ขอบคุณที่ติดตามอ่านและแล้วก็ใกล้ตอนจบแล้วค่ะ
ตอนที่ 29
กรุงเทพฯ 2013 ณ หน้าเรือนไทย ซึ่งเป็นสำนักของปู่เจ้า แก้วกานดายังจำได้ที่เพื่อนรักเล่าให้ฟัง วิลันดาบอกว่าพาขุนไกรมาที่นี่ ก่อนที่เธอจะไปส่งขุนไกรที่โบสถ์ปรกโพธิ์และหายตัวไปอย่างลึกลับ
“ยายแก้วลูกจะเข้าไปนั้นจริงๆ หรือ”
“จริงซิคะคุณแม่”
แก้วกานดายังกลัว ๆ กล้า ๆ จึงต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้มารดาฟัง แม้เป็นเรื่องที่เชื่อยากนัก แต่มารดาของหล่อนก็คล้อยตาม เนื่องจากรูปถ่ายโบราณของคุณย่าทวดผู้เป็นต้นตระกูลช่างมีใบหน้าละม้ายกับวิลันดาจนเรียกได้ว่า ถ้ามิใช่หล่อนก็ต้องเป็นฝาแฝดของหล่อนเป็นแน่
“เข้ามาเถอะ” เสียงของชายคนหนึ่งเหมือนคนชราเรียกให้สองแม่ลูกเข้าไปยังตำหนัก แต่เมื่อทั้งสองเข้าไปกลับรู้สึกประหลาดที่แท้เสียงชายชราที่ได้ยินกลับมีหน้าตาหนุ่มกว่าน้ำเสียงมากนัก คะเนอายุอานามราวคนอายุสักสามสิบปีเห็นจะได้
“ปู่เจ้าใช่หรือไม่คะ” สองแม่ลูกไม่ค่อยมั่นใจนักแต่ได้ยินคำบอกเล่าว่าท่านเป็นผู้หยั่งรู้และไม่ใช่จะดูให้ใครได้ง่ายๆ
“เออ ก็ข้าซิว่ะ แล้วเอ็งมาให้ใครกันล่ะนังหนู”
ทั้งสองแม่ลูกนั่งลงและก้มกราบ ตำหนักนี้วันนี้ดูเงียบเชียบเนื่องจากเป็นวันธรรมดา อีกทั้งปู่เจ้าไม่ได้ดูดวงให้กับทุกคน ท่านจะช่วยเหลือเพียงคนดีและคนที่มีชะตาเกี่ยวพันกับท่านเท่านั้น
“ขอโทษค่ะ คือแก้วเพิ่งมาครั้งแรก”
“เอ็งมาตามเพื่อนหรือ” ปู่เจ้ายิ้มรอยยิ้มนั้นดูสงบเยือกเย็น แต่ก็น่าเลื่อมใสศรัทธา
“ท่านรู้ได้ยังไงคะ”
ปู่เจ้าไม่ตอบท่านหลับตาลง ทำสมาธิอยู่สักพักหนึ่ง สองแม่ลูกต่างมองสบตากันไปมา
“ตอนนี้เขากำลังลำบาก วิญญาณเขาล่องลอยอยู่ยังเข้าร่างไม่ได้” ท่านกำหนดจิต จึงเห็นร่างของวิลันดาที่ยังกลับเข้าร่างไม่ได้ แต่ท่านไม่มีสิทธิจะเข้าไปยุ่งในเรื่องนั้นได้
“แล้วหนูจะช่วยยายวิได้อย่างไรคะ” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเพื่อนรักยิ่ง
“เจ้าช่วยเขาไม่ได้หรอก” ปูเจ้าส่ายศีรษะช้าๆ
“ปู่เจ้าช่วยบอกหนูหน่อยได้ไหมค่ะ ว่ายายวิติดอยู่ที่ไหน”
“ก็สถานที่ ที่เจ้าคิดนั่นแหละ”
“ยายวิหลงไปอยู่กรุงธนบุรีหรือคะ” หัวใจหล่อนกระตุกวาบ
ปู่เจ้าไม่ตอบแต่พยักหน้า ส่วนสองแม่ลูกตกใจไม่คิดว่าเรื่องอย่างนี้มีจริงแต่ก็ต้องเชื่อ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างบอกให้รู้ว่านี่คือเรื่องจริง
“ยายวิจะกลับมาได้ไหมคะ” แก้วกานดาถามอย่างเป็นห่วงเพื่อนรัก ปู่เจ้าส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่มีเมื่อวานก็ไม่มีวันนี้ ไม่มีเขาก็ไม่มีพวกเจ้า”
แก้วกานดาและคุณนวลแม่ของเธอเข้าใจดีแล้วว่า ภาพถ่ายโบราณของต้นตระกูล ไม่ใช่เพราะวิลันดาไปละม้ายคล้ายกับท่านย่าทวดของพวกตน แต่คนในภาพนั่นคือวิลันดาตัวจริง หล่อนคงย้อนยุคไป แต่คงไม่ได้กลับมาสู่ยุคปัจจุบันอีกแล้ว
“แล้วเรื่องที่ปู่เจ้าบอกว่าวิญญาณของยายวิล่องลอยอยู่ หมายความว่าอย่างไรและเราไม่มีทางช่วยยายวิได้เลยหรือคะ”
แก้วกานดารัวคำถามยังเป็นห่วงเพื่อนรักหรืออีกนัยหนึ่งคือคุณย่าทวดของเธอไม่หาย
“มันเป็นพรหมลิขิตเราบอกอะไรพวกเจ้ามากไม่ได้หรอก กลับไปเสียเถอะ ภพนี้สิ้นสุดแล้วสำหรับเพื่อนของเจ้า”
