ตอนที่ 26
ขุนไกร หันหลังเดินออกจากหอนั่ง กลับเข้าห้องของตน โดยมิเหลียวหลังมองแม่หญิงวิลันดาอีกเลย ส่วนคุณท้าวเฟื่อง แม้นจักสงสารบุตรชาย แต่ก็มิรู้จักช่วยเยี่ยงไร ในเมื่อแม่หญิงวิลันดาได้เลือกแล้ว นางจึงบอกว่าให้แม่หญิงพาพ่อเพ็งไปเดินเล่นก่อน ผู้ใหญ่จักตกลงเรื่องงานแต่งงานกัน เพราะต้องการให้คนทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันเสีย ในเมื่อเลือกแล้วว่าจักอยู่ร่วมหอลงโรงกัน
วิลันดาหลังจากเดินออกมาจากหอนั่ง นางมิได้คิดจักไปเดินชมสวนกับพ่อเพ็ง แต่หล่อนกำลังตามหาขุนไกร ด้วยใจที่ร้อนรน ดูท่าทางเหมือนเขาจะโกรธหล่อนมาก
“แม่หญิงจักเร่งไปที่ใดรึ อยู่คุยกับพี่ก่อนเถิดหนา” จมื่นราชภักดีรั้งแขนแม่หญิงวิลันดาเอาไว้
“เอามือท่านออกไปจากแขนของเรา บัดเดี๋ยวนี้”
วิลันดาสะบัดแขนเขาออก เพราะหล่อนไม่แน่ใจนักว่า เรื่องในวันนั้น จมื่นราชภักดีมีส่วนรู้เห็นรึไม่ การพูดจาของนาง จึงเปลี่ยนจากที่เคยเรียกเขาว่าพี่เพ็งเป็นท่านทำให้จมื่นราชภักดีเริ่มรู้สึกกังวลใจมากขึ้น
“ไยแม่หญิงพูดกับพี่เยี่ยงนี้ พี่ทำอันใดให้เจ้าขุ่นข้องกระนั้นรึ”
“ท่านยังกล้า มีหน้ามาถามเราอีกรึ” แววตาของหล่อนดูเอาเรื่องผิดกับแม่หญิงวิลันดาคนเดิม
“พี่เข้าใจแล้ว แม่หญิงคงจักคิดว่า พี่กับเจ้าในคืนนั้น” พ่อเพ็งไม่พูดต่อ แต่รู้ดีว่าแม่หญิงวิลันดาจะเข้าใจความหมายที่ตนพูด
“ท่านทำกับเราได้เยี่ยงไร ต่ำช้านัก”
แววตาหล่อนตัดพ้อต่อว่าเขา และหล่อนก็เริ่มสับสน ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ในคืนนั้นตนเองตกเป็นของเขารึไม่ พ่อเพ็งมองซ้ายแลขวา มิเห็นผู้ใดอยู่ในเรือน เขาอยากปรับความเข้าใจกับหล่อน แต่มิได้แลเห็นว่าประตูห้องของขุนไกร ซึ่งแม้นจะอยู่อีกฝากหนึ่งของเรือน มีสายตาคมกริบคู่หนึ่งที่มองลอดออกมาผ่านช่องประตูที่ยังมิได้ปิดให้สนิท พ่อเพ็งดึงร่างแม่หญิงเข้ามาสวมกอดไว้ แม้นหล่อนจะพยายามดิ้นรน แต่เมื่อมองในระยะไกล ๆ ขุนไกรกลับเห็นเหมือนกับทั้งสองสวมกอดกันกลมเกลียว
“ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้” วิลันดาขืนตัวออกจากอกอุ่นของจมื่นรูปงามอย่างนึกรังเกียจที่เขาได้รังแกหล่อน
“พี่มิปล่อยเจ้า หากพี่ปล่อยเจ้าก็คงมิยอมฟังพี่”
แขนของเขากระชับร่างนั้นเข้าไว้ที่อกจนได้กลิ่นหอมจากตัวของหล่อน เขารู้เพียงแต่ว่าคิดถึงหล่อนเหลือเกินตั้งแต่มีเรื่องเมื่อคืนก่อน เขาเฝ้าแต่คิดไปต่าง ๆ นานา กลัวหล่อนจะโกรธเกลียดเขา
“บัดสีนัก กลางวันแสก ๆ”
ขุนไกรทนมองต่อมิได้ จึงถอนสายตาออกจากประตูบานนั้นเสีย เขากำหมัดและฟาดลงไปแรง ๆ ที่ฝาเรือนอย่างเจ็บปวดหัวใจ ใบหน้าระคนไปด้วยความขมขื่น
“เราจักร้องให้คนทั้งเรือนช่วย”
หล่อนขู่เขา โดยไม่รู้ว่าเขาต้องการให้คนเห็นทั้งเรือนด้วยซ้ำ เพื่อที่ขุนไกรจะได้เลิกมายุ่งกับหล่อนเสียที
“มิเป็นไรดอก ดีเสียอีก คนทั้งเรือนจักได้รู้เสียว่าเจ้าเป็นของพี่”
ขุนไกรหันหลังกลับเข้าไปเพื่อเก็บข้าวของที่สำคัญ เขาจะกลับค่ายบางกุ้ง ตอนนี้แม้นศึกข้างหน้าจะหนักหนาเพียงใด เขาก็มิหวั่นเกรง ชีวิตเขาไม่มีอันใดจักต้องเสียใจอีกแล้ว ศึกรบยังอีกไกลนัก แต่ศึกรักเขาพ่ายให้ศัตรูเสียแล้ว ชีวิตเขาขอพลีชีพให้แผ่นดิน
เพี้ยะ !
