ตอนที่ 20
หลังจากที่จมื่นราชภักดีได้มาสารภาพรักและรวบรัดโดยการขอแต่งงานกับวิลันดา ทำเอาวิลันดาถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่รู้จะหาทางออกเช่นไร ใจจริงตอนนี้หล่อนเองเริ่มรู้ตัวแล้วว่า กำลังมีใจให้กับพี่ขุนของหล่อน ติดเพียงแต่ว่าเขามีคู่หมายอย่างแม่ดาวเรือง ถ้าหล่อนยืนกรานจะคบหาอย่างคนรักกับคุณไกร ย่อมต้องทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายบาดหมางกันอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่หล่อนจะไม่ยอมทำเป็นอันขาด
“น้องคงยังจักให้คำตอบพี่เพ็งตอนนี้มิได้ดอกเจ้าค่ะ” พันธนาการหัวใจที่ถูกรัดรึงเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยอีกใจชายหนึ่ง ย่อมไม่โอนอ่อนดั่งต้นอ้อที่โอนเอนไปตามแรงลม
“พี่เข้าใจแม่หญิง เจ้าอาจจักคิดว่า พี่เห็นแก่ตัวนักที่มาสารภาพรักต่อเจ้า แลรวบรัดตัดความขอเจ้าแต่งงานเยี่ยงนี้ แต่เพราะพี่รู้ว่า เวลามิใช่เรื่องสำคัญตั้งแต่พี่พบหน้าเจ้า ในสายตาพี่หาได้ชายตามองหญิงอื่นอีกต่อไปไม่ แลมันจักเป็นเยี่ยงนี้จนกว่าชีวิตพี่จักหาไม่”
วิลันดาเชื่อว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง มีบางอย่างส่งสัญญาณให้หล่อนรู้ เพียงแต่เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ ถึงแม้นว่าจมื่นราชภักดีจะไม่ได้มีข้อด้อยไปกว่าขุนไกรเลยสักข้อเดียว
“หากแม่หญิงได้คำตอบ หากเจ้าคิดตรงกับใจพี่ พี่นี้จักเร่งให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเจ้า”
“เจ้าค่ะ เอ่อ..ถ้าวันนี้พี่เพ็งมิได้มีธุระอื่นใด น้องคงจักต้องขอตัวก่อน วันนี้น้องจักลงไปช่วยในครัวเจ้าค่ะ พอดีคุณท้าวเป็นไข้หวัด น้องจักไปดูแม่ครัวเขาต้มยาเจ้าค่ะ” นี่เป็นเพียงข้ออ้างให้ห่างชายที่หมายนาง แต่หัวใจกลับครวญครางถึงคนที่กลับค่ายไปแล้ว
แม้เขายังไม่อยากกลับ แต่ก็รู้สึกเกรงใจและคิดว่าหล่อนคงอยากจะมีเวลาได้ทบทวนดูบ้าง เขาจึงขอตัวกลับ พลางนึกในใจว่าตนเองเป็นไปมาก ถ้าวันไหนไม่เห็นหน้าหล่อนคงจะกินข้าวไม่ได้ ข่มตาหลับไม่ลง อานุภาพแห่งความรักช่างยิ่งใหญ่ชวนหลงใหลเสียจริง
“เยี่ยงนั้นแล้ว พี่คงจักต้องขอตัวกลับเรือนก่อน แลพี่จักมาฟังคำตอบจากแม่หญิงทีหลัง”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากจมื่นราชภักดีกลับไปแล้ว วิลันดานั่งกรองมาลัยอย่างไม่มีสมาธิหล่อนจะทำอย่างไรดี จะอยู่ที่นี่ต่อไป ตัวหล่อนจะทำให้ผู้มีพระคุณต้องเดือดร้อนหรือไม่ ทำให้ไม่ได้ระวัง เข็มร้อยมาลัยจึงทิ่มแทงเข้าที่มือบางของหล่อน
อุ๊ย! สิ่งผิดปกติทางร่างกายเกิดขึ้น
