บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 15)

กระทู้สนทนา
มาแล้วค่ะ มีใครรอเปล่าไม่รู้ แต่มาแล้วนะ



แวะมาัทักทายตอนสายๆ รูปนี้น้องแก้ว อโปสรา ทำให้เพราะว่ามันเหมาะกับนามปากกา ของ อัปสรา เลยเอามาสวัสดีทักทายคนอ่าน
เจ้าค่ะ แม่หญิงอัปสรา ไปข้างนอกจ้าวันนี้เลยรีบมาลง

ตอนที่ 15

กริ๊งๆๆๆๆๆ
    ณ. กรุงเทพฯ ยามราตรี เสียงโทรศัพท์บ้านของวิลันดาดังขึ้นเป็นระยะๆ มาหลายวันแล้ว แก้วกานดาเป็นห่วงเพื่อนรักเหลือเกิน ตั้งแต่วันนั้นที่หล่อนกลับมาถึงนนทบุรี เช้ารุ่งขึ้นเธอโทรหาเพื่อนรักแต่เช้า เพื่อจะถามเรื่องที่วิลันดาจะไปส่งขุนไกรที่โบสถ์ปรกโพธิ์ จนแล้วจนรอดเธอก็ยังติดต่อวิลันดาไม่ได้สักครั้ง
    “ยายวินะยายวิ หายไปไหนนะแก โทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด” แก้วกานดาวางโทรศัพท์อย่างร้อนใจ
    “เป็นอะไรไปหรือยายแก้ว”                        

“คุณแม่คะ แก้วโทรหายายวิมาตั้งหลายวันแล้ว วันนี้ก็โทรไปตั้งหลายรอบตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ไม่มีคนรับสาย”
    “ยายวิเขาอาจจะไปต่างจังหวัดก็ได้นะลูก” คุณลออยังจดจำวิลันดาเพื่อนรักของบุตรสาวได้ดี
    “ถ้ายายวิมันไปต่างจังหวัดหนูไม่ห่วงหรอก หนูล่ะกลัวแต่มันจะไปต่าง...”
    แก้วกานดาต้องหยุดพูด ถ้าบอกว่ากลัวเพื่อนรักหายไปต่างภพแม่คงมีหวังไล่เธอไปเช็คประสาทแน่นอน นี่แหละหนาที่เขาว่าไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้
    “ต่างประเทศนะหรือลูก”
         “เอ่อ..ค่ะคุณแม่”
    “ถ้าแกหลงยุคไปต่างภพฉันจะช่วยแกยังไงดีนะยายวิ” แก้วกานดาบ่นกับตนเองเบาๆ
    “พูดถึงหนูวิ แม่ก็ไม่อยากจะเชื่อเลยรูปวาดที่คุณย่าเก็บไว้อีกใบนั้น คุณย่าทวดกับหนูวิช่างละม้ายคล้ายกันเหลือเกินนะลูก”
    “ค่ะ” ก็เพราะอย่างนี้น่ะซิ หล่อนถึงได้เป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะผู้ที่เป็นต้นตระกูลท่านปู่ทวดช่างเหมือนขุนไกรไม่มีผิดเพี้ยน ตอนนั้นหล่อนถึงได้คุ้นหน้าขุนไกรเสียเหลือเกินและคนทั้งคู่มีภาพวาดคู่กัน แล้ววิลันดามากลายเป็นย่าทวดของเธอไปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เธอหลงยุคไปกรุงธนบุรีเสียแล้ว
                 ++++++++++++++++++
“ท่านขุนเจ้าค่ะ”
    “มีอันใดรึ”
    นางมะลิรีบรายงานการมาของเพื่อนรักเจ้านาย
    “ท่านขุนศรีมาเจ้าค่ะ”
    ยังมิขาดคำนางมะลิ ขุนศรีก็เดินขึ้นเรือนมาหน้าตายิ้มระรื่น ทำตากรุ้มกริ่มใส่บ่าวไพร่สาว ๆ ที่นั่งกรองมาลัยอยู่ แต่ไม่ได้มาคนเดียว เขาพาแม่ชบาน้องสาวคนสวยมาด้วย