สองแม่ลูกเห็นว่าปู่เจ้า ดูเหมือนไม่อยากจะตอบคำถามอะไรอีกจึงจำใจต้องลากลับ แก้วกานดาชวนมารดาไปทำบุญต่อที่วัด ด้วยคิดว่าผลบุญที่เธอทำให้อาจจะส่งผลให้วิลันดา ไม่ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายไปมากกว่านี้ แม้จะไม่มีทางรู้เลยว่าบัดนี้เพื่อนรักจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“ยายวิ ชาติหน้าเราเกิดมาเป็นเพื่อนกันอีกนะ”
แก้วกานดารำลึกถึงเพื่อนสาว แล้วกรวดน้ำลงที่โคนต้นไม้ใหญ่จนหยดสุดท้าย อธิษฐานจิตขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาเจอกันอีก
++++++++++++++++++
ที่เรือนของพระยามิตรไมตรี บ่าวไพร่ถูกสั่งห้าม ไม่ให้ไปพูดนอกเรือนว่าแม่หญิงเป็นอันใดไป อยู่ ๆ นางถึงได้นอนหลับไม่ฟื้น คุณท้าวเฟื่องจัดที่ในห้องพระเสียใหม่ล้อมรอบด้วยสายสิญจน์ พาร่างที่ยังมีลมหายใจรวยรินเข้าไปไว้ที่นั่นห้ามมิให้ใครเข้ามาวุ่นวาย ท่านปุโรหิตและพระยามิตรไมตรีเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มเป็นสีขาวทั้งชุด ตอนนี้มิมีใครไปส่งข่าวให้ขุนไกรกลับมาได้ ท่านปุโรหิตจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน โดยร่ายมนตรารักษาร่างไว้ แต่ยังมิสามารถเรียกกำกับวิญญาณของนางที่อยู่ที่ใดสักแห่งให้กลับเข้าร่างได้ เพราะยังขาดผู้ที่รู้ภาษาโบราณร่วมด้วยอีกคนหนึ่ง
วันนี้พ่อเพ็งคิดถึงแม่หญิงนัก เมื่อเสร็จธุระในวัง เขารีบมาที่เรือนของพระยามิตรไมตรี ตั้งแต่วันที่พาผู้ใหญ่มาสู่ขอ เขายังมิได้มีโอกาสมาที่เรือนนี้อีก เพราะทางผู้ใหญ่ของเขากำลังยุ่งเรื่องเตรียมสินสอดและหาฤกษ์มาหารือกับผู้ใหญ่ทางนี้เพื่อกำหนดวันงานอีกครั้ง
“พ่อเพ็งมาหาแม่หญิงรึ”
คุณท้าวเฟื่องมีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อยเมื่อพ่อเพ็งขึ้นเรือนมา นางมิได้รังเกียจ แต่มิรู้จักตอบคำถามเยี่ยงไรดีเรื่องแม่หญิง
“หลานจักมาขอพบแม่หญิงขอรับ”
“พ่อเพ็ง ฟังป้าหนา แม่หญิงมิอาจพบเจ้าได้ในเวลานี้ดอก”
“มีเรื่องอันใดกันรึขอรับ” สีหน้าเขากังวลอย่างมาก
คุณท้าวเฟื่องนิ่งไป
“รึนางกลับคืนไปสู่ยุคของนางแล้ว” เขารู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มตรงหน้าเขาเสียให้ได้ นางหายไป เขามาช้าไปรึนี่
“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยกระนั้นรึพ่อเพ็ง”
“ขอรับ นางเคยบอก นางเล่าถึงสาเหตุที่นางหลงภพมาให้หลานฟัง”
คุณท้าวมิคิดว่าพ่อเพ็งจะรู้เรื่องนางหมดแล้ว
“เยี่ยงนั้น ป้าคงมิต้องปิดเจ้าแล้ว ตามป้ามาเถิดหนา”
ที่ห้องพระ ร่างของแม่หญิงแลดูซูบซีด เหมือนคนมิมีเลือดติดกายนอนอยู่ ล้อมด้วยสายสิญจน์ท่านพระยามิตรไมตรี และท่านปุโรหิตต่างสวดมนต์กันด้วยสีหน้าเครียด
“แม่หญิง” พ่อเพ็งจักเข้าไปหาแม่หญิงเสียให้ได้ ติดว่าคุณท้าวเฟื่องรั้งแขนเอาไว้
“เจ้าเข้าไปมิได้หนา พ่อเพ็ง”
“นางเป็นอันใดไปขอรับ ”
“ป้าก็มิรู้ดอก แต่ตอนนี้ขุนไกรก็มิอยู่ มิมีผู้อ่านคาถาโบราณได้ เรายังเรียกวิญญาณนางกลับคืนสู่ร่างมิได้ ร่างของนางจะเสื่อมลงเรื่อยๆ”
“คาถาโบราณรึ”
“ใช่” คุณท้าวถอนใจ
“หลานอาจจักอ่านมันได้ ขอหลานดูหน่อยได้รึไม่ขอรับ” ไม่รู้เพราะเหตุอันใด แต่เขาคิดว่าเขาจักต้องอ่านได้เป็นแน่
