แต่นี่ข้าโตแล้ว รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่นเชียวหนา”

“แม่ว่ากินข้าวเสร็จ เจ้าพาแม่หญิงทั้งสองไปเดินเล่นเถิดหนา” คุณท้าวเฟื่องเอ่ยปาก เพื่อไม่ให้หนุ่มสาวรู้สึกเกร็งและอยากให้วิลันดากับแม่หญิงดาวเรืองผูกมิตรกันไว้ เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน อีกทั้งเข้าใจความรู้สึกของวิลันดาว่า การมาอยู่ในที่ที่ไม่มีคนรู้จักเป็นเช่นไร จึงอยากให้หญิงสาวทั้งสองสนิทสนมกันไว้
            
++++++++++++++++++
****พี่ขุนน่ารัก คนเขียนแอบรักพี่ขุนอยู่คนเดียว ตัวก็ใหญ่ไม่กินพริก****
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่