    “หนอย ๆ ไอ้เพื่อนเกลอ บ่าวไพร่เอ็งก็จักมิเว้นรึ” ขุนไกรเห็นสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มของเพื่อนรัก
    “โธ่ ขุนไกรเกลอรัก ข้าก็แค่มองเท่านั้นมิได้คิดอันใดดอก” เขาปฏิเสธ
    “แม่ชบาก็มาด้วย เดี๋ยวนี้โตขึ้นมากนักเจ้า ยิ่งโตก็ยิ่งงาม” ขุนไกรไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก เขาเอ็นดูนางเหมือนกับน้องสาว แต่แม่หญิงชบากลับคิดไปไกล ปลาบปลื้มใจที่เขาชมหล่อน แต่แม่หญิงชบาไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ก้มหน้าอายม้วนที่ถูกชมซึ่ง ๆ หน้า
    “ว่าแต่มีอันใดกันรึ ถึงมาเยือนเรือนข้าได้” เขาหันไปถามเพื่อนรัก
    “เจ้าหายไปไหนมารึ ข้ามาถึงก่อนตั้งนานสองนาน แลเกลอรักเอ็งคงจักลืมนัดของเราเสียแล้วหนา”  
ขุนศรีพูดเรื่องที่เขากลับมาถึงเรือนก่อนตั้งหลายวัน ในขณะที่ขุนไกรหายตัวไปจนคุณท้าวเฟื่องร้อนใจ จะให้เขาไปตาม และเรื่องที่จะนัดกันมากินเหล้ากันตามประสาชายโสดที่เรือนของขุนไกร
“บัดเดี๋ยวข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง” เขาตบไหล่เพื่อนเบาๆ     
    “แลข้ามีอีกเรื่องหนึ่งจักมาแจ้งแก่เจ้า  เจ้าพระยาพิชิตชาญชัย ให้ข้าเร่งมาตามเจ้ากลับค่ายบางกุ้ง”
    “มีเรื่องอันใดร้ายแรงรึไม่” ขุนไกรมีสีหน้าครุ่นคิดกลัวจะมีเรื่องไม่ดีเพราะได้ข่าวเรื่องการเดินทัพของพม่าและวันนั้นเขายังจำได้สายสืบที่พม่าส่งมาหาข่าว เสียแต่ว่าเป็นผู้หญิงเขาจึงไม่คิดฆ่านาง
    “ทางเราจับพวกเสือหมอบแมวเซาที่เข้ามาสอดแนมยังค่ายบางกุ้งได้”     ขุนไกรคิดว่า จะเป็นคนชุดดำคนนั้นหรือไม่ คนที่สวยเกินจะมาเป็นพวกเสือหมอบแมวเซา หล่อนน่าจะอยู่ในรั้วเวียงวังเสียมากกว่า
    “จริงรึ แล้วเป็นพวกไหนกัน” ขุนไกรเองก็ร้อนใจด้วยบ้านเมืองยังมิค่อยสงบ ผู้คิดรุกรานกรุงธนบรีในยามนี้มีอยู่มาก
    “น่าจักเป็นพวกพม่า แต่มันใจเด็ดนัก เราจับมันได้สองคนกำลังสอบสวนพวกมันชิงลงมือฆ่าตัวตายไปเสียก่อน”
    “ข้าก็เห็นใจเจ้านัก คนกำลังมีความรักเพิ่งจะขอลาราชการกลับมาหาคู่หมั้นสักอาทิตย์ นี่แค่ 4 วัน เจ้าก็ต้องกลับไปทำงานเสียแล้ว”ขุนศรียังมีอารมณ์แหย่เย้ากับเกลอรักได้ตลอดเวลา
ขุนไกรนึกเถียงขุนศรีอยู่ในใจว่า เขามิได้กลับมาหาแม่ดาวเรืองเสียหน่อยแต่ก็นิ่งเงียบไว้
    “มิเป็นอันใดดอก เรื่องชาติบ้านเมืองต้องมาก่อนเรื่องของตนเองเสมอ ข้าเข้าใจดี”  