“เจ้าจักตามนางไปทุกชาติเชียวรึ” ท่านปุโรหิตค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ท่านปุโรหิตถอนใจ
มิมีใครเข้าใจที่ท่านปุโรหิตพูด แต่ท่านปุโรหิตเห็นพ่อเพ็งในแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่า ชายผู้นี้จักช่วยแม่หญิงได้ แต่ให้นึกสงสาร ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นแต่มิแจ่มชัดนัก เกี่ยวกับบุตรีของท่านและชายผู้มาอาสาช่วยเหลือ ท่านจึงหยิบใบลานซึ่งจารอักษรโบราณไว้ส่งให้พ่อเพ็ง
“ภาษาที่เขียนนี่เก่านัก คงจักจารขึ้นราวสมัยทวาราวดีเป็นแน่”
“ใช่แล้ว เจ้าคงจักอ่านมันได้ ข้ารู้” เพราะเขานั่นแหละคือผู้ที่จารมันด้วยมือของเขาเอง
ในสมัยทวาราวดี จมื่นราชภักดี หรือ เกิด เป็นบุตรของเศรษฐีผู้มั่งคั่งเช่นเดียวกับแม่หญิงวิลันดา เขาพบมณีจันทร์หรือวิลันดาโดยบังเอิญ ด้วยบิดาของเขานั้นมาทำการค้ากับพ่อของนางหรือปุโรหิตศรีวิชัยในชาตินี้
เขาหลงรักมณีจันทร์ตั้งแต่แรกพบ แต่นางมีคู่หมายแล้วคืออินทราซึ่งเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ เขาหลงรักนางแต่มิอาจช่วงชิงนางมาได้ เพราะเขารู้ดีว่านางมิได้มีใจตอบให้แก่เขา เขาเฝ้ามองความเป็นไปของนาง จนรู้ว่าในวันแต่งงานนางถูกลอบวางยาพิษ เขาเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่เขาหลงรักอย่างปักใจได้จากโลกนี้ไป จึงได้ตั้งสัจจาธิษฐานขอติดตามรักนางไปทุกภพทุกชาติและขอให้เขาได้เป็นผู้ช่วยเหลือนาง เขามิยอมรักผู้ใดอีก ทั้งชีวิตอุทิศให้แก่ศาสนา
เขามิได้ทำการค้าเยี่ยงเดียวกับบิดา แต่กลับรับราชการในวัง ทำหน้าที่เป็นผู้จารคัมภีร์โบราณและดูแลรักษา ซึ่งเก็บไว้ในหอพระคัมภีร์ในพระบรมมหาราชวัง แล้วเวลาก็เปลี่ยนเวียนไปจนอาณาจักรทวาราวดีล่มสลาย คัมภีร์ที่ถูกเก็บรักษาต่างได้สูญหายไปและผลัดมือจนคัมภีร์เล่มหนึ่งตกมาอยู่ในตระกูลของท่านปุโรหิตศรีวิชัย
จมื่นราชภักดีหยิบคัมภีร์โบราณขึ้นมา อดประหลาดใจมิได้ เขาอ่านมันออก ทั้งที่ในชาตินี้ มิได้ร่ำเรียนภาษาโบราณมาก่อน มิเหมือนขุนไกรที่เป็นทหารที่ทั้งรบเก่งและยังรอบรู้อักขระโบราณ เพราะได้ครูดีอย่างพระยาพิชิตพลพ่ายซึ่งท่านมีความรอบรู้ด้านภาษาโบราณและถ่ายทอดมาแก่ศิษย์เอกคือขุนไกร
“แล้วข้าจักต้องทำเยี่ยงไร”
เขาถามท่านปุโรหิต ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน ในใจเขาเองก็ครุ่นคิดว่า ท่านปุโรหิตมาเกี่ยวอันใดในเรื่องนี้ แต่ยามนี้มิมีเวลาให้สงสัยอื่นใด นอกจากเร่งช่วยเจ้าดวงใจ
“นุ่งขาวห่มขาว เจ้าจักต้องสวดคัมภีร์นี้เป็นเวลา เจ็ดวันเจ็ดคืน”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไรเจ้าค่ะ ใครจักทำได้ มิได้หลับนอนต้องสวดคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน” คุณท้าวเฟื่องถึงกับหน้าถอดสี
“ต้องทำให้ได้ มิอย่างนั้น นางคงมิอาจฟื้นคืนมาได้อีก” ท่านปุโรหิตก็ไม่มั่นใจนักว่าจักสำเร็จรึไม่ แต่นี่เป็นทางสุดท้ายแล้ว
“ข้าจักทำ ข้าจักช่วยแม่หญิง นางเป็นคนที่ข้ารัก แม้แต่ชีวิตข้าก็ขอมอบให้แก่นาง เรื่องแค่นี้สำหรับข้าแล้วมิใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย”