“เลือดเราทำไมเป็นสีนี้” ความเจ็บจากที่เข็มร้อยมาลัยทิ่มเข้าที่เนื้อยังไม่ตกใจเท่ากับสิ่งที่หล่อนเห็นเลือดของหล่อนทำไมถึงกลายเป็นสีดำ
“วิลันดา”
วิลันดาหันมาตามเสียงที่เรียก หล่อนพบท่านเจ้าพระยากำลังเดินเข้ามาหาหล่อนพร้อมกับชายชุดขาวมีเค้าหน้าละม้ายคล้ายกับหล่อนเคยพบที่ใดมาก่อน แต่จำไม่ได้ คะเนว่าชายผู้นี้หน้าจะมีอายุราวสัก 60 ปีขึ้นไป หนวดเครายาวแต่ดูมีระเบียบใบหน้าบ่งบอกถึงความเป็นคนใจดี ท่านเจ้าพระยา เริ่มแนะนำผู้มาใหม่ให้วิลันดารู้จักในทันที
“วันนี้เราพาท่านปุโรหิตมาด้วย” สายตาอบอุ่นเอื้ออาทรของเขาทอดมองมายังหญิงงามที่กำลังพนมมือขึ้นไหว้อย่างงดงาม ในสายตาของปุโรหิตนางยังงดงามไม่ผิดจากในอดีตกาล
วิลันดาไหว้ผู้อาวุโสซึ่งท่านพระยามิตรไมตรีแนะนำ
“ฮึ..เลือดของเจ้า” ท่านเจ้าพระยามีสีหน้าตกใจไม่น้อยที่เห็นเลือดของหล่อนที่ไหลออกจากปลายนิ้วชี้กลับเป็นสีดำ แต่คนที่ตกใจกว่าจนสีหน้าที่ปกติมักจะไม่แสดงอารมณ์กลับแสดงสีหน้าตระหนก
“ลูกข้าใกล้หมดเวลาของเจ้าแล้วรึ” ผู้อาวุโสที่ถูกแนะนำว่าคือท่านปุโรหิตมองมาที่วิลันดาด้วยสายตาที่เป็นห่วงยิ่งนัก วิลันดาทำสีหน้าฉงนที่อยู่ ๆ ปุโรหิตก็เรียกหล่อนว่าลูก แต่ก็กำลังตื่นตกใจกับเลือดสีดำของตนเองอยู่มากจึงไม่ได้คิดอะไร
“แม่หญิงเจ้าไปทำแผลเสียก่อนแล้วจงรีบกลับมาพบข้า”
“เจ้าค่ะ” หล่อนจึงเบี่ยงกายออกไปจากตรงนั้นเพื่อกลับไปทำแผลที่ห้องของหล่อน
“ท่านปุโรหิตเชิญนั่งก่อนเถิดหนาท่าน” พระยามิตรไมตรีกล่าวเชื้อเชิญ
ท่านเจ้าพระยากับท่านปุโรหิตสนทนาเรื่องใดกันหล่อนไม่ทราบ แต่ดูสีหน้าแล้วคงเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการเพราะมีสีหน้าเคร่งขรึมด้วยกันทั้งคู่
“มานั่งใกล้ ๆ ท่านปุโรหิตซิแม่หญิง” ท่านเจ้าพระยาบอกแก่วิลันดาเมื่อมองไปยังร่างอรชรที่กำลังเดินเข้ามา
วิลันดาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านปุโรหิตถึงจ้องมองหล่อนไม่วางตา แต่ดูจากลักษณะท่าทางท่านปุโรหิตมิน่าจะเป็นพวกเฒ่าหัวงูอีกทั้งหล่อนมีความรู้สึกบางอย่างมันแปลกมาก จู่ ๆ หล่อนก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่ลำคอน้ำตาไหลออกมารู้สึกตื้นตันจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาหากไม่พยายามสะกดกั้นมันเอาไว้
“ลูกข้าในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาพ่อ” ความรักของคนเป็นพ่อเมื่อได้เห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักอีกครั้งแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“หมายความว่าเยี่ยงไรรึเจ้าคะ” วิลันดาตื่นกลัวเมื่อท่านปุโรหิตพยายามเข้ามาใกล้