    ขุนไกรเองใจจริงแล้วเขายังไม่อยากทิ้งวิลันดาไว้ที่นี่เพียงลำพัง ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเรือนของพ่อเขาก็ตาม  แม้ว่าพ่อกับแม่ของเขาจะเอ็นดูหล่อนมาก แต่ถึงอย่างไรซะ หล่อนก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่หลงยุคมา แต่ด้วยหน้าที่เขาจำเป็นจะต้องกลับไปยังค่ายบางกุ้งเสียก่อน
    “ไว้พรุ่งนี้เช้า เราค่อยเร่งเดินทางกลับ คืนนี้เจ้านอนพักที่เรือนข้าก่อนสักคืนเถิดหนา  เอ! แต่ทว่ามิได้ซิ แม่หญิงชบามาด้วย” ในยุคก่อนผู้หญิงจะไม่ไปค้างอ้างแรมที่ใด หากไม่จำเป็นหรือเป็นช่วงเดินทาง
“เอาเป็นว่า ข้าจักต้องไปส่งน้องก่อน จึงจักมาค้างอ้างแรมที่เรือนเจ้าได้”
    “เยี่ยงนั้นแล้ว เจ้าจักไปส่งแม่หญิงชบาเมื่อใด ข้าจักไปเป็นเพื่อน”         แม่หญิงชบาดีใจนัก อยากจะบอกให้พี่ชายสุดที่รักอยู่ที่นี่ แล้วให้ขุนไกรไปส่งนางคนเดียวก็พอ แต่ด้วยความเป็นหญิงจึงไม่อาจจะพูดออกมาได้
    “ดีเหมือนกันเกลอรัก ว่าแต่คืนนี้เจ้าต้องเลี้ยงเหล้าข้าถึงสว่างเชียวหนา”
“ก็ได้ไอ้เพื่อนเกลอ”
    “แม่หญิงชบา นานแล้วหนาที่น้องมิได้มาเยือนเรือนพี่  ประเดี๋ยววันนี้จักพาเจ้าไปชิมส้มโอในสวน” เขายิ้มให้หล่อนยังคิดว่าหล่อนเป็นเด็กน้อยเหมือนวันวานที่ชอบเรียกเขาว่าพี่ไกร และร้องให้อุ้มพาเที่ยวเล่น
    ใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเรือนของพระยามิตรไมตรี ปลูกส้มโอได้หวานนักยังเคยส่งเข้าห้องเครื่องในวัง ถวายเจ้านายหลายพระองค์ด้วยกัน
    “พี่ขุนดีกับน้องยิ่งนัก” แววตาซาบซึ้งมองไปยังบุรุษร่างใหญ่ใบหน้าคมสัน
    “โธ่ แม่ชบาน้องพี่ แลพี่ศรีพี่ชายเจ้าไม่มิดีรึไร” ขุนศรีแซวน้องสาวตนเองเล่น
    ขุนศรี!
    ขุนไกรเรียกสติเกลอรักเขาตกใจอยู่ดี ๆ ขุนศรีก็ตาโตเบิกกว้างขึ้นเหมือนตื่นตะลึงกับอะไรบางอย่าง
    ขุนไกรเขย่าตัวเพื่อนรัก อย่างแรง
    “ไอ้ขุนศรี เป็นกระไรรึ”
“ข้าเห็นนางบุษบาว่ะ เกลอรัก”เขาพูดด้วยน้ำเสียงเพ้อๆ
    ขุนไกรหันกลับไปมองยังทิศที่สายตาเพื่อนรักยังจับจ้องจนไม่กะพริบตา
    “แม่หญิงวิลันดา”
    หล่อนห่มสไบสีชมพูทาบทับด้วยสังวาลเส้นสวยกับผ้านุ่งสีกลีบบัวแลดูขับผิวขาวนวลของหล่อนยิ่งนัก ผมยาวสลวยที่เหยียดตรงมาถึงกลางหลังแล้วรัดเอาไว้ด้วยเกี้ยวอันเล็ก ๆ ที่มีบุษราคัมเม็ดเล็ก ๆ ประดับ ทำให้ทรงผมของหล่อนดูสวยแปลกตาผิดหญิงอื่น                         
วิลันดาเดินออกมาจากห้องพร้อมกับมะลิ ดูเหมือนมะลิจักชวนนางไปเก็บดอกไม้มาจัดแจกันเพราะมีพานสำหรับใส่ดอกไม้ติดมือไปด้วย
    “ใครกันรึ แม่หญิงผู้นี้งามนัก” ขุนศรีจอมเจ้าชู้ยังถามเหมือนคนละเมอดั่งต้องมนตร์
    โป๊ก!
