ทักทาย
สวัสดีค่ะ ไม่รู้ว่ามีคนอ่านหรือเปล่านะแต่ไหนๆลงแล้วก็ลงให้จบค่ะ ต้มกะทิสายบัวใส่ปลาทูนี้เวลาเขียนคิดถึงรสมือยายเลย
ยายของผู้เขียนทำอาหารโบราณ และขนมทีหายากได้อร่อยมากจริง (แต่ในวัยเด็กผู้เขียนมักคิดว่า ไอ้เจ้าต้มกะทิสายบัวนี้
มันเป็นขนมมากกว่ากับข้าวเพราะมันมีรสหวานเข้มคน ผู้เขียนเกิดในจังหวัดภาคกลางและบ้านมีสวนมะพร้าวเอง เลยกินแต่
แกงกะทิรสเข้มเต็มไปด้วยกะทิแท้ ไม่เหมือนที่เขาขายแกงถุงสมัยนี้ แต่ก็เข้าใจยุคข้าวยากหมากแพงพ่อค้าแม่ค้าคงจะให้ถึง
เครื่องเหมือนเราทำกินเองไม่ได้
เครดิตภาพประกอบ จากกูเก้ิล
ตอนที่ 8
ภายในโรงครัวเรือนจมื่นราชภักดี แม่หญิงวิลันดาแม้จะถูกกำชับหนักหนาว่าไม่ต้องทำงานอะไร เพราะหล่อนเป็นแขกของเรือนแห่งนี้ แต่ด้วยนิสัยอยู่เฉยไม่เป็นและหล่อนยึดคติที่ว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น แต่บ้านนี้ก็ไม่มีเด็ก เป็นอันว่าเช้านี้ หล่อนจึงลงครัวไปช่วยแม่แช่มแต่เช้า ท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่ ซึ่งชื่นชมความงามของแม่หญิงวิลันดาที่หาตัวจับยาก อีกทั้งที่หล่อนไม่เคยถือตัวกับบ่าวไพร่เลยสักครั้ง ถึงแม้การพูดจาของนางจะยังฟังดูแปลกหูไปบ้างก็ตาม
“แม่หญิงเจ้าคะ ขึ้นเรือนไปเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวท่านจมื่นมาเห็นเข้าพวกบ่าวจักถูกตำหนิเอาได้” นางแช่มบ่าววัยกลางคนรีบเชิญแม่หญิงให้รีบกลับขึ้นเรือนไป
“มิเป็นอันใดดอกป้าแช่ม ให้ฉันนั่ง ๆ นอน ๆ น่าเบื่อจักตายไป หากฉันจักขอเป็นแม่ครัวในวันนี้จักได้รึไม่” วิลันดานึกสนุกไม่อยากอุดอู้อยู่แต่บนเรือน ทั้งยังร้างเรื่องการทำกับข้าวเสียนานจึงอยากจะรื้อฟื้นฝีมือของตนเอง
“โธ่..แม่คุณ แม่ทูลหัวของบ่าว”
“วันนี้ป้าแช่มจักทำกับข้าวสักกี่อย่างรึ” หล่อนถามด้วยความอยากรู้ และนึกสนุกบางอย่างขึ้นมา
“3 อย่างเจ้าค่ะ มีแกงกะทิสายบัว ปลาตะเพียนต้มเค็ม แลก็อีกอย่างบ่าวยังคิดมิออกเลยเจ้าค่ะแม่หญิง”
“กระนั้น อย่างที่3 ฉันจักช่วยป้าทำเอง” หล่อนอาสาแข็งขัน
“แล้วแม่หญิงจักลงมือทำกับข้าวอันใดรึเจ้าค่ะ บ่าวจักได้ให้พวกนังสาวๆ มันช่วยเตรียมเครื่องเคราให้เจ้าค่ะ”
วิลันดามองไปรอบ ๆ ครัวและไปสะดุดตากับปลาหมึกตัวอวบอ้วน ดูสดน่าทานเสียเหลือเกิน เรือนของ จมื่นราชภักดีไม่เคยขาดแคลนเรื่องของกินเหมือนเรือนอื่น เพราะมักจะได้ของดี ๆ มากำนัลอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากความมีน้ำใจของเขาที่ชอบช่วยเหลือ อีกทั้งเงินทองก็มีมาก ไม่ได้ขาดแคลนเหมือนชาวบ้านทั่วไป
“ปลาหมึกนึ่งมะนาว”
“อาหารอันใดเจ้าค่ะ บ่าวมิเคยทำกินกันมาก่อน แค่ชื่อของมันบ่าวก็ยังมิเคยได้ยิน” บ่าวในโรงครัวมองหน้ากันไปมาอาหารชื่อแปลกทั้งยังไม่เคยเห็นกันมาก่อนยุคสมัยนี้ไม่มีใครเคยพูดชื่ออาหารประหลาดแบบนี้ให้ฟังมาก่อน