วิลันดาตบหน้าจมื่นราชภักดีอย่างรุนแรง หล่อนมิคิดเลยว่า วันนี้จักได้ตบหน้าทั้งพี่ทั้งน้อง แลรู้สึกผิดหวังมากที่พ่อเพ็งทำตนเยี่ยงนี้
“แม่หญิงที่พี่รั้งเจ้าไว้ เพียงเพราะจักบอกให้เจ้ารู้ว่า ในคืนนั้นพี่มิได้ทำอันใดเจ้าให้เสื่อมเสีย เราทั้งสองถูกวางยา” เขาสารภาพความจริงกับหล่อน
“จริงรึเจ้าค่ะ” วิลันดาเริ่มอ่อนลง นี่เป็นไปตามที่หล่อนคาดไว้มิมีผิด
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง พี่เองก็มิได้สติ เยี่ยงเดียวกับเจ้า แล้วจักเอากำลังอันใดไปแตะต้องเจ้า”
“แล้วไยพี่เพ็งมิบอกทุกคนไปล่ะเจ้าคะ”
“มิมีผู้ใดเชื่อคำพูดเราทั้งคู่ดอกหนา ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาเห็น” จมื่นราชภักดีหยุดพูดเพียงเท่านั้น ปล่อยให้วิลันดาคิดเอง
“แล้วใครกัน เป็นผู้ทำเยี่ยงนี้”
หล่อนคิดว่าตนเองไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน พ่อเพ็งเองแม้อยากเล่าความจริงทุกเรื่อง แต่ก็ยังมิกล้าบอกว่าเป็นฝีมือของแม่ดาวเรืองน้องสาว
“พี่ก็หารู้ไม่” ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แต่จมื่นรูปงามก็ไม่สามารถจะบอกตัวคนร้ายได้
“เยี่ยงนั้น น้องกับพี่เพ็งก็มิต้องแต่งงานกันแล้วใช่รึไม่เจ้าค่ะ”
วิลันดาสีหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปราวกับมีความหวังขึ้นมาใหม่ ผิดกับพ่อเพ็งซึ่งดีใจในตอนที่หล่อนรับคำแต่งงาน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแม่หญิงมิได้มีใจให้แก่เขา
“พี่กับเจ้าจักต้องแต่งงานกัน มิมีอันใดเปลี่ยนแปลง”
เขาค่อย ๆ คลายร่างบางให้เป็นอิสระ แม่หญิงเองก็รีบถอยห่างจากเขาทันทีด้วยสายตายากที่จะเข้าใจ
“เพราะอันใดรึเจ้าคะในเมื่อ...” หล่อนเริ่มรู้สึกว่าพี่เพ็งคนเดิมเริ่มเปลี่ยนไปดูเหมือนเขาจะทำเหมือนตนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของหล่อน
“เจ้ามิแต่งกับพี่ เจ้าจักรอผู้ใดรึแม่หญิง”
พ่อเพ็งมองเข้าไปยังนัยน์ตาของแม่หญิงวิลันดาอย่างหาคำตอบ วิลันดานิ่งเงียบ แต่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
“ขุนไกรกับแม่ดาวเรืองเป็นคู่หมั้นกัน เจ้าคิดจักพรากคนรักของผู้อื่นรึ”
วิลันดานิ่งเงียบไม่อยากจะฟังคำใดต่อไป หล่อนเดินเหมือนกับร่างไร้วิญญาณเข้าไปในห้องของตนเอง มิได้หันมาสนใจจมื่นราชภักดีซึ่งยืนอยู่ราวกับคนที่โดนฟ้าผ่าที่กลางหัวใจ เจ็บแปลบหนักหนาเมื่อน้องนางที่เขารักปักใจ มิแคล้วว่าถ้าแต่งงานกันไปก็คงจักได้เพียงกายนาง หาได้ใจนางไม่
“เจ้าคงคิดว่าพี่เพ็งคนนี้ จักเจ็บช้ำมิเป็นบ้างรึไรแม่หญิง” พ่อเพ็งพูดเบาๆ กับตนเองเขารู้สึกน้อยใจหล่อนนัก ++++++++++++++++++
ปัง ปัง ปัง ประตูถูกเคาะถี่
ขุนไกรที่เร่งเก็บสัมภาระ เพื่อเดินทางกลับค่ายบางกุ้งต้องรามือ เพื่อมาเปิดประตู ตอนนี้เขาเองมิอยากพบใครทั้งนั้น
“พี่ขุนเจ้าคะ”
“แม่ดาวเรืองเองรึ” ขุนไกรมีสีหน้าอึดอัด เขามิอยากจักพูดคุยกับหล่อนนักแต่มิรู้จักปัดเยี่ยงไร
“น้องคิดถึงพี่ขุนเหลือเกินเจ้าค่ะ ถึงแม้นน้องจักรู้ว่าพี่ขุนมิเคยมีใจให้แก่น้อง”
“พี่ขอโทษแม่หญิงดาวเรือง”
ขุนไกรรู้สึกผิดขึ้นมา เขาเองมิเคยดูแลหรือสนใจแม่หญิงดาวเรืองในฐานะที่นางเป็นคู่หมั้น แต่จักให้ทำเยี่ยงไรได้ในเมื่อคนมิได้รักกันเขามิอยากแสร้งทำ
โอ๊ย!