    ขุนไกรเขกหัวเพื่อนรักจนขุนศรีสะดุ้ง
โอ๊ย! ขุนศรีร้องลั่น
    “ขุนไกรไยเจ้ามาเขกหัวข้าแบบนี้มันเจ็บ รู้รึไม่” ขุนศรีหันมาโวยวายเสียงดังใส่เกลอรัก
    “ก็รู้ว่าเจ้าเจ็บ ข้าจึงได้ทำ เจ้ามองนางแบบนี้ ข้ามิชอบ”
    แม่หญิงชบาหน้าซีดลงทันที ไม่คิดว่าขุนไกรจะกล้าพูดแบบนี้ดูเขาหึงหวงแม่หญิงผู้นี้จนออกนอกหน้า แม่หญิงผู้นี้ก็สวยเหลือเกินมากกว่าแม่หญิงดาวเรือง หรือตัวนางเองด้วยซ้ำไป ทำให้อยากรู้นักว่านางเป็นใครกัน เหตุไฉนถึงได้มาอยู่ที่นี่
    “อย่าบอกหนาว่านั่นเมียเจ้า ” ขุนศรีตื่นตะลึง                 
       “เจ้าริมีเมียซุกซ่อนเอาไว้ที่เรือนอย่างนี้ ถึงว่าเจ้าจึงร้อนใจลาราชการมาเสียหลายวัน” ขุนศรีมองอย่างจับผิด
    “หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่ นางมิใช่เมียข้า” ปากเขาปฏิเสธแต่ใจอยากจะเป็นจริงตามที่เพื่อนว่า
    “จริงรึ เยี่ยงนั้นนางคงเป็นญาติเจ้า บุญของข้าแล้ว ข้าจักได้มีโอกาสเกี้ยวนาง” ขุนศรีจอมเจ้าชู้ทำสายตากรุ้มกริ่ม
    “มิได้” เสียงดุเข้ม                             
         “พ่อกับแม่ข้า หวงนางมาก หากเจ้าทำยุ่มย่ามกับนาง มีหวังจักโดนตะเพิดออกจะเรือนมิทัน” ขุนไกรเสียงแข็งจนขุนศรีเองก็งงเหมือนกัน เพราะไม่เคยเห็นเพื่อนรักจะทำทีหวงก้างใครแบบนี้                        
         ส่วนแม่หญิงชบา รู้สึกใจเสียนางไม่คิดว่า แม่หญิงวิลันดาจะเป็นน้องของขุนไกร นางคิดว่าคงมีอะไรมากกว่านั้น แค่แม่หญิงดาวเรืองก็ยากแล้ว นี่มีแม่หญิงผู้งามพิลาศคนนี้อีกคน แล้วอย่างนี้ขุนไกรจะมีสายตามาเหลียวแลนางบ้างรึไม่
    “แม่หญิงผู้นี้ เป็นญาติเจ้าแน่รึ” ขุนศรีด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมานานก็มิได้โกรธ กลับรู้สึกดีที่ได้แหย่ กวนอารมณ์เพื่อนรัก เพราะเขาชักรู้สึกแปลกเหมือนขุนไกรจะมีเรื่องอันใดปิดบังเขาอยู่
    “หากเจ้าถามมาก ข้าจักไล่ออกไปนอกเรือนเสียดีรึไม่”
    “โธ่...เกลอรัก ถ้าเจ้าหวงมากนัก ข้ามิถามแล้วก็ได้” ในใจเขาคิดว่าไม่ใช่เมีย แต่เพื่อนรักหวงน้องยิ่งกว่าเมียเสียอีก
    วิลันดากำลังจะลงเรือนไปกับมะลิ เพราะเห็นเขามีแขก นางไม่ได้รู้จัก จึงไม่กล้าเข้ามาทักทาย แต่ขุนไกรได้เรียกนางเอาไว้    
    “แม่หญิงมาหาพี่ก่อนเถิด”
    “เดี๋ยวเราจักตามไปหนา มะลิลงไปก่อนก็แล้วกัน” วิลันดาสั่งเสร็จก็เดินมาหาขุนไกรกับหญิงชายคู่หนึ่งซึ่งดูจะสนิทคุ้นเคยกับขุนไกร
    “นี่เพื่อนของพี่ ขุนศรีกับน้องสาว ชื่อแม่หญิงชบาคงจักเป็นน้องเจ้าหลายปี” วิลันดายกมือไหว้ขุนศรีและยิ้มให้แม่หญิงชบาอย่างเป็นมิตร ขุนศรีรับไหว้และจ้องไม่วางตา ส่วนแม่ชบากำลังทึ่งกับความสวยเบื้องหน้า ตั้งแต่หล่อนเกิดมายังไม่เคยเห็นใครสวยเท่านี้มาก่อนเลย
