ทักทาย มีใครคิดถึงแม่หญิง อัปสรา บ้างมาลงต่อให้แล้วนะเจ้าคะ
ตอนที่ 13
วิลันดาพาจมื่นราชภักดีลงมาเดินเล่นชมสวน ท่ามกลางความงามของสวนดอกไม้ อากาศที่เรือนนี้ไม่ร้อน เพราะปลูกต้นไม้จนร่มครึ้ม หนุ่มสาวทั้งคู่คุยกันอย่างถูกคอ วิลันดาเห็นจมื่นราชภักดีเป็นคนดีมีน้ำใจน่าคบหาไว้เป็นมิตร หล่อนเองมาอยู่ที่นี่ก็มิมีเพื่อน จึงอยากจะคบหาเขาไว้ ในยุคของหล่อน การจะมีเพื่อนสักคนเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หล่อนก็พอจะเข้าใจว่า ในยุคนี้เป็นผู้หญิงต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก
“เรือนท่านลุงนี่ ร่มรื่นดีหนา ปลูกดอกไม้ได้งาม วันหลังพี่จักต้องมาขอความรู้ท่านบ้างเสียแล้วกระมัง”
พ่อเพ็งกล่าวชมออกมาจากใจ เขาชื่นชมกับความงามของต้นไม้ ดอกไม้รวมไปถึงร่างงามที่เดินเคียงกาย หล่อนช่างสวยสมที่จะให้พี่ชายอย่างขุนไกรต้องคอยเฝ้าห่วงน้องสาว ไม่อยากให้แมลงอย่างเขามาเข้าใกล้ดอกไม้งาม
“เจ้าค่ะ” หล่อนหันมายิ้มให้กับเขารอยยิ้มที่ประทับอยู่ในหัวใจของพ่อเพ็งตั้งแต่แรกพบสบตานาง
“ช้าก่อนเถิดแม่หญิง”
“มีอันใดรึเจ้าคะ”
จมื่นราชภักดีเห็นต้นจำปีต้นใหญ่ ซึ่งกำลังออกดอกเต็มต้นส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ เป็นต้นเดียวกับที่ขุนไกรเก็บดอกของมันไปให้วิลันดาเมื่อเช้านี้
“ต้นจำปีต้นนี้ดอกมันหอมนัก”
จมื่นราชภักดีเอื้อมเก็บดอกของมัน วิลันดายืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็นำดอกจำปีดอกนั้นมาพันปลายผมให้หล่อน ครั้นหล่อนจะเอาออกก็เกรงจะเป็นการหมิ่นน้ำใจเขา จึงปล่อยเลยตามเลย แต่หล่อนไม่รู้ว่าขุนไกรซึ่งตามมาทีหลังเห็นเข้า จึงคิดว่าแม่หญิงวิลันดามีใจให้จมื่นราชภักดีอย่างแน่นอน
“งามนัก งามเหมือนดั่งนางในวรณคดีมิมีผิดเพี้ยน”
จมื่นราชภักดีเอ่ยปากชมหล่อน หุ่นอ่อนแอ้นอรชร ใบหน้าอ่อนหวานละมุน ยามต้องแสงสว่าง ใบหน้าหล่อนยิ่งผ่องแผ้วเกินหญิงใด และเมื่อเสริมดอกไม้เข้าไปทำให้หล่อนน่ามองจนไม่รู้เบื่อ
อะแฮ่ม!
