บุพเพข้ามภพ ตอนที่ 6 (ตอนนี้แม่หญิงวิลันดา ข้ามไปสู่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทราแล้วนะคะ)



แนะนำ ติได้นะคะ ไม่ค่อยแวะมาลงงานที่นี่เท่าไหร่ฝากเนื้อฝากตัวฝากแนะนำด้วยค่ะ


ตอนที่ 6

    วิลันดามองไปรอบ ๆ ตัวของหล่อน สระน้ำลักษณะเหมือนสระโบราณทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดไม่กว้างนัก มีน้ำอยู่จนเต็มสระ ใสจนเห็นพื้นดิน เบื้องหน้าของหล่อน มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วอาณาบริเวณ หล่อนค่อย ๆ เอามือละกิ่งไม้แหวกมันออกจนหล่อนเห็นสิ่งก่อสร้างที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า

    โบสถ์ปรกโพธิ์!  

       หล่อนมั่นใจว่าเป็นโบสถ์ปรกโพธิ์อย่างแน่นอน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือต้นโพธิ์ยังไม่ได้ครอบคลุมตัวโบสถ์ทั้งหลังไว้อย่างที่เคยเห็น เพียงแต่ยืนต้นอยู่รอบๆ บ้างก็ปกคลุมให้ร่มเงาแก่โบสถ์เพียงเท่านั้น

    อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้วิลันดาต้องแปลกประหลาดใจก็คือ อาณาบริเวณโดยรอบโบสถ์ เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เหมือนที่หล่อนเคยเห็น อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก ซึ่งจะอยู่ใกล้ ๆ กับโบสถ์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย รูปปั้นทหารซ้อมมวยที่หล่อนเคยไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยหลาย
ครั้งกลับไม่มีให้เห็น

“หายไปไหนหมด”

หล่อนตั้งคำถามกับตนเอง รู้สึกประหลาดใจและกลัวว่าตนเองกำลังจะเผชิญกับสิ่งที่ขุนไกรเคยประสบมาแล้ว

“แย่แล้วหรือว่าเราจะหลงยุคมา” หล่อนลำดับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้

“นั่นใคร”

เสียงหนึ่งดังขึ้น นุ่มทุ้มจนหล่อนเดาได้ว่าคงเป็นผู้ชาย แต่เสียงนั้นกลับไม่ใช่เสียงของขุนไกร เขาเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่และกำลังเดินตรงเข้ามาหาหล่อน

บุรุษหนึ่งรูปร่างสันทัดผิวขาวแลดูสะอาดสะอ้าน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำตาลกับเสื้อแขนยาวเนื้อดีสีเข้มกว่าโจงกระเบน ในมือถือดาบ ผมของเขาไว้ทรงเดียวกับที่หล่อนเจอขุนไกรครั้งแรก หรือเรียกอีกอย่างว่าทรงมหาดไทย ใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน เพราะวิลันดาเพิ่งจะพบกับเขาที่ตลาดน้ำอัมพวา

“คุณพล คุณนั่นเอง”

วิลันดายิ้มหน้าบาน อย่างน้อยหล่อนก็เจอคนรู้จัก คงจะขอความช่วยเหลือเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย เขามองหล่อนด้วยความสงสัยเพราะเครื่องแต่งกายประหลาด เขาเองเป็นคนพื้นเพแถวนี้ กลับไม่เคยพบหล่อนมาก่อน เขาเข้ามากราบหลวงพ่อในโบสถ์แห่งนี้  โดยได้รับบัญชาจากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ให้นำเสบียงมามอบแก่เหล่าทหารอาสาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ เสร็จภารกิจแล้วเขาจึงเดินดูบริเวณรอบ ๆ เมื่อเห็นแสงวาบ ๆ อยู่ใกล้สระน้ำศักด์สิทธิ์ เขาจึงเข้ามาดูและได้พบกับหล่อน

“เราคือจมื่นราชภักดี มิได้มีนามเยี่ยงที่แม่หญิงเรียกขานดอก”

“คุณพูดจาเหมือนกับขุนไกรเลย นี่อย่าบอกนะว่าที่นี่คือสมัยกรุงธนบุรี”

เขายิ้มเอ็นดูหล่อน พลางนึกแปลกใจกับกิริยาท่าทาง ตลอดจนการแต่งตัวของหล่อน

    
“แม่หญิงถามเราแปลกนัก ก็หลังจากกรุงศรีอยุธยาร้างไปแล้ว พระเจ้าตากท่านก็รวบรวมไพร่พลสร้างเมืองกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรขึ้นมาใหม่ แลเจ้าจักให้เป็นเมืองใดไปเสียได้”