อยู่ดี ๆ แม่ดาวเรืองก็กุมที่ท้องน้อยทรุดลงไปนั่งที่พื้นหน้าประตูห้องของขุนไกร สีหน้านางราวกับคนทุกข์ทรมานเจ็บปวดแสนสาหัส ขุนไกรก็ตกใจเช่นกัน จะเรียกหาใครมาช่วยก็มิมีผู้ใดอยู่แถวนี้เลย เพราะคุณท้าวสั่งให้บ่าวไพร่ห้ามขึ้นมาบนเรือนในวันนี้ จนกว่าจักเรียกใช้เอง
“เจ้าเป็นอันใดรึ แม่หญิงดาวเรือง”
“น้องมิรู้เจ้าค่ะ ปวดท้องเหลือเกิน หายใจก็มิออก ช่วยน้องด้วยเจ้าคะ”
“พี่จักต้องทำอันใดบ้าง เจ้าเร่งบอกมาโดยเร็ว”
ขุนไกรมีสีหน้าตกใจมิน้อย เขามิรู้ว่าหล่อนเป็นอันใดไป จักให้นางนอนดิ้นทุรนทุรายตรงนี้ คงมิเหมาะเป็นแน่ ขุนไกรจำใจต้องอุ้มแม่ดาวเรืองเข้าไปในห้อง เขาแล้วจักไปตามคนมาดูแม่ดาวเรืองทีหลัง
“เจ้ารอพี่ก่อน บัดเดี๋ยวพี่จักรีบไปตามคนมาดูอาการเจ้า”
ขุนไกรค่อย ๆ วางร่างบางของแม่ดาวเรืองบนที่นอนของเขา ที่จริงเขามิอยากพาแม่หญิงดาวเรืองเข้ามาในห้องนอนแม้แต่น้อย แต่จักทำเยี่ยงไรได้ จักปล่อยให้นางนอนเจ็บอยู่หน้าประตูคงจักใจดำเกินไป
“พี่ขุนเจ้าค่ะ น้องหายใจมิค่อยออก”
“แล้วเจ้าจักให้พี่ทำเยี่ยงไร”
นางทำสีหน้าเจ็บปวดค่อย ๆ หยิบยาที่เหน็บไว้ขึ้นมา พลางนึกในใจว่า ช่างง่ายดายกว่าวางแผนเรื่องพี่ชายของนางกับแม่หญิงวิลันดาเสียอีก ครานี้พี่ขุนคงจักมิอาจหลบเลี่ยงการแต่งงานไปได้
“ยาอันใดรึแม่หญิง”
“ยาหอมเจ้าค่ะ จักช่วยให้น้องหายใจคล่องขึ้น”
“เยี่ยงนั้น ข้าจักเปิดมันให้เจ้าดม จักได้หายใจคล่องขึ้น”
ขุนไกรรับขวดยาจากมือเรียวบางของแม่ดาวเรือง แล้วเปิดฝาขวดยา หมายจักให้แม่ดาวเรืองดม
“กลิ่นยานี้ทำไมพิลึกนัก”
กลิ่นของมันค่อนข้างฉุน ขุนไกรจึงยกขึ้นดมดูกลัวว่าแม่ดาวเรืองจักหยิบยามาผิด
ทันใดนั้น ประตูห้องของขุนไกรถูกผลักออก จู่ ๆ คุณท้าวศรีประจันก็วิ่งเข้ามาตามติดด้วยพ่อแม่ของเขาและพ่อกับพี่ชายของแม่ดาวเรือง ห้องของเขาจึงแลดูคับแคบไปถนัดตาในคราที่ทุกคนเข้ากรูมารวมกันที่ห้องนี้
“แม่ดาวเรืองเป็นอันใดรึลูก เจ็บตรงไหนบ้างรึ” คุณท้าวศรีประจันเข้ามาถามบุตรสาวอย่างห่วงใย
“ท่านแม่รู้ได้เยี่ยงไรเจ้าคะว่าลูกอยู่ที่นี่”
“ก็นังมะลิบ่าวคุณท้าวเฟื่อง มันมาแจ้งแก่พวกเราว่าเห็นลูก อยู่ดี ๆ ก็ล้มลงไปชักดิ้นหน้าห้องขุนไกร แม่ห่วงเจ้านักเร่งรีบมาดูเยี่ยงไรเล่า”
มะลิกำลังเดินลงเรือนให้นึกสะใจ คุณท้าวเฟื่องเรียกหาให้หล่อนยกของว่างขึ้นมา มะลิจึงเห็นแม่หญิงดาวเรืองกำลังแกล้งปวดท้องและร้องให้ขุนไกรช่วยอุ้มหล่อน มะลิคิดว่านางคงแกล้งทำอย่างแน่นอน นางเห็นลางมิดีกลัวขุนไกรจักเสียทีแม่หญิงร้อยเล่ห์นางนี้ จึงรีบไปแจ้งแก่คุณท้าวเฟื่องว่าแม่หญิงดาวเรืองเจ็บหนักให้มาดูอาการ
อีมะลิ อย่าให้กูเจอตัวเชียวหนา แม่หญิงดาวเรืองคิดแค้นอยู่ในใจ ที่มะลิบังอาจมาทำให้แผนการของนางต้องล้มในครั้งนี้ เสียทั้งที่กำลังจักสำเร็จอยู่แล้วเชียวหนา