เสียงกระแอมของใครคนหนึ่งทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ใต้ต้นจำปี ถอยออกห่างกัน วิลันดาเห็นเขาเดินหน้างอเข้ามาหาจึงแซวเขา
“มีอันใดติดคอพี่ขุนอยู่รึเจ้าคะ”
“ก้างกระมัง” ขุนไกรตอบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
จมื่นราชภักดีรู้จุดประสงค์ที่เขาตามมา จึงได้แต่อมยิ้ม คิดว่าเขาคงจะหวงน้องสาวมาก
“สวนที่เรือนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างรึพี่เพ็ง” ขุนไกรถามพ่อเพ็งซึ่งเป็นแขกที่เขาไม่อยากจะให้มาที่นี่มากนักในตอนนี้
“จัดได้งามมาก เห็นทีวันหลังพี่จักต้องมาขอความรู้กับท่านเจ้าพระยาบ้างเสียแล้วกระมัง”
ขุนไกรนึกอยู่ในใจว่าใครอยากจะให้เจ้ามา แค่นี้ข้าก็อยากจับเจ้าโยนออกไปจากเรือนนี้เสียแล้วยังมิรู้ตัวอีกรึ
“แม่หญิงน้องพี่ ขึ้นเรือนได้แล้ว เจ้ามิใคร่สบายมิใช่รึ ท่านแม่ให้พี่มาตาม” ขุนไกรกล่าวทั้งที่จริงคุณท้าวเฟื่องมิได้รู้เห็นหรือวานให้มาบอกเลยสักนิด
“แต่น้องยังมิได้พาพี่เพ็งชมสวนผลไม้ด้านใน ตามที่ท่านป้าสั่งไว้เจ้าค่ะ” ในใจก็ไม่คิดเชื่อขุนไกรอยู่แล้ว หล่อนคิดว่าเขานั่นแหละเป็นผู้สั่งการเองแล้วก็จริงเสียด้วยพี่ขุนของเธอก็ไม่เบานักเริ่มออกลายให้เห็นมาบ้างแล้ว
จมื่นราชภักดีมองตามนางไปอีกฝากหนึ่งของสวน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสวนผลไม้หลายชนิด น่าชมมากเห็นชมพู่เป็นพวงมาแต่ไกล เขาไม่ได้อยากกินผลไม้ แต่อยากอยู่ใกล้แม่หญิงอีกสักนิด
“มิต้องพาไปดอกแม่นางในวรรณคดีขึ้นเรือนกับพี่ได้แล้วกระมัง” ขุนไกรแอบกระซิบข้างหูหล่อน เบาๆ
เมื่อคนเป็นพี่ชายคอยตามเป็นก้างเสียอย่างนี้ พ่อเพ็งจึงคิดว่าควรจะพานางกลับขึ้นเรือน ระหว่างเดินทางกลับขึ้นเรือน แดดเริ่มแรงขึ้น วิลันดาซึ่งยังไม่หายป่วยดีนัก จึงมีอาการตาพร่าไปชั่วขณะ หล่อนรู้สึกเวียนหัวจนเป็นลมไป พ่อเพ็งและขุนไกรต่างเข้ามารับร่างนางเอาไว้พร้อมกัน
“แม่หญิง” พ่อเพ็งเรียกชื่อนางอย่างเป็นห่วง
“ถอยไปเถิดข้าจักอุ้มนางเอง” สายตาของเขาแข็งกร้าวใส่พ่อเพ็งทันทีเหมือนว่าไม่อยากให้เขาแตะต้องตัวหล่อน
จมื่นราชภักดีจำเป็นต้องยอม เพราะขุนไกรมีศักดิ์เป็นพี่ของนาง จะดูเหมาะสมกว่าที่เขาจะไปแตะต้องตัวหล่อน ขุนไกรรีบอุ้มแม่หญิงกลับขึ้นเรือนด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ ขุนไกรยิ่งมั่นใจขึ้นทุกวันว่า เขารักแม่หญิงจนหมดใจจากวันแรกที่เฉยชา แต่ยิ่งนานวันเข้ายิ่งเก็บเอาไว้ไม่อยู่ เริ่มจากแสดงออกทางสีหน้า แววตา จนทุกวันนี้เขาแสดงออกมาทุกอย่างว่าเขารักหล่อนโดยไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป เพียงแต่ยังไม่กล้าสารภาพ