แต่ท่านเจ้าพระยาไม่ได้มีสีหน้าตกใจที่ท่านปุโรหิตพูดว่า เขาเป็นพ่อของหล่อน เพราะว่าท่านเจ้าพระยาทราบความมาก่อนหน้านี้แล้ว แม้ไม่อยากจะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ พระยามิตรไมตรีเชื่อในความสามารถหยั่งรู้ของท่านปุโรหิตที่ขึ้นชื่อลือนาม แม้แต่ศึกพม่าที่เคลื่อนทัพเข้ามาใกล้ค่ายบางกุ้งคราวนี้ ท่านปุโรหิตก็ทำนายว่าพวกพม่าจะต้องแตกพ่ายกลับไปพร้อมกับหัวของแม่ทัพพม่าจะตกลงสู่แผ่นดินสยาม
“พ่อจักเล่าความจริงให้เจ้าฟังหนาแม่มณีจันทร์”
มณีจันทร์! ใครกันแววตาวิลันดาบ่งบอกว่ากำลังสับสน
“ท่านเรียกดิฉันว่าลูก แลเรียกชื่อว่ามณีจันทร์ เยี่ยงนั้นรึเจ้าค่ะ”
“ใช่ เจ้าเป็นบุตรีของเรา เจ้าจงฟังเรื่องที่ข้าจักเล่าให้ฟังต่อไปนี้แล้วเจ้าจักเข้าใจเอง”
ในสมัยทวารวดีนครแห่งความเจริญจนถึงขีดสุดยังเรืองอำนาจอยู่ ท่านปุโรหิตศรีวิชัยท่านนี้ เคยเกิดเป็นคหบดีผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง มีธิดางดงามราวกับนางสวรรค์ชื่อมณีจันทร์ ท่านรักและเอ็นดูในตัวธิดาเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อหล่อนอายุได้ 21 ปี ท่านคหบดีอยากให้ลูกสาวได้มีคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกัน จึงได้ตกลงกับเพื่อนรัก ซึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่มีบุตรชายคนเดียวชื่ออินทรา ทั้งสองตกลงให้ลูกของตนแต่งงานกัน หนุ่มสาวทั้งคู่เมื่อพบกันก็เกิดสมัครรักใคร่ แต่หารู้ไม่ว่า มีราชนิกูล พระองค์หนึ่งนามว่า จันทรวดี ดำรงตำแหน่งพระยศเป็นถึงพระภคินีของสนมเอก ซึ่งเป็นที่สเน่หาขององค์กษัตริย์ พระองค์หนึ่งยิ่งนัก นางเกิดแอบรักอินทรา นางทำทุกอย่างเพื่อจะได้เขามาครองคู่ แต่ด้วยความรักที่อินทรามีให้มณีจันทร์เพียงนางเดียวเท่านั้น นางจึงไม่อาจจะเอาชนะใจเขาได้ แต่แล้วเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในวันแต่งงานของอินทราและมณีจันทร์
เจ้าสาวกลับต้องมาตายเพราะถูกวางยาพิษโดยไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ อินทราและพ่อของนางเสียใจมาก อินทราจึงอุทิศตนเองเป็นทหารปกป้องบ้านเมืองไปจนสิ้นลมหายใจ เขาไม่เคยแต่งงานหรือมีผู้หญิงนางใดอีกเลย ส่วนท่านคหบดีเสียใจมากถึงกับบริจาคทรัพย์ให้แก่คนยากจนทั้งหมด เพื่อสร้างกุศลให้แก่บุตรสาวที่จากไป ส่วนตัวท่านเสาะแสวงหาอาจารย์ผู้มีวิชาแก่กล้า จนกระทั่งท่านได้เรียนพระเวทย์สามารถทำนายอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างแม่นยำ ท่านใช้มนตราต่างๆ ที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้มาก ท่านช่วยเหลือผู้คนด้วยความดีจนลมหายใจสุดท้ายของท่าน ก่อนตายท่านได้อธิษฐานขอให้ตัวท่านได้พบบุตรสาวอีก และขอให้จดจำอดีตและเรื่องราวของนางได้เพื่อจะได้คอยช่วยเหลือนางให้สมหวังกับคนรัก