ก็วิลันดารู้ดีสมัยที่เธอกำลังนั่งสนทนากับบ่าวไพร่อยู่นี่คงยังไม่รู้จักอาหารชนิดนี้เลยอยากจะทำให้ลองชิม “มันมิได้ปรุงยากอันใดดอก ที่บ้านของฉันเขาชอบทำกินกัน” หล่อนจึงบอกให้บ่าวไพร่ไปเตรียมสิ่งของที่หล่อนต้องการ จากนั้นวิลันดาก็ลงมือทำท่ามกลางสายตาบ่าวไพร่ที่มองมาอย่างสนอกสนใจ
เสร็จแล้วปลาหมึกนึ่งมะนาวชามใหญ่ เพราะที่นี่ไม่มีอุปกรณ์จำพวกหม้อไฟเหมือนยุคของหล่อนจึงต้องใส่ชามกระเบื้อง แต่กลิ่นปลาหมึกนึ่งมะนาวก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วครัว พวกบ่าวไพร่ต่างแอบน้ำลายสอ อยากลองชิมรสมือแม่หญิงผู้นี้กันทุกคน
“ชามนี้ยกขึ้นไปให้ท่านจมื่น แลที่เหลือพวกเจ้าแบ่งกันกิน”
“ทำให้พวกบ่าวด้วยกระนั้นรึเจ้าคะ”
“มีอันใดรึ เรื่องแค่นั้นเอง”
“แม่หญิงนี่เก่งนักเจ้าค่ะ อาหารแบบนี้ เรามิเคยกินกันมาก่อน แต่บ่าวเชื่อว่าอร่อยเป็นแน่แท้เจ้าค่ะ” บ่าวสาวในครัวคนหนึ่งกล่าวชมด้วยความจริงใจ บ่าวไพร่ในครัวต่างปลาบปลื้มน้ำใจของแม่หญิง
+++++++++++++++++++
บัดนี้บนเรือนพ่อเพ็งกำลังมองหานางในดวงใจ แต่ยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
“ไปเชิญแม่หญิงมารับข้าวไปนังสาย” จมื่นราชภักดีบอกบ่าวคนหนึ่งให้ไปตามแม่หญิงที่ห้องเพราะคิดว่าหล่อนคงอยู่ในนั้น
“แม่หญิงมิได้อยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
“แล้วเยี่ยงนั้นแม่หญิงไปไหนเจ้ารู้รึไม่”
“แม่หญิงลงไปที่โรงครัวเจ้าค่ะ”
“อุวะ! ข้าบอกพวกเจ้าแล้วมิใช้รึว่า ห้ามแม่หญิงทำงานอันใด พวกเจ้าปล่อยให้นางไปทำงานได้เยี่ยงไรรึ” สีหน้าเขาแสดงความไม่พอใจ
“บ่าวบอกแม่หญิงแล้วเจ้าค่ะ แต่แม่หญิงยืนกรานจักช่วยทำครัวเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าจงไปตามนางมาให้ข้าได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ” บ่าวสาวรีบลงไปที่โรงครัวแจ้งแก่แม่หญิงว่า ท่านจมื่นเรียกพบ ++++++++++++++++++
“แม่หญิงจักต้องเหนื่อยไปไยเล่า พี่บอกเจ้าแล้วมิใช่รึว่ามิต้องทำงานอันใด หากขุนไกรรู้เข้าว่า ใช้น้องสาวเขาทำงานเยี่ยงนี้พี่จักถูกตำหนิเอาได้”
“ปรุงอาหารแค่นี้ มิได้เหนื่อยอันใดนักหนา น้องว่าพี่ขุนไกรคงมิว่าพี่เพ็งดอกเจ้าค่ะ”
“ดูซิเจ้าหน้าตามอมแมมหมดแล้ว” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกไว้ ยกขึ้นเช็ดคราบเขม่าจากเตาฟืนที่ดำเป็นปื้นที่แก้มของหล่อนอย่างเบามือ เจ้าของแก้มหน้าแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย
“เยี่ยงนั้นข้าขอไปอาบน้ำเสียก่อน จึงจักมารับข้าวกับพี่เพ็ง”
“ข้าจะรอเจ้ารีบไปเถิด” เขามองตามร่างบางนั้นไปอย่างนึกเอ็นดู เขาอยากตื่นมาตอนเช้าและได้เห็นหล่อนอยู่บนเรือนของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน เขาคงเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุด
หลังจากอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ววันนี้ วิลันดาเลือกสไบสีกลีบบัวกับผ้านุ่งสีเดียวกัน ซึ่งทำให้ผิวของหล่อนดูผุดผาดยิ่งนัก หล่อนส่องกระจกอดนึกขำตนเองไม่ได้ดูตัวเองแล้วเหมือนพวกเล่นละครย้อนยุค แต่นี่ไม่ใช่นี่ มันคือเรื่องจริง พลางมองกำไลที่ขุนไกรซื้อให้หล่อน ซึ่งไม่เคยถอดออกเลย เขาคนนั้นเป็นเหตุให้หล่อนมาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้เขาทำอะไรอยู่นี่ก็ครบวันที่ 3 ที่เขาฝากหล่อนไว้กับพี่ชายของคู่หมั้น คิดแล้วก็ให้อดสะท้อนใจไม่ได้ว่า ขุนไกรมีคู่หมั้นคู่หมายเสียแล้ว หล่อนคงต้องหาทางกลับบ้านให้เร็วที่สุด
“ลงมือกินข้าวเถิดแม่หญิง เจ้าคงเหนื่อยมาก ต้องลงไปช่วยในครัวแต่เช้า” “นวล เอ็งไปยกสำรับมาให้ข้ากับแม่หญิงได้แล้วไป” จมื่นราชภักดีหันไปสั่งบ่าวสาววัย 20 ปีที่กำลังนั่งกรองมาลัยอยู่
“เจ้าค่ะนายท่าน” บ่าวสาวรีบลงเรือนไปอย่างรวดเร็วและกลับมาพร้อมสำรับในมือ
“นี่รึ กับข้าวที่แม่หญิงลงไปปรุงด้วยตนเอง” กลิ่นของปลาหมึกนึ่งมะนาวส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ขอพี่ลองชิมสักหน่อยเถิด” จมื่นราชภักดีตักปลาหมึกนึ่งมะนาวชิ้นใหญ่ส่งเข้าปาก
“เป็นเยี่ยงไรรึเจ้าคะ พี่เพ็ง”
จมื่นราชภักดีแกล้งทำหน้าเหยเกเหมือนกับอาหารนั้นมีรสแย่เต็มที
“คงมิอร่อยใช่รึไม่เจ้าค่ะ” วิลันดาหน้าถอดสี คิดว่าอาหารที่เธอตั้งใจปรุง เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เขาให้ที่พักพิงแก่หล่อนคงไม่ถูกปากเจ้าของเรือน
“พี่ล้อเจ้าเล่น อาหารนี่รสเลิศหนักหนา น้ำของมันก็รสชาติเปรี้ยวหวานเผ็ดเค็มครบรสไปเสียหมด ถูกปากพี่เหลือเกิน วันหลังพี่อยากให้เจ้าทำให้พี่กินอีกจักได้รึไม่” เขาส่งตาหวานมาให้หล่อน
วิลันดาเขินอาย ไม่ใช่เพราะสายตาของเขา แต่ไม่คิดว่าฝีมือของหล่อนจะอร่อยขนาดที่เขาชมแต่ก็อดเขินกับคำเยินยอนั้นไม่ได้
“หากพี่เพ็งชอบวันหลังน้องจักทำให้กินอีกเจ้าค่ะ”
“วันนี้แล้วที่พี่ขุนไกรแจ้งไว้ว่าจักกลับมารับน้องไปกรุงธนบุรี ”
พ่อเพ็งรู้สึกใจหาย เขาไม่อยากให้เธอต้องจากที่นี่ไปเลย เขาตั้งใจแล้วว่าหากเสร็จงานคราวนี้ จะเร่งให้พระยาสิงหเดโช ผู้เป็นพ่อไปสู่ขอนางมาเป็นศรีสะใภ้ให้จงได้ ยังไม่ทันไร เสียงที่จมื่นราชภักดียังไม่อยากให้กลับมา ก็ส่งเสียงขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัว
ขุนไกรเดินขึ้นมาบนเรือน เขารีบกลับมา เพราะเป็นห่วงวิลันดาใจแทบขาด กลัวหล่อนจะน้อยใจหาว่าเขาไม่สนใจหล่อน
“ข้าจักขอรับข้าวด้วยสักมื้อจักได้รึไม่” ขุนไกรส่งเสียงร้องทักคนทั้งคู่ซึ่งกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่
พี่ขุนไกร!
วิลันดารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก หล่อนอยากจะวิ่งไปหาเขาหล่อนคิดถึงเขาทุกวันและกลัวเขาจะทิ้งหล่อน ไม่มารับตามสัญญา หล่อนสังเกตว่าเขาหายไปแค่ 3 วันแต่ผิวกลับดูคล้ำลงเหมือนโดนแดดจัด
“เชิญท่านขุนไกรนั่งกินข้าวด้วยกันเถิดหนา นวลเอ็งรีบไปเอาถ้วยชามมาตักข้าวให้ขุนไกร”
“ข้ายังมิหิวดอก พูดหยอกพวกท่านเพียงเท่านั้น”
“มิได้ กินข้าวเสียก่อน มื้อนี้ น้องท่านเป็นผู้ปรุงสำรับด้วยมือนางเองรสชาติอร่อยอย่าบอกใครเชียว”
ขุนไกรรู้สึกเจ็บในใจแปลบ ๆ นี่แหละหนาเขาว่า สามวันจากนารีเป็นอื่นนี่คงจะชอบจมื่นราชภักดีรูปงามคนนี้เข้าแล้ว ถึงได้ยอมลงมือทำครัวด้วยตนเอง ขุนไกรนึกหมั่นไส้หญิงสาว จึงไม่หันไปยิ้มให้หล่อน
“ไปฝึกทหารมาเป็นเยี่ยงไรบ้างน้องพี่” ผู้เป็นเจ้าของเรือนเอ่ยถาม
“ตอนนี้ก็ยังมิเข้าที่เข้าทางนักดอก ทหารกล้าที่เข้ารับการฝึกใหม่ ก็ล้วนมาจากหลายที่ในคนหมู่มากย่อมเกิดปัญหาขึ้นบ้าง”
“พี่ขุนไกรคงเหนื่อยมากใช่รึไม่เจ้าคะ รับน้ำฝนเย็น ๆ พี่จักได้ชื่นใจ” วิลันดาส่งขันน้ำฝนให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ
“เหนื่อยรึ...เหนื่อยกายมิเท่าใดดอก แต่เหนื่อยใจนั้นหนักกว่าหลายเท่า” เขารับขันน้ำฝนจากมือของหล่อน แต่มิได้กินกลับวางมันลงไว้เบื้องหน้าพูดประชดหล่อนเพราะเกิดอาการหึงหวง เมื่อขึ้นเรือนมา เห็นคนทั้งคู่ดูสนิทสนมกันราวคู่รัก แต่วิลันดากลับไม่รู้ตัวว่าเขากำลังหึงหวงหล่อนอยู่
หลังจากกินอาหารเสร็จทั้งสามคนจึงได้สนทนาเรื่องต่าง ๆ กันก่อนที่ขุนไกรจะเอ่ยประโยคซึ่งจมื่นราชภักดีกำลังกลัว เขาไม่อยากจะได้ยินเร็วเกินไปนัก
“วันนี้ ข้าจักรับนางกลับไปกรุงธนบุรี ส่งยังเรือนพ่อข้าเสียที นางจักได้ไม่ยุ่งวุ่นวายกับท่านอีก”
เขาคิดในใจ ถ้าปล่อยไว้ที่นี่นาน เกรงจะไม่ปลอดภัยจากสายตาของพ่อหนุ่มรูปงามนามว่าพ่อเพ็งเสียแล้ว หล่อนอาจจะใจอ่อนให้เจ้าของเรือนหนุ่มสักวัน เขาควรกันไว้ก่อนแก้ ถึงในใจจะคิดว่าตนเองเห็นแก่ตัวก็ตาม วิลันดาค้อนใส่ทันที นี่เขาหาว่าหล่อนเป็นตัวยุ่งเชียวหรือ
“เอ่อ..หากท่านยังมิเสร็จงาน จักฝากนางไว้ที่เรือนพี่ก่อนก็ได้ พี่เต็มใจอย่างยิ่ง หาต้องเร่งรีบเดินทางไม่” เจ้าของเรือนพยายามยกหาเหตุผลมากล่าวอ้าง