วิลันดารู้สึกว่าหล่อนหายใจไม่ทั่วท้อง ราวกับจะเป็นลม ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดกับตนเอง เขาเรียกหล่อนว่าแม่หญิงด้วย บางอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น

“ว่าแต่เจ้ามาจากที่ใดรึ ไยแต่งตัวประหลาดนัก”

วิลันดาอึกอักตอบไม่ถูก เขาไม่ใช่คุณพลที่หล่อนรู้จักที่ตลาดน้ำอัมพวาแต่บังเอิญหน้าตาเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว  อีกทั้งหล่อนยังหลงมายุคของเขา ถ้าจะให้หล่อนอธิบายอีกสามวันก็คงจะไม่เข้าใจกันง่าย ๆ หล่อนจะทำยังไงดี หล่อนคิดจนคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน

“นางมาจากพระนคร นางเป็นน้องสาวของข้าเอง” เสียงหนึ่งมาพร้อมกับกายกำยำล่ำสันสมกับใบหน้าหล่อคม ดังมาจากด้านหลังของสระน้ำอีกฟาก เขาเดินตรงเข้ามาหาวิลันดา

“ขุนไกร” หล่อนดีใจเหลือเกินที่เห็นหน้าของเขาอย่างน้อยหล่อนก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่แบบไม่รู้จักใคร

จมื่นราชภักดี หันหลังกลับไปมองเสียงนั้น ก็พบชายรูปร่างสูงใหญ่คมเข้มแต่งตัวไม่เหมือนคนสมัยของเขา แต่ใบหน้านั้นคุ้นเหมือนจะเคยพบกันมาก่อน

“พวกท่านมาจากที่ใดกันรึ ดูจากผ้าที่ท่านนุ่งข้ามิเคยพบเห็นมาก่อน”

“ข้าชื่อขุนไกร ส่วนนางเป็นน้องสาวของข้า นางขอติดตามข้ามา เพราะได้ยินความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ ซึ่งประดิษฐานในโบสถ์ นางจักมาขอกราบไหว้สักครั้ง

“ใช่ค่ะ” วิลันดาช่วยสนับสนุนอีกแรง

“หลวงพ่อโบสถ์น้อย มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวละแวกนี้มิมีผู้ใดมิรู้จัก ชาวพระนครเยี่ยงพวกท่านก็ได้ยินคำร่ำลือด้วยกระนั้นรึ”

“ใช่แล้ว ส่วนที่พวกข้าแต่งกายเยี่ยงนี้ เนื่องจากการเดินทางมาครั้งนี้ เรามิได้ให้บ่าวไพร่ติดตามมาด้วย เพราะเป็นช่วงเกี่ยวข้าว บ่าวไพร่จักได้ทำงานอย่างเต็มกำลัง เพลานี้ข้าวปลาในพระนครขาดแคลนนัก ระหว่างการเดินทางห่อผ้าของพวกข้าถูกคนขโมยไป ดีเสียแต่ว่าได้พบชาวโปรตุเกส มีน้ำใจช่วยเราไว้ แลให้เสื้อผ้าของพวกเขาแก่เรา”

    วิลันดาอึ้งกับคำตอบของขุนไกร ไม่คิดเลยว่าคนหน้าตาซื่ออย่างขุนไกร เวลาเขาโกหก จะสามารถแต่งเรื่องขึ้นมาเป็นฉาก ๆ แต่ก็แอบดีใจที่เขามาช่วยหล่อนไว้ทัน ไม่เช่นนั้นหล่อนก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรกับจมื่นรูปหล่อคนนี้

    “ที่แท้ ก็เป็นเยี่ยงนี้เอง”

“ข้าเอง ก็รู้สึกคุ้นหน้าท่านนัก ราวจักเคยพบท่านที่ใดมาก่อน”

ขุนไกรเอ่ย และนึกขึ้นได้ว่าเขาพบชายคนนี้ ตอนที่พระยามิตรไมตรีพาไปเยี่ยมเพื่อนรัก พระยาสีหเดโชตอนที่ท่านป่วย

“ข้านึกได้แล้ว ที่แท้ท่านเป็นบุตรชายของพระยาสีหเดโช พี่ชายของแม่หญิงดาวเรืองใช่รึไม่”

“ใช่ ข้าก็จำได้ว่า ที่แท้ท่านก็คือขุนไกร คู่หมั้นแม่หญิงดาวเรืองน้องข้านี่เอง ”

ตอนนี้จมื่นราชภักดีคิดในใจทันทีว่า หากคราวหน้ากลับไปเยี่ยมพ่อที่พระนคร จะต้องให้ท่านไปทาบทาม บุตรสาวของพระยามิตรไมตรี มาเป็นคู่หมายให้เขาให้ได้ เพราะเขารู้สึกรักแรกพบกับน้องสาวของขุนไกรผู้นี้เสียแล้ว