“แม่หญิงเป็นเยี่ยงไรไปรึพ่อขุน”
คุณท้าวและท่านเจ้าพระยามีสีหน้ามิสู้ดี เมื่อเห็นบุตรชายอุ้มแม่หญิงซึ่งมิได้สติขึ้นเรือนมาอย่างร้อนรน
“มะลิ เอ็งรีบไปเอาผ้าชุบน้ำมาเร็วเข้า” คุณท้าวเฟื่องสั่ง
“เจ้าค่ะ” นางมะลิรีบวางดอกไม้ที่กำลังกรองอยู่วิ่งลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว
“พ่อขุน เจ้าพาน้องไปที่ห้องก่อน”
“ขอรับท่านแม่”
หลังจากนั้นจมื่นราชภักดีจึงขอตัวกลับไป เพราะดูไม่เหมาะ ถ้าจะตามไปดูอาการของนางในห้อง ได้แต่ฝากคำคุณท้าวบอกนางว่า หากนางฟื้นแล้วก็ขอให้หายป่วยเร็ว ๆ แล้วเขาจะมาเยี่ยมนางอีก
ขุนไกรมองแม่หญิงตอนนอนหลับ หล่อนงามนัก งามเหมือนดังสวรรค์สร้าง ปากนิดจมูกหน่อย เหมือนนางในวรรณคดีอย่างเช่นจมื่นราชภักดีเปรียบเปรยมิมีผิด เขาอยากจะหอมแก้มหล่อน แต่มิกล้าได้ แต่จับมือนางไว้ด้วยความเป็นห่วง แม้คุณท้าวจะบอกว่า มาเฝ้าแม่หญิงถึงในห้องจะไม่เหมาะสม แต่ขุนไกรก็ยืนกรานว่าเขาจะไม่ออกไปจนกว่านางจะฟื้นจนคุณท้าวอ่อนใจ
“ตื่นแล้วรึ”
วิลันดาเริ่มได้สติแต่ยังรู้สึกปวดหัวหนึบ ๆ ใบหน้าแรกที่หล่อนเห็นคือขุนไกรนั่งกุมมือหล่อนไว้
“พี่ขุนอยู่ตรงนี้ตลอดเพลารึเจ้าคะ” หล่อนสบตาเขารู้สึกดีใจเหมือนกันที่ลืมตามาและพบเขาอยู่ข้างกาย
“ใช่ พี่เฝ้าเจ้าตั้งแต่เจ้าเป็นลมไป” เขาพูดน้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนต่อหล่อนมาก หากคนที่รู้จักขุนไกรได้ฟังเข้าก็คงไม่อยากจะเชื่อหู เพราะปกติแล้วเขาจะดูดุมากกว่า
“ตั้งแต่เป็นลมไปเลยรึเจ้าคะ” วิลันดาคิดว่ามันคงนานพอตั้งแต่เมื่อกลางวันจนกระทั่งถึงเพลานี้
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 13) พี่ขุนออกอาการว่าหึงน้องสาวมากขึ้นทุกวัน
ทักทาย มีใครคิดถึงแม่หญิง อัปสรา บ้างมาลงต่อให้แล้วนะเจ้าคะ
ตอนที่ 13
วิลันดาพาจมื่นราชภักดีลงมาเดินเล่นชมสวน ท่ามกลางความงามของสวนดอกไม้ อากาศที่เรือนนี้ไม่ร้อน เพราะปลูกต้นไม้จนร่มครึ้ม หนุ่มสาวทั้งคู่คุยกันอย่างถูกคอ วิลันดาเห็นจมื่นราชภักดีเป็นคนดีมีน้ำใจน่าคบหาไว้เป็นมิตร หล่อนเองมาอยู่ที่นี่ก็มิมีเพื่อน จึงอยากจะคบหาเขาไว้ ในยุคของหล่อน การจะมีเพื่อนสักคนเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หล่อนก็พอจะเข้าใจว่า ในยุคนี้เป็นผู้หญิงต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก
“เรือนท่านลุงนี่ ร่มรื่นดีหนา ปลูกดอกไม้ได้งาม วันหลังพี่จักต้องมาขอความรู้ท่านบ้างเสียแล้วกระมัง”
พ่อเพ็งกล่าวชมออกมาจากใจ เขาชื่นชมกับความงามของต้นไม้ ดอกไม้รวมไปถึงร่างงามที่เดินเคียงกาย หล่อนช่างสวยสมที่จะให้พี่ชายอย่างขุนไกรต้องคอยเฝ้าห่วงน้องสาว ไม่อยากให้แมลงอย่างเขามาเข้าใกล้ดอกไม้งาม