“ข้ารบกวนท่านจมื่นมาหลายเพลาแล้ว ข้าเองก็ลาราชการมา สามวันคงมีเวลาพานางกลับกรุงธนบุรี” ขุนไกรยืนกรานจะกลับให้ได้ท่าเดียว
“ถ้าเยี่ยงนั้นท่านจักเดินทางกลับไปเมื่อใด” เขาอยากรู้ว่ายังมีเวลาใกล้ชิดได้เห็นหน้าแม่หญิงวิลันดาอีกนานสักเท่าไหร่ ความสุขที่ผ่านมารวดเร็วและกำลังจะผ่านไป
“เพลานี้ขอรับ” ขุนไกรตอบ
พ่อเพ็งใจหายวาบความสุขของเขากำลังจักถูกพรากไป
“แลเจ้าจักพานางกลับไปเยี่ยงไรกัน”
“ข้าว่าจักจ้างเกวียนไปส่งที่กรุงธนบุรี” มันเป็นวิธีที่ทุ่นแรงเดินและสะดวกมากที่สุดในยามนั้น
“มิต้องว่าจ้างดอก ที่เรือนข้ามีเกวียนจักให้ไปส่งท่านกับนางเอง นี่หากว่าวันนี้มิได้รับมอบหมายจากพระองค์ท่าน ข้าคงจักตามไปส่งนางด้วยแล้ว”
“มิต้องลำบากดอก พี่มีงานก็จงไปทำเถิดหนา ข้าพาน้องข้ากลับเมืองหลวงเองได้เท่านี้ก็รบกวนท่านมามากแล้ว”
“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ตามใจท่าน” จมื่นราชภักดีรู้สึกใจหายยิ่งนักที่วิลันดาจะต้องกลับไปกรุงธนบุรี แต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมขุนไกรถึงได้หวงญาติผู้น้องคนนี้หนักหนา
“แม่หญิง ข้าเสร็จธุระเมื่อใด จักรีบไปเยี่ยมเจ้าที่กรุงธน” เขาสั่งเสียนาง ใจนั้นไม่อยากให้นางไป แต่เขายังไม่มีสิทธิจะทำแบบนั้นได้
“น้องขอบคุณที่พี่เพ็งที่ดูแลน้องเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” หล่อนยิ้มหวานให้กับเขาซึ่งมีสายตาอีกคู่ที่นั่งอยู่ด้วยกลับสื่อแววตาและสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่แล้วก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติเช่นเดิม
“เจ้าจงไปเตรียมสัมภาระเถิดแม่หญิง เราจักได้เร่งเดินทางกัน” ดูเหมือนเขาจะเร่งรีบให้หล่อนเดินทางมาก ขุนไกรพูดแกมสั่งวิลันดาเขาไม่อยากให้หล่อนอยู่ที่นี่ต่อ เพราะกลัวว่าหล่อนจะเผลอใจไปกับจมื่นรูปงาม
++++++++++++++
บุพเพข้ามภพ ตอนที่ 8 (พี่ขุนเขาเริ่มขุ่นๆแล้วนะแม่หญิงเจ้าขา)
ทักทาย
สวัสดีค่ะ ไม่รู้ว่ามีคนอ่านหรือเปล่านะแต่ไหนๆลงแล้วก็ลงให้จบค่ะ ต้มกะทิสายบัวใส่ปลาทูนี้เวลาเขียนคิดถึงรสมือยายเลย
ยายของผู้เขียนทำอาหารโบราณ และขนมทีหายากได้อร่อยมากจริง (แต่ในวัยเด็กผู้เขียนมักคิดว่า ไอ้เจ้าต้มกะทิสายบัวนี้