“ลุกขึ้นไหวรึไม่ แม่หญิง” คุณท้าวเฟื่องถามอย่างห่วงใยเพราะคิดว่านางคงจักมิสบาย
“พอไหวเจ้าค่ะ” ในเมื่อทุกคนเข้ามากันหมด แม่ดาวเรืองจึงมิรู้จักทำเยี่ยงไรจำต้องปล่อยไปตามน้ำ
“กลับเรือนกันก่อนเถิดหนา วันพรุ่งเราค่อยมาเจรจา เรื่องแม่หญิงวิลันดากันต่อ” คุณท้าวศรีประจันด้วยห่วงบุตรสาวมาก จึงหันไปชวนท่านเจ้าพระยาและบุตรชาย เร่งขอตัวกลับเรือนเสียก่อน
หลังจากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องของขุนไกรไป คุณท้าวเฟื่องกับพระยามิตรไมตรีตามไปส่งแขกที่หน้าเรือน ส่วนขุนไกรซึ่งบัดนี้มีอาการเริ่มผิดแผกไป เขาจึงมิได้ตามไปส่งและมิได้มีใครสังเกต เพราะมัวแต่ห่วงแม่หญิงดาวเรืองกัน เขารู้สึกร้อนรุ่ม ร่างกายเขาเริ่มผิดปกติอย่างมิเคยเป็นเยี่ยงนี้มาก่อน เขาเร่งเดินไปหมายจะปิดประตู แต่มีมือหนึ่งมาขวางประตูเอาไว้
“แม่หญิงวิลันดา”
หล่อนได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินมาดู แต่ไม่พบใครเห็นเพียงห้องขุนไกรที่ประตูเปิดแง้มไว้
ขุนไกรใจเต้นแรงเมื่อเห็นหน้าหล่อน ร่างกายเขาร้อนรุ่ม เลือดในกายกำลังพลุ่งพล่าน เหงื่อผุดขึ้นจนวิลันดาคิดว่าเขาคงจับไข้เป็นแน่
“พี่ขุนจับไข้รึเจ้าคะ” วิลันดาถามด้วยรู้สึกเป็นห่วง
“เจ้ากลับไปก่อนแม่หญิง พี่ยังมิอยากพบหน้าเจ้าตอนนี้ รีบกลับไปเสีย”
วิลันดาคิดว่าเขาคงจักโกรธหล่อนมาก เรื่องที่ตอบรับคำแต่งงานกับจมื่นราชภักดี นางลืมตัวรีบเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หวังจักคุยกับขุนไกรเสียให้รู้เรื่อง
“แม่หญิง พี่บอกให้เจ้าออกไปจากห้องก่อนได้ยินรึไม่”
ขุนไกรพยายามดันร่างแม่หญิงให้ออกไปนอกห้อง ก่อนที่เขาจะทนกับความต้องการของร่างกายอีกต่อไปมิไหว
“น้องมิออกไปไหนทั้งสิ้น จนกว่าจักคุยกับพี่ขุนให้รู้เรื่อง”
“เจ้ามิออกใช่รึไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เจ้ายืนยันเยี่ยงนี้เองหนาแม่หญิง พี่จักทนต่อไปมิไหวแล้วหนาเจ้า”
“พี่ขุนจักทำเยี่ยงไรก็ได้ ขอเพียงอย่าได้เข้าใจน้องผิดเจ้าค่ะ”
หล่อนไม่รู้เลยว่า ตอนนี้กำลังยืนคุยกับคนที่กำลังโดนฤทธิ์ของผงเสน่ห์จันทร์ ถ้าในยุคของหล่อนนั่นคงใกล้เคียงกับยาปลุกเซ็กส์
++++++++++++++++++
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 26 ) อีกไม่กี่ตอนก็ใกล้จบแล้วนะคะ
ตอนที่ 26
ขุนไกร หันหลังเดินออกจากหอนั่ง กลับเข้าห้องของตน โดยมิเหลียวหลังมองแม่หญิงวิลันดาอีกเลย ส่วนคุณท้าวเฟื่อง แม้นจักสงสารบุตรชาย แต่ก็มิรู้จักช่วยเยี่ยงไร ในเมื่อแม่หญิงวิลันดาได้เลือกแล้ว นางจึงบอกว่าให้แม่หญิงพาพ่อเพ็งไปเดินเล่นก่อน ผู้ใหญ่จักตกลงเรื่องงานแต่งงานกัน เพราะต้องการให้คนทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันเสีย ในเมื่อเลือกแล้วว่าจักอยู่ร่วมหอลงโรงกัน