“เจ้าค่ะ” หล่อนหันมายิ้มให้กับเขารอยยิ้มที่ประทับอยู่ในหัวใจของพ่อเพ็งตั้งแต่แรกพบสบตานาง
“ช้าก่อนเถิดแม่หญิง”
“มีอันใดรึเจ้าคะ”
จมื่นราชภักดีเห็นต้นจำปีต้นใหญ่ ซึ่งกำลังออกดอกเต็มต้นส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ เป็นต้นเดียวกับที่ขุนไกรเก็บดอกของมันไปให้วิลันดาเมื่อเช้านี้
“ต้นจำปีต้นนี้ดอกมันหอมนัก”
จมื่นราชภักดีเอื้อมเก็บดอกของมัน วิลันดายืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็นำดอกจำปีดอกนั้นมาพันปลายผมให้หล่อน ครั้นหล่อนจะเอาออกก็เกรงจะเป็นการหมิ่นน้ำใจเขา จึงปล่อยเลยตามเลย แต่หล่อนไม่รู้ว่าขุนไกรซึ่งตามมาทีหลังเห็นเข้า จึงคิดว่าแม่หญิงวิลันดามีใจให้จมื่นราชภักดีอย่างแน่นอน
“งามนัก งามเหมือนดั่งนางในวรณคดีมิมีผิดเพี้ยน”
จมื่นราชภักดีเอ่ยปากชมหล่อน หุ่นอ่อนแอ้นอรชร ใบหน้าอ่อนหวานละมุน ยามต้องแสงสว่าง ใบหน้าหล่อนยิ่งผ่องแผ้วเกินหญิงใด และเมื่อเสริมดอกไม้เข้าไปทำให้หล่อนน่ามองจนไม่รู้เบื่อ
อะแฮ่ม!
เสียงกระแอมของใครคนหนึ่งทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ใต้ต้นจำปี ถอยออกห่างกัน วิลันดาเห็นเขาเดินหน้างอเข้ามาหาจึงแซวเขา
“มีอันใดติดคอพี่ขุนอยู่รึเจ้าคะ”
“ก้างกระมัง” ขุนไกรตอบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
จมื่นราชภักดีรู้จุดประสงค์ที่เขาตามมา จึงได้แต่อมยิ้ม คิดว่าเขาคงจะหวงน้องสาวมาก
“สวนที่เรือนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างรึพี่เพ็ง” ขุนไกรถามพ่อเพ็งซึ่งเป็นแขกที่เขาไม่อยากจะให้มาที่นี่มากนักในตอนนี้
“จัดได้งามมาก เห็นทีวันหลังพี่จักต้องมาขอความรู้กับท่านเจ้าพระยาบ้างเสียแล้วกระมัง”
ขุนไกรนึกอยู่ในใจว่าใครอยากจะให้เจ้ามา แค่นี้ข้าก็อยากจับเจ้าโยนออกไปจากเรือนนี้เสียแล้วยังมิรู้ตัวอีกรึ
“แม่หญิงน้องพี่ ขึ้นเรือนได้แล้ว เจ้ามิใคร่สบายมิใช่รึ ท่านแม่ให้พี่มาตาม” ขุนไกรกล่าวทั้งที่จริงคุณท้าวเฟื่องมิได้รู้เห็นหรือวานให้มาบอกเลยสักนิด
“แต่น้องยังมิได้พาพี่เพ็งชมสวนผลไม้ด้านใน ตามที่ท่านป้าสั่งไว้เจ้าค่ะ” ในใจก็ไม่คิดเชื่อขุนไกรอยู่แล้ว หล่อนคิดว่าเขานั่นแหละเป็นผู้สั่งการเองแล้วก็จริงเสียด้วยพี่ขุนของเธอก็ไม่เบานักเริ่มออกลายให้เห็นมาบ้างแล้ว
จมื่นราชภักดีมองตามนางไปอีกฝากหนึ่งของสวน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสวนผลไม้หลายชนิด น่าชมมากเห็นชมพู่เป็นพวงมาแต่ไกล เขาไม่ได้อยากกินผลไม้ แต่อยากอยู่ใกล้แม่หญิงอีกสักนิด
“มิต้องพาไปดอกแม่นางในวรรณคดีขึ้นเรือนกับพี่ได้แล้วกระมัง” ขุนไกรแอบกระซิบข้างหูหล่อน เบาๆ
