ตอนที่11
“เป็นเยี่ยงไรไปรึพ่อขุน แม่เห็นสีหน้าเจ้าเหมือนจักมีเรื่องมิใคร่สบายใจ” คุณท้าวเฟื่องมองบุตรชายเพียงคนเดียว ยืนถอนหายใจทำหน้าตาเหมือนคนอมทุกข์อยู่นอกชาน
“ท่านแม่ขอรับลูกกับแม่ดาวเรือง เห็นทีจักมิอาจแต่งงานร่วมหอลงโรงกันได้”
“พ่อขุน ไยลูกพูดเยี่ยงนั้น แม่ดาวเรืองหาได้มีความผิดอันใดที่เจ้าจักถอนหมั้นนางได้” คุณท้าวเฟื่องพูดไปตามเนื้อผ้า
“ลูกมิได้หาว่าแม่หญิงดาวเรืองมีความผิดอันใดขอรับ เพียงแต่ลูกต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดต่อนาง”
“เพราะแม่หญิงหลงยุคกระนั้นรึ” คุณท้าวเฟื่องยิ้มอย่างรู้ทันความคิดของบุตรชาย
“เหตุใดท่านแม่ถึงรู้ขอรับ”
ขุนไกรมีสีหน้าสงสัยเพราะเขามั่นใจว่าเขาพยายามซ่อนความรู้สึกนั้นไว้เหตุใดมารดาจึงดูออก
“พ่อขุน แม่เป็นแม่ของเจ้า แม่ย่อมรู้ว่าเจ้าคิดเยี่ยงไร เพราะแม่เองก็ผิดที่หมั้นหมายหญิงดาวเรืองให้เจ้าโดยมิได้ถามความเห็นเจ้าก่อน”
เฮ้อ!คุณท้าวเฟื่องถอนหายใจแรงอย่างคนมีอะไรในใจ
ท่านแม่!
“ถ้าแม่มิบังคับให้เจ้าหมั้นกับแม่ดาวเรือง เจ้าคงมิต้องเป็นเยี่ยงนี้”
“ก่อนหน้านี้ ลูกคิดว่าสักวันลูกจักรักนางได้ แต่ตอนนี้ลูกรู้แล้วว่าลูกมิอาจรักหญิงอื่นได้เลย เมื่อพบนาง”
“เจ้าเคยบอกแม่หญิงวิลันดาบ้างรึยังว่า เจ้ามีใจให้แก่นาง”
“ข้ามิกล้าบอกนางดอกขอรับ”
“โธ่.. พ่อขุนลูกแม่ นี่ก็เท่ากับเจ้าแอบรักนางฝ่ายเดียว ทั้งที่นางมิรู้เรื่องอันใดด้วยใช่รึไม่”
คุณท้าวเฟื่องรู้สึกขันลูกชายที่มายืนทำหน้าอมทุกข์อยู่ ที่ไหนได้ที่แท้ก็ทึกทักรักเขาข้างเดียว
“แล้วนี่แม่หญิงไปไหนแล้วรึ”
“นางคงเข้านอนเสียแล้วขอรับ เห็นนางบ่นว่า ยังครั่นเนื้อครั่นตัวมิหาย”
“พ่อขุน แม่อยากเตือนเจ้า นางมิใช่คนยุคเรา สักวันหนึ่งนางจักต้องกลับไปยังที่นางจากมา พ่อขุนจักทนได้รึไม่ ถ้าถึงวันนั้น”
“ลูกมิอาจตอบได้ ถ้าเพลานั้นมาถึง ลูกเพียงแต่รู้ว่า วันนี้ลูกรักนาง”
“รักต่างชนชั้น ต่างชาติต่างภาษา แม่ก็ว่ายากแล้วหนา แต่รักต่างภพแม่ก็เพิ่งเคยเห็นเจ้านี่แหละ”
คุณท้าวเฟื่องได้แต่คิดว่า หากคนทั้งคู่มีบุพเพสันนิวาสต่อกันแล้วไซร้ สักวันหนึ่งลูกชายของนางคงจักได้สมหวัง
“พ่อเจ้า ให้คนมาส่งข่าวว่า เสร็จงานจากหัวเมืองแล้ว วันพรุ่งคงจักเดินทางมาถึงคุ้ม”
“ข้าดีใจนัก ข้ามิได้เจอหน้าท่านพ่อมาแรมเดือนแล้ว”
“นี่ถ้าพ่อเจ้ากลับมาแล้วรู้ว่า เจ้ากำลังหาวิธีถอนหมั้นลูกของเพื่อนรักท่านมิรู้จะว่าเยี่ยงไรบ้าง”
“เรื่องนั้น ลูกจะอธิบายให้ท่านพ่อฟังเอง ท่านแม่มิต้องเป็นกังวลดอก”
++++++++++++++++++