วิลันดาหลังจากเดินออกมาจากหอนั่ง นางมิได้คิดจักไปเดินชมสวนกับพ่อเพ็ง แต่หล่อนกำลังตามหาขุนไกร ด้วยใจที่ร้อนรน ดูท่าทางเหมือนเขาจะโกรธหล่อนมาก
“แม่หญิงจักเร่งไปที่ใดรึ อยู่คุยกับพี่ก่อนเถิดหนา” จมื่นราชภักดีรั้งแขนแม่หญิงวิลันดาเอาไว้
“เอามือท่านออกไปจากแขนของเรา บัดเดี๋ยวนี้”
วิลันดาสะบัดแขนเขาออก เพราะหล่อนไม่แน่ใจนักว่า เรื่องในวันนั้น จมื่นราชภักดีมีส่วนรู้เห็นรึไม่ การพูดจาของนาง จึงเปลี่ยนจากที่เคยเรียกเขาว่าพี่เพ็งเป็นท่านทำให้จมื่นราชภักดีเริ่มรู้สึกกังวลใจมากขึ้น
“ไยแม่หญิงพูดกับพี่เยี่ยงนี้ พี่ทำอันใดให้เจ้าขุ่นข้องกระนั้นรึ”
“ท่านยังกล้า มีหน้ามาถามเราอีกรึ” แววตาของหล่อนดูเอาเรื่องผิดกับแม่หญิงวิลันดาคนเดิม
“พี่เข้าใจแล้ว แม่หญิงคงจักคิดว่า พี่กับเจ้าในคืนนั้น” พ่อเพ็งไม่พูดต่อ แต่รู้ดีว่าแม่หญิงวิลันดาจะเข้าใจความหมายที่ตนพูด
“ท่านทำกับเราได้เยี่ยงไร ต่ำช้านัก”
แววตาหล่อนตัดพ้อต่อว่าเขา และหล่อนก็เริ่มสับสน ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ในคืนนั้นตนเองตกเป็นของเขารึไม่ พ่อเพ็งมองซ้ายแลขวา มิเห็นผู้ใดอยู่ในเรือน เขาอยากปรับความเข้าใจกับหล่อน แต่มิได้แลเห็นว่าประตูห้องของขุนไกร ซึ่งแม้นจะอยู่อีกฝากหนึ่งของเรือน มีสายตาคมกริบคู่หนึ่งที่มองลอดออกมาผ่านช่องประตูที่ยังมิได้ปิดให้สนิท พ่อเพ็งดึงร่างแม่หญิงเข้ามาสวมกอดไว้ แม้นหล่อนจะพยายามดิ้นรน แต่เมื่อมองในระยะไกล ๆ ขุนไกรกลับเห็นเหมือนกับทั้งสองสวมกอดกันกลมเกลียว
“ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้” วิลันดาขืนตัวออกจากอกอุ่นของจมื่นรูปงามอย่างนึกรังเกียจที่เขาได้รังแกหล่อน
“พี่มิปล่อยเจ้า หากพี่ปล่อยเจ้าก็คงมิยอมฟังพี่”
แขนของเขากระชับร่างนั้นเข้าไว้ที่อกจนได้กลิ่นหอมจากตัวของหล่อน เขารู้เพียงแต่ว่าคิดถึงหล่อนเหลือเกินตั้งแต่มีเรื่องเมื่อคืนก่อน เขาเฝ้าแต่คิดไปต่าง ๆ นานา กลัวหล่อนจะโกรธเกลียดเขา
“บัดสีนัก กลางวันแสก ๆ”
ขุนไกรทนมองต่อมิได้ จึงถอนสายตาออกจากประตูบานนั้นเสีย เขากำหมัดและฟาดลงไปแรง ๆ ที่ฝาเรือนอย่างเจ็บปวดหัวใจ ใบหน้าระคนไปด้วยความขมขื่น
“เราจักร้องให้คนทั้งเรือนช่วย”
หล่อนขู่เขา โดยไม่รู้ว่าเขาต้องการให้คนเห็นทั้งเรือนด้วยซ้ำ เพื่อที่ขุนไกรจะได้เลิกมายุ่งกับหล่อนเสียที
“มิเป็นไรดอก ดีเสียอีก คนทั้งเรือนจักได้รู้เสียว่าเจ้าเป็นของพี่”
ขุนไกรหันหลังกลับเข้าไปเพื่อเก็บข้าวของที่สำคัญ เขาจะกลับค่ายบางกุ้ง ตอนนี้แม้นศึกข้างหน้าจะหนักหนาเพียงใด เขาก็มิหวั่นเกรง ชีวิตเขาไม่มีอันใดจักต้องเสียใจอีกแล้ว ศึกรบยังอีกไกลนัก แต่ศึกรักเขาพ่ายให้ศัตรูเสียแล้ว ชีวิตเขาขอพลีชีพให้แผ่นดิน
เพี้ยะ !