“ถ้าเยี่ยงนั้น เพลานี้ท่านคงจักมิมีที่พัก ไปพักยังเรือนของข้าก่อนเถิด” จมื่นรูปงามชักชวนด้วยความเต็มใจ
    
“เกรงจักเป็นการลำบากท่าน ข้ากับน้องสาวกำลังจักเดินทางกลับพระนครกันในเพลานี้”

“หาต้องเกรงใจไม่ เมื่อเรากับท่านจักเกี่ยวดองกันอยู่ พูดไปก็ เปรียบเสมือนญาติมิตร”

เขาพยายามจะหาข้ออ้างชักชวน เพราะเขาอยากทำความรู้จักกับแม่หญิงน้องสาวของขุนไกรนัก


เอ่อ! ขุนไกรพยายามจะปัด แต่ดูท่าแล้วจมื่นราชภักดีคนนี้ ไม่ยอมง่าย ๆ สายตาของผู้ชายด้วยกัน เขาดูออกว่าพี่ชายของแม่หญิงดาวเรือง คงจะแอบชอบวิลันดาเข้าให้แล้ว ถ้าเขามาคนเดียว เขามีพวกพ้องที่นี่มากมาย หลังจากก่อนที่จะเกิดเรื่องหลงยุคไป เขาก็วางแผนว่า หลังจากทำงานที่ได้รับมอบหมายให้มาสำรวจแล้วจะไปพักบ้านเพื่อนซึ่งอยู่ในละแวกนี้ แต่คราวนี้มีหล่อนมาด้วย เขาคิดจะเอาหล่อนไปฝากไว้กับแม่ที่พระนครก่อน แต่การเดินทางกว่าจะถึง คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นวัน หล่อนเองก็เป็นหญิง อีกทั้งมีรูปงามเสียด้วย คงต้องยอมรับความช่วยเหลือของจมื่นผู้นี้ไปก่อน

    
“ถ้าเยี่ยงนั้นแล้ว ข้ากับน้องเห็นทีจักต้องรบกวนท่านจมื่นแล้วกระมัง”

“ข้าเต็มใจให้ท่านกับน้องไปพักที่เรือน หาได้ต้องเกรงใจ” จมื่นราชภักดีรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเผลอไปสบตากับน้องสาวขุนไกร

“แม่หญิง น้องท่านนางมีนามว่ากระไรรึ”

เขาเอ่ยถามขุนไกร แต่สายตากับจับจ้องไปที่แม่หญิงคนงาม        

“ฉันชื่อวิลันดาค่ะ เรียกชื่อเล่นดิฉันว่าวิก็ได้ค่ะ”

หล่อนยิ้มตอบเขาแทนขุนไกร โดยไม่ได้มองว่าขุนไกรมีแววตาไม่พอใจแวบหนึ่ง

“เจ้าว่ากระไรรึ” เขาทำหน้างง ๆ เพราะทั้งชื่อและการพูดจาของหล่อนช่างดูผิดหู

“เอ่อคือ…ท่านจมื่น น้องของข้านางมิใคร่จักสบาย กำลังจับไข้อยู่ อาจจักพูดจาอันใดผิดแผกไปบ้าง ขอท่านอย่าได้ถือสานาง”

ขุนไกรรีบแก้ต่างให้หล่อน วิลันดาได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ความรู้สึกนี้กระมังที่ตอนขุนไกรไปอยู่ในยุคของหล่อน ทำตัวไม่ถูก

“ว่าแต่ ไยข้ามิรู้มาก่อนเลยว่า ท่านมีน้องสาว แล้วชื่อก็คล้ายกับฝรั่งมังฆ้องชาติวิลันดา”

เขายังจำได้ว่าคราวที่แล้วไปงานหมั้นของขุนไกรกับแม่หญิงดาวเรือง น้องเขาก็ไม่เคยพบนางผู้งดงามนี้มาก่อน

“นางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับข้า หาใช่น้องสาวร่วมมารดากับข้าไม่ นางเพิ่งจักเดินทางมาจากพิษณุโลกมินานนัก ท่านจึงมิเคยได้พบกับนาง”

“อืม เป็นเยี่ยงนี้เอง” แม้จะรู้สึกแปลกกับพี่น้องคู่นี้ แต่เขาก็เก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัว มิได้เอ่ยซักถามต่อ

“ข้าว่า เรารีบเดินทางกลับเรือนข้าดีกว่า ก่อนจะย่ำค่ำ”

จมื่นราชภักดีนำสองพี่น้องที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น ไปพักที่เรือน โดยมีบ่าวไพร่เดินตามคอยระแวดระวังภัยให้
                             ++++++++++++++++++
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่