คุณท้าวคิดว่า พ่อขุนไกรบุตรชายนาง คงมิต้องกังวลเรื่องแม่หญิงแล้ว อย่างน้อย ถึงนางกับขุนไกรจักมิได้แต่งงานกัน แต่แม่หญิงก็คงจักพบกับชายที่รักนางไม่แพ้ขุนไกร แล้วคิดว่าบุตรชายของนางเป็นชายชาติทหารมีใจกว้างพอคงจักรับได้แล้ว วันที่กลับค่ายบางกุ้งถึงได้คลายโศกเศร้า และแจ้งแก่นางว่าเขามิได้เสียใจเรื่องแม่หญิงแล้ว
ชายในชุดสีขาวทั้งสาม รวบรวมสมาธิอย่างแรงกล้าพนมมือขึ้นอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายให้มาดลบันดาลให้สิ่งที่พวกเขาจักทำต่อไปนี้จงสำเร็จ ลมกระโชกแรง ฟ้าฝนตกหนัก พวกเขาอ่านคัมภีร์โบราณกันทั้งวันทั้งคืน จักหยุดกันบ้างเพลาที่รับข้าวเท่านั้น แม้นร่างกายจักอ่อนเพลียเหนื่อยล้าเพียงไร ก็มิมีผู้ใดเอ่ยปากย่อท้อ หวังให้แม่หญิงฟื้นคืนมาเพียงเท่านั้น
ท่านปุโรหิตทำเพื่อแม่หญิงเพราะแม่หญิงคือบุตรีของท่านที่ท่านตามมาคอยช่วยเหลือ ความรักของบิดาที่มีต่อบุตรนั้นมิสามารถหาสิ่งใดมาเทียบได้ พ่อเพ็งนั้นตั้งสัจจาธิษฐานไว้จักติดตามช่วยเหลือนางไปทุกชาติ ส่วนพระยามิตรไมตรีรู้แก่ใจดี ท่านช่วยแม่หญิงจนสุดกำลังเยี่ยงนี้ เพราะรู้ว่าแม่หญิงวิลันดาคือหัวใจของขุนไกร หากแม้นนางมิฟื้นคืนมาพ่อขุนลูกท่านคงแทบจักขาดใจตามนางไป
คุณท้าวเฟื่องกังวลใจ นี่ก็ปาเข้าไปวันที่ห้าแล้ว แม่หญิงก็ยังมิฟื้นขึ้นมา อีกทั้งชายทั้งสามคนที่ร่วมกันในพิธีก็ดูเหมือนเรี่ยวแรงจักลดน้อยถอยลง โดยเฉพาะท่านเจ้าพระยามิตรไมตรีดูจักเหนื่อยกว่าเพื่อนเพราะอายุท่านมากแล้ว
“คุณท้าวเจ้าค่ะ”
“มีอันใด ใครมาอีกรึ”
“คุณท้าวศรีประจัน กับแม่หญิงดาวเรืองมาเจ้าค่ะ”
คุณท้าวศรีประจันพร้อมด้วยบุตรีเร่งขึ้นเรือนมาแล้วตรงมาหาคุณท้าวเฟื่องอย่างทันที
“พ่อเพ็งลูกเราอยู่นี่รึไม่” คุณท้าวศรีประจันร้อนใจนักที่บุตรชายหายไปหลายวัน เมื่อพบหน้าคุณท้าวเฟื่องก็เปิดฉากถามทันที
“อยู่ แต่มิอาจออกมาพบคุณท้าวได้ในเพลานี้ ขอคุณพี่ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”
“แล้วพ่อเพ็งลูกเรา มาอยู่เรือนน้องด้วยเหตุอันใด มิยอมกลับไปที่เรือน” สีหน้าคุณท้าวศรีประจันแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจนักกับคำตอบที่ได้รับ
“เยี่ยงนั้นตามเรามาเถิด”
ทั้งคุณท้าวศรีประจันและแม่หญิงดาวเรืองมองเข้าไปในห้องพระ ต้องประหลาดใจอย่างหนัก อีกทั้งชายสามคนที่กำลังสวดอันใดสักอย่างหนึ่ง ในนั้นมีพ่อเพ็งลูกชายนางอยู่ด้วย
“เกิดอันใดขึ้น”
คุณท้าวเฟื่องเล่าให้คุณท้าวศรีประจันฟัง เรื่องโรคประหลาดของแม่หญิง นางเล่าอาการทุกอย่างเพียง แต่มิได้บอกว่าแม่หญิงมาจากต่างภพ เพราะกลัวคุณท้าวศรีประจันจักหาว่านางวิปลาส
“แล้วนางจักฟื้นขึ้นมาได้รึ”
“มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้ พวกเราทุกคนพยายามจักช่วยจนสุดกำลัง”
“ตายเสียได้ก็ดี ข้าจักได้หมดเสี้ยนหนามมาตำใจ” แม่ดาวเรืองนึกสะใจ
“เจ้าว่าอันใดหนาแม่ดาวเรือง” คุณท้าวเฟื่องหันไปถามแม่ดาวเรือง
“มิมีอันใดเจ้าค่ะ ดาวเรืองพูดว่าอยากให้แม่หญิงวิลันดาฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ เจ้าค่ะ กลัวจักมิได้ใช้ฤกษ์แต่งที่ท่านแม่ไปหามา”
“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 29 ) ตอนหน้าอวสาน