วิลันดามองกุหลาบสีชมพูดอกโตในมือที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ พลางนึกถึงคนที่มอบให้แล้ว หล่อนก็รู้สึกวาบหวามในหัวใจ จนมิอยากจะยอมรับว่า ครั้งหนึ่งเคยมีความรู้สึกคล้ายแบบนี้ เมื่อเริ่มคบกับชัชวาล แต่คราวนี้ดูเหมือนมันจะมากกว่าเดิมหลายเท่า
“นี่เรารักเขารึนี่” วิลันดาพูดกับตนเอง
“เจ้าว่าเยี่ยงไร”
วิลันดาวางกุหลาบดอกงามไว้บนเตียงในทันที
“นี่คุณเข้ามาได้ยังไง” วิลันดาผงะไปเล็กน้อย เมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังอยู่ในความคิดเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ก็เจ้ามิได้ลงกลอน พี่ก็ผลักประตูเข้ามา” เขาตอบหน้าตาเฉย ถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเรือน
“ไม่มีมารยาท มาแอบฟังคนอื่นพูด” ใบหน้าสวยล้ำเชิดขึ้น แต่ในใจกลัวขุนไกรจะได้ยินคำที่หล่อนพูดเมื่อครู่
“พี่เพียงจักแค่แวะเข้ามาดู บัดนี้พี่เชื่อแล้วว่าเจ้ามิใคร่สบายจริง” ขุนไกรทำสีหน้าจับพิรุธ
ขุนไกรเดินเข้ามาใกล้วิลันดาแล้วหยุดเว้นระยะเอาไว้ แต่ก็ได้กลิ่นหอมจากกายนาง เขาคิดไปว่าเนื้อนางคงจะหอมยวนใจไปทั้งตัว
“เชื่ออะไรหรือคะ”
“พี่เชื่อแล้ว่าเจ้ามิใคร่สบาย ถึงได้เหม่อลอยนั่งเพ้ออยู่แต่ผู้เดียวเยี่ยงนี้”
“นี่คุณเรื่องอะไรมาว่า ฉันนั่งเพ้อ”
“ก็พี่เห็นเจ้านั่งพูดกับดอกไม้อยู่ เจ้าคงคิดถึงจมื่นราชภักดีใช่รึไม่”
ตอนแรกขุนไกรแกล้งจะหยอกนางเท่านั้น จึงเอ่ยชื่อคู่แข่งหัวใจขึ้นมา
บุพเพข้ามภพ ตอนที่ 11
ตอนที่11
“เป็นเยี่ยงไรไปรึพ่อขุน แม่เห็นสีหน้าเจ้าเหมือนจักมีเรื่องมิใคร่สบายใจ” คุณท้าวเฟื่องมองบุตรชายเพียงคนเดียว ยืนถอนหายใจทำหน้าตาเหมือนคนอมทุกข์อยู่นอกชาน
“ท่านแม่ขอรับลูกกับแม่ดาวเรือง เห็นทีจักมิอาจแต่งงานร่วมหอลงโรงกันได้”
“พ่อขุน ไยลูกพูดเยี่ยงนั้น แม่ดาวเรืองหาได้มีความผิดอันใดที่เจ้าจักถอนหมั้นนางได้” คุณท้าวเฟื่องพูดไปตามเนื้อผ้า
“ลูกมิได้หาว่าแม่หญิงดาวเรืองมีความผิดอันใดขอรับ เพียงแต่ลูกต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดต่อนาง”
“เพราะแม่หญิงหลงยุคกระนั้นรึ” คุณท้าวเฟื่องยิ้มอย่างรู้ทันความคิดของบุตรชาย
“เหตุใดท่านแม่ถึงรู้ขอรับ”
ขุนไกรมีสีหน้าสงสัยเพราะเขามั่นใจว่าเขาพยายามซ่อนความรู้สึกนั้นไว้เหตุใดมารดาจึงดูออก
“พ่อขุน แม่เป็นแม่ของเจ้า แม่ย่อมรู้ว่าเจ้าคิดเยี่ยงไร เพราะแม่เองก็ผิดที่หมั้นหมายหญิงดาวเรืองให้เจ้าโดยมิได้ถามความเห็นเจ้าก่อน”
เฮ้อ!คุณท้าวเฟื่องถอนหายใจแรงอย่างคนมีอะไรในใจ
ท่านแม่!