เมื่อคนเป็นพี่ชายคอยตามเป็นก้างเสียอย่างนี้ พ่อเพ็งจึงคิดว่าควรจะพานางกลับขึ้นเรือน ระหว่างเดินทางกลับขึ้นเรือน แดดเริ่มแรงขึ้น วิลันดาซึ่งยังไม่หายป่วยดีนัก จึงมีอาการตาพร่าไปชั่วขณะ หล่อนรู้สึกเวียนหัวจนเป็นลมไป พ่อเพ็งและขุนไกรต่างเข้ามารับร่างนางเอาไว้พร้อมกัน
“แม่หญิง” พ่อเพ็งเรียกชื่อนางอย่างเป็นห่วง
“ถอยไปเถิดข้าจักอุ้มนางเอง” สายตาของเขาแข็งกร้าวใส่พ่อเพ็งทันทีเหมือนว่าไม่อยากให้เขาแตะต้องตัวหล่อน
จมื่นราชภักดีจำเป็นต้องยอม เพราะขุนไกรมีศักดิ์เป็นพี่ของนาง จะดูเหมาะสมกว่าที่เขาจะไปแตะต้องตัวหล่อน ขุนไกรรีบอุ้มแม่หญิงกลับขึ้นเรือนด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ ขุนไกรยิ่งมั่นใจขึ้นทุกวันว่า เขารักแม่หญิงจนหมดใจจากวันแรกที่เฉยชา แต่ยิ่งนานวันเข้ายิ่งเก็บเอาไว้ไม่อยู่ เริ่มจากแสดงออกทางสีหน้า แววตา จนทุกวันนี้เขาแสดงออกมาทุกอย่างว่าเขารักหล่อนโดยไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป เพียงแต่ยังไม่กล้าสารภาพ
“แม่หญิงเป็นเยี่ยงไรไปรึพ่อขุน”
คุณท้าวและท่านเจ้าพระยามีสีหน้ามิสู้ดี เมื่อเห็นบุตรชายอุ้มแม่หญิงซึ่งมิได้สติขึ้นเรือนมาอย่างร้อนรน
“มะลิ เอ็งรีบไปเอาผ้าชุบน้ำมาเร็วเข้า” คุณท้าวเฟื่องสั่ง
“เจ้าค่ะ” นางมะลิรีบวางดอกไม้ที่กำลังกรองอยู่วิ่งลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว
“พ่อขุน เจ้าพาน้องไปที่ห้องก่อน”
“ขอรับท่านแม่”
หลังจากนั้นจมื่นราชภักดีจึงขอตัวกลับไป เพราะดูไม่เหมาะ ถ้าจะตามไปดูอาการของนางในห้อง ได้แต่ฝากคำคุณท้าวบอกนางว่า หากนางฟื้นแล้วก็ขอให้หายป่วยเร็ว ๆ แล้วเขาจะมาเยี่ยมนางอีก
ขุนไกรมองแม่หญิงตอนนอนหลับ หล่อนงามนัก งามเหมือนดังสวรรค์สร้าง ปากนิดจมูกหน่อย เหมือนนางในวรรณคดีอย่างเช่นจมื่นราชภักดีเปรียบเปรยมิมีผิด เขาอยากจะหอมแก้มหล่อน แต่มิกล้าได้ แต่จับมือนางไว้ด้วยความเป็นห่วง แม้คุณท้าวจะบอกว่า มาเฝ้าแม่หญิงถึงในห้องจะไม่เหมาะสม แต่ขุนไกรก็ยืนกรานว่าเขาจะไม่ออกไปจนกว่านางจะฟื้นจนคุณท้าวอ่อนใจ
“ตื่นแล้วรึ”
วิลันดาเริ่มได้สติแต่ยังรู้สึกปวดหัวหนึบ ๆ ใบหน้าแรกที่หล่อนเห็นคือขุนไกรนั่งกุมมือหล่อนไว้
“พี่ขุนอยู่ตรงนี้ตลอดเพลารึเจ้าคะ” หล่อนสบตาเขารู้สึกดีใจเหมือนกันที่ลืมตามาและพบเขาอยู่ข้างกาย
“ใช่ พี่เฝ้าเจ้าตั้งแต่เจ้าเป็นลมไป” เขาพูดน้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนต่อหล่อนมาก หากคนที่รู้จักขุนไกรได้ฟังเข้าก็คงไม่อยากจะเชื่อหู เพราะปกติแล้วเขาจะดูดุมากกว่า
“ตั้งแต่เป็นลมไปเลยรึเจ้าคะ” วิลันดาคิดว่ามันคงนานพอตั้งแต่เมื่อกลางวันจนกระทั่งถึงเพลานี้