ขอบคุณที่ติดตามอ่านและแล้วก็ใกล้ตอนจบแล้วค่ะ
ตอนที่ 29
กรุงเทพฯ 2013 ณ หน้าเรือนไทย ซึ่งเป็นสำนักของปู่เจ้า แก้วกานดายังจำได้ที่เพื่อนรักเล่าให้ฟัง วิลันดาบอกว่าพาขุนไกรมาที่นี่ ก่อนที่เธอจะไปส่งขุนไกรที่โบสถ์ปรกโพธิ์และหายตัวไปอย่างลึกลับ
“ยายแก้วลูกจะเข้าไปนั้นจริงๆ หรือ”
“จริงซิคะคุณแม่”
แก้วกานดายังกลัว ๆ กล้า ๆ จึงต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้มารดาฟัง แม้เป็นเรื่องที่เชื่อยากนัก แต่มารดาของหล่อนก็คล้อยตาม เนื่องจากรูปถ่ายโบราณของคุณย่าทวดผู้เป็นต้นตระกูลช่างมีใบหน้าละม้ายกับวิลันดาจนเรียกได้ว่า ถ้ามิใช่หล่อนก็ต้องเป็นฝาแฝดของหล่อนเป็นแน่
“เข้ามาเถอะ” เสียงของชายคนหนึ่งเหมือนคนชราเรียกให้สองแม่ลูกเข้าไปยังตำหนัก แต่เมื่อทั้งสองเข้าไปกลับรู้สึกประหลาดที่แท้เสียงชายชราที่ได้ยินกลับมีหน้าตาหนุ่มกว่าน้ำเสียงมากนัก คะเนอายุอานามราวคนอายุสักสามสิบปีเห็นจะได้
“ปู่เจ้าใช่หรือไม่คะ” สองแม่ลูกไม่ค่อยมั่นใจนักแต่ได้ยินคำบอกเล่าว่าท่านเป็นผู้หยั่งรู้และไม่ใช่จะดูให้ใครได้ง่ายๆ
“เออ ก็ข้าซิว่ะ แล้วเอ็งมาให้ใครกันล่ะนังหนู”
ทั้งสองแม่ลูกนั่งลงและก้มกราบ ตำหนักนี้วันนี้ดูเงียบเชียบเนื่องจากเป็นวันธรรมดา อีกทั้งปู่เจ้าไม่ได้ดูดวงให้กับทุกคน ท่านจะช่วยเหลือเพียงคนดีและคนที่มีชะตาเกี่ยวพันกับท่านเท่านั้น
“ขอโทษค่ะ คือแก้วเพิ่งมาครั้งแรก”
“เอ็งมาตามเพื่อนหรือ” ปู่เจ้ายิ้มรอยยิ้มนั้นดูสงบเยือกเย็น แต่ก็น่าเลื่อมใสศรัทธา
“ท่านรู้ได้ยังไงคะ”
ปู่เจ้าไม่ตอบท่านหลับตาลง ทำสมาธิอยู่สักพักหนึ่ง สองแม่ลูกต่างมองสบตากันไปมา
“ตอนนี้เขากำลังลำบาก วิญญาณเขาล่องลอยอยู่ยังเข้าร่างไม่ได้” ท่านกำหนดจิต จึงเห็นร่างของวิลันดาที่ยังกลับเข้าร่างไม่ได้ แต่ท่านไม่มีสิทธิจะเข้าไปยุ่งในเรื่องนั้นได้
“แล้วหนูจะช่วยยายวิได้อย่างไรคะ” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเพื่อนรักยิ่ง
“เจ้าช่วยเขาไม่ได้หรอก” ปูเจ้าส่ายศีรษะช้าๆ
“ปู่เจ้าช่วยบอกหนูหน่อยได้ไหมค่ะ ว่ายายวิติดอยู่ที่ไหน”
“ก็สถานที่ ที่เจ้าคิดนั่นแหละ”
“ยายวิหลงไปอยู่กรุงธนบุรีหรือคะ” หัวใจหล่อนกระตุกวาบ
ปู่เจ้าไม่ตอบแต่พยักหน้า ส่วนสองแม่ลูกตกใจไม่คิดว่าเรื่องอย่างนี้มีจริงแต่ก็ต้องเชื่อ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างบอกให้รู้ว่านี่คือเรื่องจริง
“ยายวิจะกลับมาได้ไหมคะ” แก้วกานดาถามอย่างเป็นห่วงเพื่อนรัก ปู่เจ้าส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่มีเมื่อวานก็ไม่มีวันนี้ ไม่มีเขาก็ไม่มีพวกเจ้า”
แก้วกานดาและคุณนวลแม่ของเธอเข้าใจดีแล้วว่า ภาพถ่ายโบราณของต้นตระกูล ไม่ใช่เพราะวิลันดาไปละม้ายคล้ายกับท่านย่าทวดของพวกตน แต่คนในภาพนั่นคือวิลันดาตัวจริง หล่อนคงย้อนยุคไป แต่คงไม่ได้กลับมาสู่ยุคปัจจุบันอีกแล้ว
“แล้วเรื่องที่ปู่เจ้าบอกว่าวิญญาณของยายวิล่องลอยอยู่ หมายความว่าอย่างไรและเราไม่มีทางช่วยยายวิได้เลยหรือคะ”
แก้วกานดารัวคำถามยังเป็นห่วงเพื่อนรักหรืออีกนัยหนึ่งคือคุณย่าทวดของเธอไม่หาย
“มันเป็นพรหมลิขิตเราบอกอะไรพวกเจ้ามากไม่ได้หรอก กลับไปเสียเถอะ ภพนี้สิ้นสุดแล้วสำหรับเพื่อนของเจ้า”