    “เอ็งอย่าริจ้องน้องข้านานเกลอรัก น้องข้าจักบอบช้ำอยู่แล้วด้วยสายตาเจ้า” ขุนไกรเหน็บแนมเพื่อนรัก
    “ท่านขุนเจ้าขา มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ” นางขมิ้นรีบขึ้นมารายงานและต้องรู้สึกเจ็บใจอีกครั้ง เมื่อเห็นแต่หญิงงามมีชาติตระกูลอยู่รอบตัวกันหมด ทั้งแม่หญิงวิลันดา แม่หญิงชบา แต่ที่หล่อนเกลียดที่สุดคือแม่หญิงดาวเรืองที่กำลังขึ้นเรือนมา
    “ใครมากันอีกรึ  เจ้าหมอนี่มันก็ยังมิกลับ” ขุนไกรแกล้งปรายตามาหาเพื่อนรักอย่างหยอกเย้ากัน                             
          “มีคนมาหาข้าอีกแล้วรึ”
    “แม่หญิงดาวเรืองกับพี่ชายของนางเจ้าค่ะ” หากฟังให้ดีน้ำเสียงที่เรียกชื่อแม่หญิงดาวเรืองจะเน้นหนักแบบประชดประชัน
    แค่พูดชื่อแม่หญิงดาวเรือง ขุนไกรก็อยากจะหายตัวไปให้รู้แล้วรู้รอด แค่นางมาคนเดียวเขาก็แย่อยู่แล้ว ยังพาพี่ชายมาอีก ซึ่งรายหลังคงไม่ได้อยากมาพบเขา แต่คงใช้น้องสาวบังหน้ามาหาแม่หญิงวิลันดาเสียมากกว่า
    “ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าอยู่รึไม่” เขาถามนางขมิ้นเบา ๆ ขุนไกรหวังให้คุณท้าวเฟื่องมาช่วยรับหน้าแม่ดาวเรืองเสียหน่อย เพราะเขาขี้เกียจจะเดินตามเก็บดอกไม้ให้นางเต็มทีแล้ว จะได้มีโอกาสไปเป็นก้างขวางคอของจมื่นราชภักดีบ้าง
    “มิอยู่เจ้าค่ะ ท่านทั้งสองเข้าวังไปแต่เช้ามืดแล้วเจ้าค่ะ” ขมิ้นเฝ้ามองขุนไกรพลางนึกอยากจะไปยืนเคียงข้างเหมือนแม่หญิงทั้งสอง ไม่ใช่เพียงได้แค่นั่งหมอบอยู่ตรงนี้
      “เอาล่ะซิ มีงานเข้า ”
    ขุนไกรยังจำได้ดี สมัยที่หลงไปยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เขาเห็นคนยุคแม่หญิงวิลันดาชอบพูดกันเวลามีเรื่อง
    “พูดอันใดของเจ้า หมู่นี้เจ้าดูพิกลนัก” ขุนศรีมองเกลอรักพลางส่ายหัว
“ขมิ้น”  หล่อนรู้สึกตื่นเต้นทุกทีที่ท่านขุนเรียกชื่อหล่อน
    “เจ้าค่ะ”
“เจ้าว่า พวกเขามาหาข้า ไยมิเห็นมีผู้ใดขึ้นเรือนมา”
    ยังไม่ทันจะขาดคำ ร่างงามในชุดสไบสีส้มดูขับผิวนวล คาดทับด้วยเข็มขัดเงินประดับด้วยเครื่อง ถนิมพิมภรณ์อย่างพิถีพิถันราวจะมาประกวดประชันกับใคร ก็ปรากฏกายขึ้น พร้อมหนุ่มรูปงามผิวพรรณสะอาดสะอ้านดูลออตาซึ่งขุนไกรไม่อยากจะให้มาที่นี่
    “น้องอยูนี่เจ้าค่ะ” แม่หญิงดาวเรืองขึ้นมาได้ยินขุนไกรกำลังถามบ่าวที่นั่งเสนอหน้าขาวอยู่ ซึ่งแม่ดาวเรืองไม่ชอบสักเท่าไหร่ หล่อนจึงคิดเข้าข้างตนเองว่าขุนไกรคงกำลังคิดถึงนางอยู่
    “อีสาเอ็งเอาขนมเรไรมานี่”
    “เจ้าค่ะ” สาวใช้แม่หญิงดาวเรืองส่งถาดของหวานให้กับนายของตน
    “น้องทำขนมจักนำมาให้พี่ขุนได้ลองชิมเจ้าค่ะ” แม่หญิงดาวเรืองดูเขินอายพลางส่งถาดขนมให้ขุนไกร ที่จริงแล้วขนมสีสวยที่ดูน่าลิ้มลองในถาดทองเหลืองไม่ใช่ฝีมือของแม่ดาวเรืองแต่เป็นของบ่าวในโรงครัว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่