“ถ้าแม่มิบังคับให้เจ้าหมั้นกับแม่ดาวเรือง เจ้าคงมิต้องเป็นเยี่ยงนี้”
“ก่อนหน้านี้ ลูกคิดว่าสักวันลูกจักรักนางได้ แต่ตอนนี้ลูกรู้แล้วว่าลูกมิอาจรักหญิงอื่นได้เลย เมื่อพบนาง”
“เจ้าเคยบอกแม่หญิงวิลันดาบ้างรึยังว่า เจ้ามีใจให้แก่นาง”
“ข้ามิกล้าบอกนางดอกขอรับ”
“โธ่.. พ่อขุนลูกแม่ นี่ก็เท่ากับเจ้าแอบรักนางฝ่ายเดียว ทั้งที่นางมิรู้เรื่องอันใดด้วยใช่รึไม่”
คุณท้าวเฟื่องรู้สึกขันลูกชายที่มายืนทำหน้าอมทุกข์อยู่ ที่ไหนได้ที่แท้ก็ทึกทักรักเขาข้างเดียว
“แล้วนี่แม่หญิงไปไหนแล้วรึ”
“นางคงเข้านอนเสียแล้วขอรับ เห็นนางบ่นว่า ยังครั่นเนื้อครั่นตัวมิหาย”
“พ่อขุน แม่อยากเตือนเจ้า นางมิใช่คนยุคเรา สักวันหนึ่งนางจักต้องกลับไปยังที่นางจากมา พ่อขุนจักทนได้รึไม่ ถ้าถึงวันนั้น”
“ลูกมิอาจตอบได้ ถ้าเพลานั้นมาถึง ลูกเพียงแต่รู้ว่า วันนี้ลูกรักนาง”
“รักต่างชนชั้น ต่างชาติต่างภาษา แม่ก็ว่ายากแล้วหนา แต่รักต่างภพแม่ก็เพิ่งเคยเห็นเจ้านี่แหละ”
คุณท้าวเฟื่องได้แต่คิดว่า หากคนทั้งคู่มีบุพเพสันนิวาสต่อกันแล้วไซร้ สักวันหนึ่งลูกชายของนางคงจักได้สมหวัง
“พ่อเจ้า ให้คนมาส่งข่าวว่า เสร็จงานจากหัวเมืองแล้ว วันพรุ่งคงจักเดินทางมาถึงคุ้ม”
“ข้าดีใจนัก ข้ามิได้เจอหน้าท่านพ่อมาแรมเดือนแล้ว”
“นี่ถ้าพ่อเจ้ากลับมาแล้วรู้ว่า เจ้ากำลังหาวิธีถอนหมั้นลูกของเพื่อนรักท่านมิรู้จะว่าเยี่ยงไรบ้าง”
“เรื่องนั้น ลูกจะอธิบายให้ท่านพ่อฟังเอง ท่านแม่มิต้องเป็นกังวลดอก”
++++++++++++++++++
วิลันดามองกุหลาบสีชมพูดอกโตในมือที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ พลางนึกถึงคนที่มอบให้แล้ว หล่อนก็รู้สึกวาบหวามในหัวใจ จนมิอยากจะยอมรับว่า ครั้งหนึ่งเคยมีความรู้สึกคล้ายแบบนี้ เมื่อเริ่มคบกับชัชวาล แต่คราวนี้ดูเหมือนมันจะมากกว่าเดิมหลายเท่า
“นี่เรารักเขารึนี่” วิลันดาพูดกับตนเอง
“เจ้าว่าเยี่ยงไร”
วิลันดาวางกุหลาบดอกงามไว้บนเตียงในทันที
“นี่คุณเข้ามาได้ยังไง” วิลันดาผงะไปเล็กน้อย เมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังอยู่ในความคิดเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ก็เจ้ามิได้ลงกลอน พี่ก็ผลักประตูเข้ามา” เขาตอบหน้าตาเฉย ถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเรือน
“ไม่มีมารยาท มาแอบฟังคนอื่นพูด” ใบหน้าสวยล้ำเชิดขึ้น แต่ในใจกลัวขุนไกรจะได้ยินคำที่หล่อนพูดเมื่อครู่
“พี่เพียงจักแค่แวะเข้ามาดู บัดนี้พี่เชื่อแล้วว่าเจ้ามิใคร่สบายจริง” ขุนไกรทำสีหน้าจับพิรุธ
ขุนไกรเดินเข้ามาใกล้วิลันดาแล้วหยุดเว้นระยะเอาไว้ แต่ก็ได้กลิ่นหอมจากกายนาง เขาคิดไปว่าเนื้อนางคงจะหอมยวนใจไปทั้งตัว
“เชื่ออะไรหรือคะ”
“พี่เชื่อแล้ว่าเจ้ามิใคร่สบาย ถึงได้เหม่อลอยนั่งเพ้ออยู่แต่ผู้เดียวเยี่ยงนี้”
“นี่คุณเรื่องอะไรมาว่า ฉันนั่งเพ้อ”
“ก็พี่เห็นเจ้านั่งพูดกับดอกไม้อยู่ เจ้าคงคิดถึงจมื่นราชภักดีใช่รึไม่”
ตอนแรกขุนไกรแกล้งจะหยอกนางเท่านั้น จึงเอ่ยชื่อคู่แข่งหัวใจขึ้นมา