สองแม่ลูกเห็นว่าปู่เจ้า ดูเหมือนไม่อยากจะตอบคำถามอะไรอีกจึงจำใจต้องลากลับ แก้วกานดาชวนมารดาไปทำบุญต่อที่วัด ด้วยคิดว่าผลบุญที่เธอทำให้อาจจะส่งผลให้วิลันดา ไม่ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายไปมากกว่านี้ แม้จะไม่มีทางรู้เลยว่าบัดนี้เพื่อนรักจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“ยายวิ ชาติหน้าเราเกิดมาเป็นเพื่อนกันอีกนะ”
แก้วกานดารำลึกถึงเพื่อนสาว แล้วกรวดน้ำลงที่โคนต้นไม้ใหญ่จนหยดสุดท้าย อธิษฐานจิตขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาเจอกันอีก
++++++++++++++++++
ที่เรือนของพระยามิตรไมตรี บ่าวไพร่ถูกสั่งห้าม ไม่ให้ไปพูดนอกเรือนว่าแม่หญิงเป็นอันใดไป อยู่ ๆ นางถึงได้นอนหลับไม่ฟื้น คุณท้าวเฟื่องจัดที่ในห้องพระเสียใหม่ล้อมรอบด้วยสายสิญจน์ พาร่างที่ยังมีลมหายใจรวยรินเข้าไปไว้ที่นั่นห้ามมิให้ใครเข้ามาวุ่นวาย ท่านปุโรหิตและพระยามิตรไมตรีเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มเป็นสีขาวทั้งชุด ตอนนี้มิมีใครไปส่งข่าวให้ขุนไกรกลับมาได้ ท่านปุโรหิตจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน โดยร่ายมนตรารักษาร่างไว้ แต่ยังมิสามารถเรียกกำกับวิญญาณของนางที่อยู่ที่ใดสักแห่งให้กลับเข้าร่างได้ เพราะยังขาดผู้ที่รู้ภาษาโบราณร่วมด้วยอีกคนหนึ่ง
วันนี้พ่อเพ็งคิดถึงแม่หญิงนัก เมื่อเสร็จธุระในวัง เขารีบมาที่เรือนของพระยามิตรไมตรี ตั้งแต่วันที่พาผู้ใหญ่มาสู่ขอ เขายังมิได้มีโอกาสมาที่เรือนนี้อีก เพราะทางผู้ใหญ่ของเขากำลังยุ่งเรื่องเตรียมสินสอดและหาฤกษ์มาหารือกับผู้ใหญ่ทางนี้เพื่อกำหนดวันงานอีกครั้ง
“พ่อเพ็งมาหาแม่หญิงรึ”
คุณท้าวเฟื่องมีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อยเมื่อพ่อเพ็งขึ้นเรือนมา นางมิได้รังเกียจ แต่มิรู้จักตอบคำถามเยี่ยงไรดีเรื่องแม่หญิง
“หลานจักมาขอพบแม่หญิงขอรับ”
“พ่อเพ็ง ฟังป้าหนา แม่หญิงมิอาจพบเจ้าได้ในเวลานี้ดอก”
“มีเรื่องอันใดกันรึขอรับ” สีหน้าเขากังวลอย่างมาก
คุณท้าวเฟื่องนิ่งไป
“รึนางกลับคืนไปสู่ยุคของนางแล้ว” เขารู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มตรงหน้าเขาเสียให้ได้ นางหายไป เขามาช้าไปรึนี่
“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยกระนั้นรึพ่อเพ็ง”
“ขอรับ นางเคยบอก นางเล่าถึงสาเหตุที่นางหลงภพมาให้หลานฟัง”
คุณท้าวมิคิดว่าพ่อเพ็งจะรู้เรื่องนางหมดแล้ว
“เยี่ยงนั้น ป้าคงมิต้องปิดเจ้าแล้ว ตามป้ามาเถิดหนา”
ที่ห้องพระ ร่างของแม่หญิงแลดูซูบซีด เหมือนคนมิมีเลือดติดกายนอนอยู่ ล้อมด้วยสายสิญจน์ท่านพระยามิตรไมตรี และท่านปุโรหิตต่างสวดมนต์กันด้วยสีหน้าเครียด
“แม่หญิง” พ่อเพ็งจักเข้าไปหาแม่หญิงเสียให้ได้ ติดว่าคุณท้าวเฟื่องรั้งแขนเอาไว้
“เจ้าเข้าไปมิได้หนา พ่อเพ็ง”
“นางเป็นอันใดไปขอรับ ”
“ป้าก็มิรู้ดอก แต่ตอนนี้ขุนไกรก็มิอยู่ มิมีผู้อ่านคาถาโบราณได้ เรายังเรียกวิญญาณนางกลับคืนสู่ร่างมิได้ ร่างของนางจะเสื่อมลงเรื่อยๆ”
“คาถาโบราณรึ”
“ใช่” คุณท้าวถอนใจ
“หลานอาจจักอ่านมันได้ ขอหลานดูหน่อยได้รึไม่ขอรับ” ไม่รู้เพราะเหตุอันใด แต่เขาคิดว่าเขาจักต้องอ่านได้เป็นแน่