วิลันดาตบหน้าจมื่นราชภักดีอย่างรุนแรง หล่อนมิคิดเลยว่า วันนี้จักได้ตบหน้าทั้งพี่ทั้งน้อง แลรู้สึกผิดหวังมากที่พ่อเพ็งทำตนเยี่ยงนี้
“แม่หญิงที่พี่รั้งเจ้าไว้ เพียงเพราะจักบอกให้เจ้ารู้ว่า ในคืนนั้นพี่มิได้ทำอันใดเจ้าให้เสื่อมเสีย เราทั้งสองถูกวางยา” เขาสารภาพความจริงกับหล่อน
“จริงรึเจ้าค่ะ” วิลันดาเริ่มอ่อนลง นี่เป็นไปตามที่หล่อนคาดไว้มิมีผิด
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง พี่เองก็มิได้สติ เยี่ยงเดียวกับเจ้า แล้วจักเอากำลังอันใดไปแตะต้องเจ้า”
“แล้วไยพี่เพ็งมิบอกทุกคนไปล่ะเจ้าคะ”
“มิมีผู้ใดเชื่อคำพูดเราทั้งคู่ดอกหนา ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาเห็น” จมื่นราชภักดีหยุดพูดเพียงเท่านั้น ปล่อยให้วิลันดาคิดเอง
“แล้วใครกัน เป็นผู้ทำเยี่ยงนี้”
หล่อนคิดว่าตนเองไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน พ่อเพ็งเองแม้อยากเล่าความจริงทุกเรื่อง แต่ก็ยังมิกล้าบอกว่าเป็นฝีมือของแม่ดาวเรืองน้องสาว
“พี่ก็หารู้ไม่” ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แต่จมื่นรูปงามก็ไม่สามารถจะบอกตัวคนร้ายได้
“เยี่ยงนั้น น้องกับพี่เพ็งก็มิต้องแต่งงานกันแล้วใช่รึไม่เจ้าค่ะ”
วิลันดาสีหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปราวกับมีความหวังขึ้นมาใหม่ ผิดกับพ่อเพ็งซึ่งดีใจในตอนที่หล่อนรับคำแต่งงาน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแม่หญิงมิได้มีใจให้แก่เขา
“พี่กับเจ้าจักต้องแต่งงานกัน มิมีอันใดเปลี่ยนแปลง”
เขาค่อย ๆ คลายร่างบางให้เป็นอิสระ แม่หญิงเองก็รีบถอยห่างจากเขาทันทีด้วยสายตายากที่จะเข้าใจ
“เพราะอันใดรึเจ้าคะในเมื่อ...” หล่อนเริ่มรู้สึกว่าพี่เพ็งคนเดิมเริ่มเปลี่ยนไปดูเหมือนเขาจะทำเหมือนตนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของหล่อน
“เจ้ามิแต่งกับพี่ เจ้าจักรอผู้ใดรึแม่หญิง”
พ่อเพ็งมองเข้าไปยังนัยน์ตาของแม่หญิงวิลันดาอย่างหาคำตอบ วิลันดานิ่งเงียบ แต่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
“ขุนไกรกับแม่ดาวเรืองเป็นคู่หมั้นกัน เจ้าคิดจักพรากคนรักของผู้อื่นรึ”
วิลันดานิ่งเงียบไม่อยากจะฟังคำใดต่อไป หล่อนเดินเหมือนกับร่างไร้วิญญาณเข้าไปในห้องของตนเอง มิได้หันมาสนใจจมื่นราชภักดีซึ่งยืนอยู่ราวกับคนที่โดนฟ้าผ่าที่กลางหัวใจ เจ็บแปลบหนักหนาเมื่อน้องนางที่เขารักปักใจ มิแคล้วว่าถ้าแต่งงานกันไปก็คงจักได้เพียงกายนาง หาได้ใจนางไม่
“เจ้าคงคิดว่าพี่เพ็งคนนี้ จักเจ็บช้ำมิเป็นบ้างรึไรแม่หญิง” พ่อเพ็งพูดเบาๆ กับตนเองเขารู้สึกน้อยใจหล่อนนัก ++++++++++++++++++
ปัง ปัง ปัง ประตูถูกเคาะถี่
ขุนไกรที่เร่งเก็บสัมภาระ เพื่อเดินทางกลับค่ายบางกุ้งต้องรามือ เพื่อมาเปิดประตู ตอนนี้เขาเองมิอยากพบใครทั้งนั้น
“พี่ขุนเจ้าคะ”
“แม่ดาวเรืองเองรึ” ขุนไกรมีสีหน้าอึดอัด เขามิอยากจักพูดคุยกับหล่อนนักแต่มิรู้จักปัดเยี่ยงไร
“น้องคิดถึงพี่ขุนเหลือเกินเจ้าค่ะ ถึงแม้นน้องจักรู้ว่าพี่ขุนมิเคยมีใจให้แก่น้อง”
“พี่ขอโทษแม่หญิงดาวเรือง”
ขุนไกรรู้สึกผิดขึ้นมา เขาเองมิเคยดูแลหรือสนใจแม่หญิงดาวเรืองในฐานะที่นางเป็นคู่หมั้น แต่จักให้ทำเยี่ยงไรได้ในเมื่อคนมิได้รักกันเขามิอยากแสร้งทำ
โอ๊ย!