เรื่องที่ท่านปุโรหิตเล่าให้ฟัง วิลันดาฟังอย่างตั้งใจและซาบซึ้งในความรักที่คหบดีท่านนั้นรักบุตรสาวของเขามากมายเหลือเกิน และก็อดแปลกใจและสงสัยระคนกันในสายตาที่ท่านปุโรหิตจ้องมองมายังหล่อน แววตาของท่านตอบได้โดยหล่อนไม่ต้องถาม
“ท่านปุโรหิตหมายความว่า”
“ใช่ ชาติที่แล้วเจ้าเป็นบุตรีแห่งเรามณีจันทร์” พลันหยดน้ำตาก็ร่วงไหลอาบแก้มอิ่มใสของหล่อน เพราะมันตื้นตันใจจนสุดพรรณนา เรื่องนี้เหลือเชื่อพอ ๆ กับเรื่องที่หล่อนข้ามภพมา แต่หล่อนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง หล่อนก้มกราบผู้เป็นพ่อด้วยความซาบซึ้ง
“พ่อรู้ว่าเจ้าจักต้องมาที่นี่ในสักวัน พ่อรอจักช่วยเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ”
ท่านเจ้าพระยามองดูคู่พ่อลูกในอดีตชาติ ตัวท่านเองก็ซาบซึ้งไปด้วยไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ ท่านเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดโชคชะตาถึงได้พาวิลันดาข้ามภพมาถึงนี่ได้ คงเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสที่ชักพาคู่แท้มาพบกัน และคู่ของนางคงมิใช่คนอื่นไกล เพราะท่านปุโรหิตเล่าให้ท่านฟังว่าอินทราช่างเหมือนกับขุนไกรราวกับพิมพ์เดียวกัน
“แต่เพลานี้พ่อจักต้องเร่งช่วยเจ้าแล้ว” ท่านปุโรหิตเห็นเงาดำที่รายล้อมวิลันดาอยู่ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก สีหน้าท่านดูเรียบเฉยแต่ในใจประหวั่นกลัวเกิดเหตุร้ายกับบุตรสาว และจะทำให้หล่อนและเขาต้องพลัดพรากกันอีกครั้ง
“ช่วยเรื่องอันใดรึเจ้าคะ”
“เลือดในกายของเจ้ามันกลายเป็นสีดำแล้วใช่รึไม่”
“นั่นหมายความว่า เจ้าจักอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน”
“เพราะเหตุอันใดรึเจ้าค่ะ”
“เพราะเจ้ามิใช่คนของที่นี่ เจ้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเยี่ยงผู้คนทั่วไปมิได้”
“หากเจ้าอยู่ที่นี่นานไปร่างของเจ้าจะเริ่มเปลี่ยนแปลง ค่อย ๆ เน่าเปื่อยไปในมิช้า”
“จริงรึเจ้าคะ” สิ่งที่ผู้หญิงกลัวที่สุดคือกลัวผิวหนังที่เคยเต่งตึงสวยงามต้องหย่อนยาน กลัวฟันที่เรียงตัวกันแวววาวดุจไข่มุกต้องหักร่วง กลัวผมสวยดุจไหมเนื้อดีต้องหลุดร่วง เมื่อรู้ว่าร่างกายกำลังจะเน่าเปื่อยจะไม่ให้หล่อนกลัวได้อย่างไร
“ด้วยเหตุนี้พ่อจึงมาพบกับเจ้า”
+++++++++++++++++++