“เจ้าจักตามนางไปทุกชาติเชียวรึ” ท่านปุโรหิตค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ท่านปุโรหิตถอนใจ
มิมีใครเข้าใจที่ท่านปุโรหิตพูด แต่ท่านปุโรหิตเห็นพ่อเพ็งในแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่า ชายผู้นี้จักช่วยแม่หญิงได้ แต่ให้นึกสงสาร ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นแต่มิแจ่มชัดนัก เกี่ยวกับบุตรีของท่านและชายผู้มาอาสาช่วยเหลือ ท่านจึงหยิบใบลานซึ่งจารอักษรโบราณไว้ส่งให้พ่อเพ็ง
“ภาษาที่เขียนนี่เก่านัก คงจักจารขึ้นราวสมัยทวาราวดีเป็นแน่”
“ใช่แล้ว เจ้าคงจักอ่านมันได้ ข้ารู้” เพราะเขานั่นแหละคือผู้ที่จารมันด้วยมือของเขาเอง
ในสมัยทวาราวดี จมื่นราชภักดี หรือ เกิด เป็นบุตรของเศรษฐีผู้มั่งคั่งเช่นเดียวกับแม่หญิงวิลันดา เขาพบมณีจันทร์หรือวิลันดาโดยบังเอิญ ด้วยบิดาของเขานั้นมาทำการค้ากับพ่อของนางหรือปุโรหิตศรีวิชัยในชาตินี้
เขาหลงรักมณีจันทร์ตั้งแต่แรกพบ แต่นางมีคู่หมายแล้วคืออินทราซึ่งเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ เขาหลงรักนางแต่มิอาจช่วงชิงนางมาได้ เพราะเขารู้ดีว่านางมิได้มีใจตอบให้แก่เขา เขาเฝ้ามองความเป็นไปของนาง จนรู้ว่าในวันแต่งงานนางถูกลอบวางยาพิษ เขาเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่เขาหลงรักอย่างปักใจได้จากโลกนี้ไป จึงได้ตั้งสัจจาธิษฐานขอติดตามรักนางไปทุกภพทุกชาติและขอให้เขาได้เป็นผู้ช่วยเหลือนาง เขามิยอมรักผู้ใดอีก ทั้งชีวิตอุทิศให้แก่ศาสนา
เขามิได้ทำการค้าเยี่ยงเดียวกับบิดา แต่กลับรับราชการในวัง ทำหน้าที่เป็นผู้จารคัมภีร์โบราณและดูแลรักษา ซึ่งเก็บไว้ในหอพระคัมภีร์ในพระบรมมหาราชวัง แล้วเวลาก็เปลี่ยนเวียนไปจนอาณาจักรทวาราวดีล่มสลาย คัมภีร์ที่ถูกเก็บรักษาต่างได้สูญหายไปและผลัดมือจนคัมภีร์เล่มหนึ่งตกมาอยู่ในตระกูลของท่านปุโรหิตศรีวิชัย
จมื่นราชภักดีหยิบคัมภีร์โบราณขึ้นมา อดประหลาดใจมิได้ เขาอ่านมันออก ทั้งที่ในชาตินี้ มิได้ร่ำเรียนภาษาโบราณมาก่อน มิเหมือนขุนไกรที่เป็นทหารที่ทั้งรบเก่งและยังรอบรู้อักขระโบราณ เพราะได้ครูดีอย่างพระยาพิชิตพลพ่ายซึ่งท่านมีความรอบรู้ด้านภาษาโบราณและถ่ายทอดมาแก่ศิษย์เอกคือขุนไกร
“แล้วข้าจักต้องทำเยี่ยงไร”
เขาถามท่านปุโรหิต ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน ในใจเขาเองก็ครุ่นคิดว่า ท่านปุโรหิตมาเกี่ยวอันใดในเรื่องนี้ แต่ยามนี้มิมีเวลาให้สงสัยอื่นใด นอกจากเร่งช่วยเจ้าดวงใจ
“นุ่งขาวห่มขาว เจ้าจักต้องสวดคัมภีร์นี้เป็นเวลา เจ็ดวันเจ็ดคืน”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไรเจ้าค่ะ ใครจักทำได้ มิได้หลับนอนต้องสวดคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน” คุณท้าวเฟื่องถึงกับหน้าถอดสี
“ต้องทำให้ได้ มิอย่างนั้น นางคงมิอาจฟื้นคืนมาได้อีก” ท่านปุโรหิตก็ไม่มั่นใจนักว่าจักสำเร็จรึไม่ แต่นี่เป็นทางสุดท้ายแล้ว
“ข้าจักทำ ข้าจักช่วยแม่หญิง นางเป็นคนที่ข้ารัก แม้แต่ชีวิตข้าก็ขอมอบให้แก่นาง เรื่องแค่นี้สำหรับข้าแล้วมิใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย”