อยู่ดี ๆ แม่ดาวเรืองก็กุมที่ท้องน้อยทรุดลงไปนั่งที่พื้นหน้าประตูห้องของขุนไกร สีหน้านางราวกับคนทุกข์ทรมานเจ็บปวดแสนสาหัส ขุนไกรก็ตกใจเช่นกัน จะเรียกหาใครมาช่วยก็มิมีผู้ใดอยู่แถวนี้เลย เพราะคุณท้าวสั่งให้บ่าวไพร่ห้ามขึ้นมาบนเรือนในวันนี้ จนกว่าจักเรียกใช้เอง
“เจ้าเป็นอันใดรึ แม่หญิงดาวเรือง”
“น้องมิรู้เจ้าค่ะ ปวดท้องเหลือเกิน หายใจก็มิออก ช่วยน้องด้วยเจ้าคะ”
“พี่จักต้องทำอันใดบ้าง เจ้าเร่งบอกมาโดยเร็ว”
ขุนไกรมีสีหน้าตกใจมิน้อย เขามิรู้ว่าหล่อนเป็นอันใดไป จักให้นางนอนดิ้นทุรนทุรายตรงนี้ คงมิเหมาะเป็นแน่ ขุนไกรจำใจต้องอุ้มแม่ดาวเรืองเข้าไปในห้อง เขาแล้วจักไปตามคนมาดูแม่ดาวเรืองทีหลัง
“เจ้ารอพี่ก่อน บัดเดี๋ยวพี่จักรีบไปตามคนมาดูอาการเจ้า”
ขุนไกรค่อย ๆ วางร่างบางของแม่ดาวเรืองบนที่นอนของเขา ที่จริงเขามิอยากพาแม่หญิงดาวเรืองเข้ามาในห้องนอนแม้แต่น้อย แต่จักทำเยี่ยงไรได้ จักปล่อยให้นางนอนเจ็บอยู่หน้าประตูคงจักใจดำเกินไป
“พี่ขุนเจ้าค่ะ น้องหายใจมิค่อยออก”
“แล้วเจ้าจักให้พี่ทำเยี่ยงไร”
นางทำสีหน้าเจ็บปวดค่อย ๆ หยิบยาที่เหน็บไว้ขึ้นมา พลางนึกในใจว่า ช่างง่ายดายกว่าวางแผนเรื่องพี่ชายของนางกับแม่หญิงวิลันดาเสียอีก ครานี้พี่ขุนคงจักมิอาจหลบเลี่ยงการแต่งงานไปได้
“ยาอันใดรึแม่หญิง”
“ยาหอมเจ้าค่ะ จักช่วยให้น้องหายใจคล่องขึ้น”
“เยี่ยงนั้น ข้าจักเปิดมันให้เจ้าดม จักได้หายใจคล่องขึ้น”
ขุนไกรรับขวดยาจากมือเรียวบางของแม่ดาวเรือง แล้วเปิดฝาขวดยา หมายจักให้แม่ดาวเรืองดม
“กลิ่นยานี้ทำไมพิลึกนัก”
กลิ่นของมันค่อนข้างฉุน ขุนไกรจึงยกขึ้นดมดูกลัวว่าแม่ดาวเรืองจักหยิบยามาผิด
ทันใดนั้น ประตูห้องของขุนไกรถูกผลักออก จู่ ๆ คุณท้าวศรีประจันก็วิ่งเข้ามาตามติดด้วยพ่อแม่ของเขาและพ่อกับพี่ชายของแม่ดาวเรือง ห้องของเขาจึงแลดูคับแคบไปถนัดตาในคราที่ทุกคนเข้ากรูมารวมกันที่ห้องนี้
“แม่ดาวเรืองเป็นอันใดรึลูก เจ็บตรงไหนบ้างรึ” คุณท้าวศรีประจันเข้ามาถามบุตรสาวอย่างห่วงใย
“ท่านแม่รู้ได้เยี่ยงไรเจ้าคะว่าลูกอยู่ที่นี่”
“ก็นังมะลิบ่าวคุณท้าวเฟื่อง มันมาแจ้งแก่พวกเราว่าเห็นลูก อยู่ดี ๆ ก็ล้มลงไปชักดิ้นหน้าห้องขุนไกร แม่ห่วงเจ้านักเร่งรีบมาดูเยี่ยงไรเล่า”
มะลิกำลังเดินลงเรือนให้นึกสะใจ คุณท้าวเฟื่องเรียกหาให้หล่อนยกของว่างขึ้นมา มะลิจึงเห็นแม่หญิงดาวเรืองกำลังแกล้งปวดท้องและร้องให้ขุนไกรช่วยอุ้มหล่อน มะลิคิดว่านางคงแกล้งทำอย่างแน่นอน นางเห็นลางมิดีกลัวขุนไกรจักเสียทีแม่หญิงร้อยเล่ห์นางนี้ จึงรีบไปแจ้งแก่คุณท้าวเฟื่องว่าแม่หญิงดาวเรืองเจ็บหนักให้มาดูอาการ