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 20)
หลังจากที่จมื่นราชภักดีได้มาสารภาพรักและรวบรัดโดยการขอแต่งงานกับวิลันดา ทำเอาวิลันดาถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่รู้จะหาทางออกเช่นไร ใจจริงตอนนี้หล่อนเองเริ่มรู้ตัวแล้วว่า กำลังมีใจให้กับพี่ขุนของหล่อน ติดเพียงแต่ว่าเขามีคู่หมายอย่างแม่ดาวเรือง ถ้าหล่อนยืนกรานจะคบหาอย่างคนรักกับคุณไกร ย่อมต้องทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายบาดหมางกันอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่หล่อนจะไม่ยอมทำเป็นอันขาด
“น้องคงยังจักให้คำตอบพี่เพ็งตอนนี้มิได้ดอกเจ้าค่ะ” พันธนาการหัวใจที่ถูกรัดรึงเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยอีกใจชายหนึ่ง ย่อมไม่โอนอ่อนดั่งต้นอ้อที่โอนเอนไปตามแรงลม
“พี่เข้าใจแม่หญิง เจ้าอาจจักคิดว่า พี่เห็นแก่ตัวนักที่มาสารภาพรักต่อเจ้า แลรวบรัดตัดความขอเจ้าแต่งงานเยี่ยงนี้ แต่เพราะพี่รู้ว่า เวลามิใช่เรื่องสำคัญตั้งแต่พี่พบหน้าเจ้า ในสายตาพี่หาได้ชายตามองหญิงอื่นอีกต่อไปไม่ แลมันจักเป็นเยี่ยงนี้จนกว่าชีวิตพี่จักหาไม่”
วิลันดาเชื่อว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง มีบางอย่างส่งสัญญาณให้หล่อนรู้ เพียงแต่เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ ถึงแม้นว่าจมื่นราชภักดีจะไม่ได้มีข้อด้อยไปกว่าขุนไกรเลยสักข้อเดียว
“หากแม่หญิงได้คำตอบ หากเจ้าคิดตรงกับใจพี่ พี่นี้จักเร่งให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเจ้า”
“เจ้าค่ะ เอ่อ..ถ้าวันนี้พี่เพ็งมิได้มีธุระอื่นใด น้องคงจักต้องขอตัวก่อน วันนี้น้องจักลงไปช่วยในครัวเจ้าค่ะ พอดีคุณท้าวเป็นไข้หวัด น้องจักไปดูแม่ครัวเขาต้มยาเจ้าค่ะ” นี่เป็นเพียงข้ออ้างให้ห่างชายที่หมายนาง แต่หัวใจกลับครวญครางถึงคนที่กลับค่ายไปแล้ว
แม้เขายังไม่อยากกลับ แต่ก็รู้สึกเกรงใจและคิดว่าหล่อนคงอยากจะมีเวลาได้ทบทวนดูบ้าง เขาจึงขอตัวกลับ พลางนึกในใจว่าตนเองเป็นไปมาก ถ้าวันไหนไม่เห็นหน้าหล่อนคงจะกินข้าวไม่ได้ ข่มตาหลับไม่ลง อานุภาพแห่งความรักช่างยิ่งใหญ่ชวนหลงใหลเสียจริง
“เยี่ยงนั้นแล้ว พี่คงจักต้องขอตัวกลับเรือนก่อน แลพี่จักมาฟังคำตอบจากแม่หญิงทีหลัง”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากจมื่นราชภักดีกลับไปแล้ว วิลันดานั่งกรองมาลัยอย่างไม่มีสมาธิหล่อนจะทำอย่างไรดี จะอยู่ที่นี่ต่อไป ตัวหล่อนจะทำให้ผู้มีพระคุณต้องเดือดร้อนหรือไม่ ทำให้ไม่ได้ระวัง เข็มร้อยมาลัยจึงทิ่มแทงเข้าที่มือบางของหล่อน
อุ๊ย! สิ่งผิดปกติทางร่างกายเกิดขึ้น