คุณท้าวคิดว่า พ่อขุนไกรบุตรชายนาง คงมิต้องกังวลเรื่องแม่หญิงแล้ว อย่างน้อย ถึงนางกับขุนไกรจักมิได้แต่งงานกัน แต่แม่หญิงก็คงจักพบกับชายที่รักนางไม่แพ้ขุนไกร แล้วคิดว่าบุตรชายของนางเป็นชายชาติทหารมีใจกว้างพอคงจักรับได้แล้ว วันที่กลับค่ายบางกุ้งถึงได้คลายโศกเศร้า และแจ้งแก่นางว่าเขามิได้เสียใจเรื่องแม่หญิงแล้ว
ชายในชุดสีขาวทั้งสาม รวบรวมสมาธิอย่างแรงกล้าพนมมือขึ้นอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายให้มาดลบันดาลให้สิ่งที่พวกเขาจักทำต่อไปนี้จงสำเร็จ ลมกระโชกแรง ฟ้าฝนตกหนัก พวกเขาอ่านคัมภีร์โบราณกันทั้งวันทั้งคืน จักหยุดกันบ้างเพลาที่รับข้าวเท่านั้น แม้นร่างกายจักอ่อนเพลียเหนื่อยล้าเพียงไร ก็มิมีผู้ใดเอ่ยปากย่อท้อ หวังให้แม่หญิงฟื้นคืนมาเพียงเท่านั้น
ท่านปุโรหิตทำเพื่อแม่หญิงเพราะแม่หญิงคือบุตรีของท่านที่ท่านตามมาคอยช่วยเหลือ ความรักของบิดาที่มีต่อบุตรนั้นมิสามารถหาสิ่งใดมาเทียบได้ พ่อเพ็งนั้นตั้งสัจจาธิษฐานไว้จักติดตามช่วยเหลือนางไปทุกชาติ ส่วนพระยามิตรไมตรีรู้แก่ใจดี ท่านช่วยแม่หญิงจนสุดกำลังเยี่ยงนี้ เพราะรู้ว่าแม่หญิงวิลันดาคือหัวใจของขุนไกร หากแม้นนางมิฟื้นคืนมาพ่อขุนลูกท่านคงแทบจักขาดใจตามนางไป
คุณท้าวเฟื่องกังวลใจ นี่ก็ปาเข้าไปวันที่ห้าแล้ว แม่หญิงก็ยังมิฟื้นขึ้นมา อีกทั้งชายทั้งสามคนที่ร่วมกันในพิธีก็ดูเหมือนเรี่ยวแรงจักลดน้อยถอยลง โดยเฉพาะท่านเจ้าพระยามิตรไมตรีดูจักเหนื่อยกว่าเพื่อนเพราะอายุท่านมากแล้ว
“คุณท้าวเจ้าค่ะ”
“มีอันใด ใครมาอีกรึ”
“คุณท้าวศรีประจัน กับแม่หญิงดาวเรืองมาเจ้าค่ะ”
คุณท้าวศรีประจันพร้อมด้วยบุตรีเร่งขึ้นเรือนมาแล้วตรงมาหาคุณท้าวเฟื่องอย่างทันที
“พ่อเพ็งลูกเราอยู่นี่รึไม่” คุณท้าวศรีประจันร้อนใจนักที่บุตรชายหายไปหลายวัน เมื่อพบหน้าคุณท้าวเฟื่องก็เปิดฉากถามทันที
“อยู่ แต่มิอาจออกมาพบคุณท้าวได้ในเพลานี้ ขอคุณพี่ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”
“แล้วพ่อเพ็งลูกเรา มาอยู่เรือนน้องด้วยเหตุอันใด มิยอมกลับไปที่เรือน” สีหน้าคุณท้าวศรีประจันแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจนักกับคำตอบที่ได้รับ
“เยี่ยงนั้นตามเรามาเถิด”
ทั้งคุณท้าวศรีประจันและแม่หญิงดาวเรืองมองเข้าไปในห้องพระ ต้องประหลาดใจอย่างหนัก อีกทั้งชายสามคนที่กำลังสวดอันใดสักอย่างหนึ่ง ในนั้นมีพ่อเพ็งลูกชายนางอยู่ด้วย
“เกิดอันใดขึ้น”
คุณท้าวเฟื่องเล่าให้คุณท้าวศรีประจันฟัง เรื่องโรคประหลาดของแม่หญิง นางเล่าอาการทุกอย่างเพียง แต่มิได้บอกว่าแม่หญิงมาจากต่างภพ เพราะกลัวคุณท้าวศรีประจันจักหาว่านางวิปลาส
“แล้วนางจักฟื้นขึ้นมาได้รึ”
“มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้ พวกเราทุกคนพยายามจักช่วยจนสุดกำลัง”
“ตายเสียได้ก็ดี ข้าจักได้หมดเสี้ยนหนามมาตำใจ” แม่ดาวเรืองนึกสะใจ
“เจ้าว่าอันใดหนาแม่ดาวเรือง” คุณท้าวเฟื่องหันไปถามแม่ดาวเรือง
“มิมีอันใดเจ้าค่ะ ดาวเรืองพูดว่าอยากให้แม่หญิงวิลันดาฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ เจ้าค่ะ กลัวจักมิได้ใช้ฤกษ์แต่งที่ท่านแม่ไปหามา”
“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