อีมะลิ อย่าให้กูเจอตัวเชียวหนา แม่หญิงดาวเรืองคิดแค้นอยู่ในใจ ที่มะลิบังอาจมาทำให้แผนการของนางต้องล้มในครั้งนี้ เสียทั้งที่กำลังจักสำเร็จอยู่แล้วเชียวหนา
“ลุกขึ้นไหวรึไม่ แม่หญิง” คุณท้าวเฟื่องถามอย่างห่วงใยเพราะคิดว่านางคงจักมิสบาย
“พอไหวเจ้าค่ะ” ในเมื่อทุกคนเข้ามากันหมด แม่ดาวเรืองจึงมิรู้จักทำเยี่ยงไรจำต้องปล่อยไปตามน้ำ
“กลับเรือนกันก่อนเถิดหนา วันพรุ่งเราค่อยมาเจรจา เรื่องแม่หญิงวิลันดากันต่อ” คุณท้าวศรีประจันด้วยห่วงบุตรสาวมาก จึงหันไปชวนท่านเจ้าพระยาและบุตรชาย เร่งขอตัวกลับเรือนเสียก่อน
หลังจากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องของขุนไกรไป คุณท้าวเฟื่องกับพระยามิตรไมตรีตามไปส่งแขกที่หน้าเรือน ส่วนขุนไกรซึ่งบัดนี้มีอาการเริ่มผิดแผกไป เขาจึงมิได้ตามไปส่งและมิได้มีใครสังเกต เพราะมัวแต่ห่วงแม่หญิงดาวเรืองกัน เขารู้สึกร้อนรุ่ม ร่างกายเขาเริ่มผิดปกติอย่างมิเคยเป็นเยี่ยงนี้มาก่อน เขาเร่งเดินไปหมายจะปิดประตู แต่มีมือหนึ่งมาขวางประตูเอาไว้
“แม่หญิงวิลันดา”
หล่อนได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินมาดู แต่ไม่พบใครเห็นเพียงห้องขุนไกรที่ประตูเปิดแง้มไว้
ขุนไกรใจเต้นแรงเมื่อเห็นหน้าหล่อน ร่างกายเขาร้อนรุ่ม เลือดในกายกำลังพลุ่งพล่าน เหงื่อผุดขึ้นจนวิลันดาคิดว่าเขาคงจับไข้เป็นแน่
“พี่ขุนจับไข้รึเจ้าคะ” วิลันดาถามด้วยรู้สึกเป็นห่วง
“เจ้ากลับไปก่อนแม่หญิง พี่ยังมิอยากพบหน้าเจ้าตอนนี้ รีบกลับไปเสีย”
วิลันดาคิดว่าเขาคงจักโกรธหล่อนมาก เรื่องที่ตอบรับคำแต่งงานกับจมื่นราชภักดี นางลืมตัวรีบเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หวังจักคุยกับขุนไกรเสียให้รู้เรื่อง
“แม่หญิง พี่บอกให้เจ้าออกไปจากห้องก่อนได้ยินรึไม่”
ขุนไกรพยายามดันร่างแม่หญิงให้ออกไปนอกห้อง ก่อนที่เขาจะทนกับความต้องการของร่างกายอีกต่อไปมิไหว
“น้องมิออกไปไหนทั้งสิ้น จนกว่าจักคุยกับพี่ขุนให้รู้เรื่อง”
“เจ้ามิออกใช่รึไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เจ้ายืนยันเยี่ยงนี้เองหนาแม่หญิง พี่จักทนต่อไปมิไหวแล้วหนาเจ้า”
“พี่ขุนจักทำเยี่ยงไรก็ได้ ขอเพียงอย่าได้เข้าใจน้องผิดเจ้าค่ะ”
หล่อนไม่รู้เลยว่า ตอนนี้กำลังยืนคุยกับคนที่กำลังโดนฤทธิ์ของผงเสน่ห์จันทร์ ถ้าในยุคของหล่อนนั่นคงใกล้เคียงกับยาปลุกเซ็กส์
++++++++++++++++++