“เลือดเราทำไมเป็นสีนี้” ความเจ็บจากที่เข็มร้อยมาลัยทิ่มเข้าที่เนื้อยังไม่ตกใจเท่ากับสิ่งที่หล่อนเห็นเลือดของหล่อนทำไมถึงกลายเป็นสีดำ
“วิลันดา”
วิลันดาหันมาตามเสียงที่เรียก หล่อนพบท่านเจ้าพระยากำลังเดินเข้ามาหาหล่อนพร้อมกับชายชุดขาวมีเค้าหน้าละม้ายคล้ายกับหล่อนเคยพบที่ใดมาก่อน แต่จำไม่ได้ คะเนว่าชายผู้นี้หน้าจะมีอายุราวสัก 60 ปีขึ้นไป หนวดเครายาวแต่ดูมีระเบียบใบหน้าบ่งบอกถึงความเป็นคนใจดี ท่านเจ้าพระยา เริ่มแนะนำผู้มาใหม่ให้วิลันดารู้จักในทันที
“วันนี้เราพาท่านปุโรหิตมาด้วย” สายตาอบอุ่นเอื้ออาทรของเขาทอดมองมายังหญิงงามที่กำลังพนมมือขึ้นไหว้อย่างงดงาม ในสายตาของปุโรหิตนางยังงดงามไม่ผิดจากในอดีตกาล
วิลันดาไหว้ผู้อาวุโสซึ่งท่านพระยามิตรไมตรีแนะนำ
“ฮึ..เลือดของเจ้า” ท่านเจ้าพระยามีสีหน้าตกใจไม่น้อยที่เห็นเลือดของหล่อนที่ไหลออกจากปลายนิ้วชี้กลับเป็นสีดำ แต่คนที่ตกใจกว่าจนสีหน้าที่ปกติมักจะไม่แสดงอารมณ์กลับแสดงสีหน้าตระหนก
“ลูกข้าใกล้หมดเวลาของเจ้าแล้วรึ” ผู้อาวุโสที่ถูกแนะนำว่าคือท่านปุโรหิตมองมาที่วิลันดาด้วยสายตาที่เป็นห่วงยิ่งนัก วิลันดาทำสีหน้าฉงนที่อยู่ ๆ ปุโรหิตก็เรียกหล่อนว่าลูก แต่ก็กำลังตื่นตกใจกับเลือดสีดำของตนเองอยู่มากจึงไม่ได้คิดอะไร
“แม่หญิงเจ้าไปทำแผลเสียก่อนแล้วจงรีบกลับมาพบข้า”
“เจ้าค่ะ” หล่อนจึงเบี่ยงกายออกไปจากตรงนั้นเพื่อกลับไปทำแผลที่ห้องของหล่อน
“ท่านปุโรหิตเชิญนั่งก่อนเถิดหนาท่าน” พระยามิตรไมตรีกล่าวเชื้อเชิญ
ท่านเจ้าพระยากับท่านปุโรหิตสนทนาเรื่องใดกันหล่อนไม่ทราบ แต่ดูสีหน้าแล้วคงเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการเพราะมีสีหน้าเคร่งขรึมด้วยกันทั้งคู่
“มานั่งใกล้ ๆ ท่านปุโรหิตซิแม่หญิง” ท่านเจ้าพระยาบอกแก่วิลันดาเมื่อมองไปยังร่างอรชรที่กำลังเดินเข้ามา
วิลันดาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านปุโรหิตถึงจ้องมองหล่อนไม่วางตา แต่ดูจากลักษณะท่าทางท่านปุโรหิตมิน่าจะเป็นพวกเฒ่าหัวงูอีกทั้งหล่อนมีความรู้สึกบางอย่างมันแปลกมาก จู่ ๆ หล่อนก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่ลำคอน้ำตาไหลออกมารู้สึกตื้นตันจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาหากไม่พยายามสะกดกั้นมันเอาไว้
“ลูกข้าในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาพ่อ” ความรักของคนเป็นพ่อเมื่อได้เห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักอีกครั้งแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“หมายความว่าเยี่ยงไรรึเจ้าคะ” วิลันดาตื่นกลัวเมื่อท่านปุโรหิตพยายามเข้ามาใกล้
แต่ท่านเจ้าพระยาไม่ได้มีสีหน้าตกใจที่ท่านปุโรหิตพูดว่า เขาเป็นพ่อของหล่อน เพราะว่าท่านเจ้าพระยาทราบความมาก่อนหน้านี้แล้ว แม้ไม่อยากจะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ พระยามิตรไมตรีเชื่อในความสามารถหยั่งรู้ของท่านปุโรหิตที่ขึ้นชื่อลือนาม แม้แต่ศึกพม่าที่เคลื่อนทัพเข้ามาใกล้ค่ายบางกุ้งคราวนี้ ท่านปุโรหิตก็ทำนายว่าพวกพม่าจะต้องแตกพ่ายกลับไปพร้อมกับหัวของแม่ทัพพม่าจะตกลงสู่แผ่นดินสยาม
“พ่อจักเล่าความจริงให้เจ้าฟังหนาแม่มณีจันทร์”
มณีจันทร์! ใครกันแววตาวิลันดาบ่งบอกว่ากำลังสับสน
“ท่านเรียกดิฉันว่าลูก แลเรียกชื่อว่ามณีจันทร์ เยี่ยงนั้นรึเจ้าค่ะ”
“ใช่ เจ้าเป็นบุตรีของเรา เจ้าจงฟังเรื่องที่ข้าจักเล่าให้ฟังต่อไปนี้แล้วเจ้าจักเข้าใจเอง”
ในสมัยทวารวดีนครแห่งความเจริญจนถึงขีดสุดยังเรืองอำนาจอยู่ ท่านปุโรหิตศรีวิชัยท่านนี้ เคยเกิดเป็นคหบดีผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง มีธิดางดงามราวกับนางสวรรค์ชื่อมณีจันทร์ ท่านรักและเอ็นดูในตัวธิดาเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อหล่อนอายุได้ 21 ปี ท่านคหบดีอยากให้ลูกสาวได้มีคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกัน จึงได้ตกลงกับเพื่อนรัก ซึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่มีบุตรชายคนเดียวชื่ออินทรา ทั้งสองตกลงให้ลูกของตนแต่งงานกัน หนุ่มสาวทั้งคู่เมื่อพบกันก็เกิดสมัครรักใคร่ แต่หารู้ไม่ว่า มีราชนิกูล พระองค์หนึ่งนามว่า จันทรวดี ดำรงตำแหน่งพระยศเป็นถึงพระภคินีของสนมเอก ซึ่งเป็นที่สเน่หาขององค์กษัตริย์ พระองค์หนึ่งยิ่งนัก นางเกิดแอบรักอินทรา นางทำทุกอย่างเพื่อจะได้เขามาครองคู่ แต่ด้วยความรักที่อินทรามีให้มณีจันทร์เพียงนางเดียวเท่านั้น นางจึงไม่อาจจะเอาชนะใจเขาได้ แต่แล้วเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในวันแต่งงานของอินทราและมณีจันทร์
เจ้าสาวกลับต้องมาตายเพราะถูกวางยาพิษโดยไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ อินทราและพ่อของนางเสียใจมาก อินทราจึงอุทิศตนเองเป็นทหารปกป้องบ้านเมืองไปจนสิ้นลมหายใจ เขาไม่เคยแต่งงานหรือมีผู้หญิงนางใดอีกเลย ส่วนท่านคหบดีเสียใจมากถึงกับบริจาคทรัพย์ให้แก่คนยากจนทั้งหมด เพื่อสร้างกุศลให้แก่บุตรสาวที่จากไป ส่วนตัวท่านเสาะแสวงหาอาจารย์ผู้มีวิชาแก่กล้า จนกระทั่งท่านได้เรียนพระเวทย์สามารถทำนายอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างแม่นยำ ท่านใช้มนตราต่างๆ ที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้มาก ท่านช่วยเหลือผู้คนด้วยความดีจนลมหายใจสุดท้ายของท่าน ก่อนตายท่านได้อธิษฐานขอให้ตัวท่านได้พบบุตรสาวอีก และขอให้จดจำอดีตและเรื่องราวของนางได้เพื่อจะได้คอยช่วยเหลือนางให้สมหวังกับคนรัก
เรื่องที่ท่านปุโรหิตเล่าให้ฟัง วิลันดาฟังอย่างตั้งใจและซาบซึ้งในความรักที่คหบดีท่านนั้นรักบุตรสาวของเขามากมายเหลือเกิน และก็อดแปลกใจและสงสัยระคนกันในสายตาที่ท่านปุโรหิตจ้องมองมายังหล่อน แววตาของท่านตอบได้โดยหล่อนไม่ต้องถาม
“ท่านปุโรหิตหมายความว่า”
“ใช่ ชาติที่แล้วเจ้าเป็นบุตรีแห่งเรามณีจันทร์” พลันหยดน้ำตาก็ร่วงไหลอาบแก้มอิ่มใสของหล่อน เพราะมันตื้นตันใจจนสุดพรรณนา เรื่องนี้เหลือเชื่อพอ ๆ กับเรื่องที่หล่อนข้ามภพมา แต่หล่อนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง หล่อนก้มกราบผู้เป็นพ่อด้วยความซาบซึ้ง
“พ่อรู้ว่าเจ้าจักต้องมาที่นี่ในสักวัน พ่อรอจักช่วยเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ”
ท่านเจ้าพระยามองดูคู่พ่อลูกในอดีตชาติ ตัวท่านเองก็ซาบซึ้งไปด้วยไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ ท่านเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดโชคชะตาถึงได้พาวิลันดาข้ามภพมาถึงนี่ได้ คงเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสที่ชักพาคู่แท้มาพบกัน และคู่ของนางคงมิใช่คนอื่นไกล เพราะท่านปุโรหิตเล่าให้ท่านฟังว่าอินทราช่างเหมือนกับขุนไกรราวกับพิมพ์เดียวกัน
“แต่เพลานี้พ่อจักต้องเร่งช่วยเจ้าแล้ว” ท่านปุโรหิตเห็นเงาดำที่รายล้อมวิลันดาอยู่ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก สีหน้าท่านดูเรียบเฉยแต่ในใจประหวั่นกลัวเกิดเหตุร้ายกับบุตรสาว และจะทำให้หล่อนและเขาต้องพลัดพรากกันอีกครั้ง
“ช่วยเรื่องอันใดรึเจ้าคะ”
“เลือดในกายของเจ้ามันกลายเป็นสีดำแล้วใช่รึไม่”
“นั่นหมายความว่า เจ้าจักอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน”
“เพราะเหตุอันใดรึเจ้าค่ะ”
“เพราะเจ้ามิใช่คนของที่นี่ เจ้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเยี่ยงผู้คนทั่วไปมิได้”
“หากเจ้าอยู่ที่นี่นานไปร่างของเจ้าจะเริ่มเปลี่ยนแปลง ค่อย ๆ เน่าเปื่อยไปในมิช้า”
“จริงรึเจ้าคะ” สิ่งที่ผู้หญิงกลัวที่สุดคือกลัวผิวหนังที่เคยเต่งตึงสวยงามต้องหย่อนยาน กลัวฟันที่เรียงตัวกันแวววาวดุจไข่มุกต้องหักร่วง กลัวผมสวยดุจไหมเนื้อดีต้องหลุดร่วง เมื่อรู้ว่าร่างกายกำลังจะเน่าเปื่อยจะไม่ให้หล่อนกลัวได้อย่างไร
“ด้วยเหตุนี้พ่อจึงมาพบกับเจ้า”
+++++++++++++++++++