มันเป็นขนมมากกว่ากับข้าวเพราะมันมีรสหวานเข้มคน ผู้เขียนเกิดในจังหวัดภาคกลางและบ้านมีสวนมะพร้าวเอง เลยกินแต่
แกงกะทิรสเข้มเต็มไปด้วยกะทิแท้ ไม่เหมือนที่เขาขายแกงถุงสมัยนี้ แต่ก็เข้าใจยุคข้าวยากหมากแพงพ่อค้าแม่ค้าคงจะให้ถึง
เครื่องเหมือนเราทำกินเองไม่ได้
เครดิตภาพประกอบ จากกูเก้ิล
ตอนที่ 8
ภายในโรงครัวเรือนจมื่นราชภักดี แม่หญิงวิลันดาแม้จะถูกกำชับหนักหนาว่าไม่ต้องทำงานอะไร เพราะหล่อนเป็นแขกของเรือนแห่งนี้ แต่ด้วยนิสัยอยู่เฉยไม่เป็นและหล่อนยึดคติที่ว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น แต่บ้านนี้ก็ไม่มีเด็ก เป็นอันว่าเช้านี้ หล่อนจึงลงครัวไปช่วยแม่แช่มแต่เช้า ท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่ ซึ่งชื่นชมความงามของแม่หญิงวิลันดาที่หาตัวจับยาก อีกทั้งที่หล่อนไม่เคยถือตัวกับบ่าวไพร่เลยสักครั้ง ถึงแม้การพูดจาของนางจะยังฟังดูแปลกหูไปบ้างก็ตาม
“แม่หญิงเจ้าคะ ขึ้นเรือนไปเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวท่านจมื่นมาเห็นเข้าพวกบ่าวจักถูกตำหนิเอาได้” นางแช่มบ่าววัยกลางคนรีบเชิญแม่หญิงให้รีบกลับขึ้นเรือนไป
“มิเป็นอันใดดอกป้าแช่ม ให้ฉันนั่ง ๆ นอน ๆ น่าเบื่อจักตายไป หากฉันจักขอเป็นแม่ครัวในวันนี้จักได้รึไม่” วิลันดานึกสนุกไม่อยากอุดอู้อยู่แต่บนเรือน ทั้งยังร้างเรื่องการทำกับข้าวเสียนานจึงอยากจะรื้อฟื้นฝีมือของตนเอง
“โธ่..แม่คุณ แม่ทูลหัวของบ่าว”
“วันนี้ป้าแช่มจักทำกับข้าวสักกี่อย่างรึ” หล่อนถามด้วยความอยากรู้ และนึกสนุกบางอย่างขึ้นมา
“3 อย่างเจ้าค่ะ มีแกงกะทิสายบัว ปลาตะเพียนต้มเค็ม แลก็อีกอย่างบ่าวยังคิดมิออกเลยเจ้าค่ะแม่หญิง”
“กระนั้น อย่างที่3 ฉันจักช่วยป้าทำเอง” หล่อนอาสาแข็งขัน
“แล้วแม่หญิงจักลงมือทำกับข้าวอันใดรึเจ้าค่ะ บ่าวจักได้ให้พวกนังสาวๆ มันช่วยเตรียมเครื่องเคราให้เจ้าค่ะ”
วิลันดามองไปรอบ ๆ ครัวและไปสะดุดตากับปลาหมึกตัวอวบอ้วน ดูสดน่าทานเสียเหลือเกิน เรือนของ จมื่นราชภักดีไม่เคยขาดแคลนเรื่องของกินเหมือนเรือนอื่น เพราะมักจะได้ของดี ๆ มากำนัลอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากความมีน้ำใจของเขาที่ชอบช่วยเหลือ อีกทั้งเงินทองก็มีมาก ไม่ได้ขาดแคลนเหมือนชาวบ้านทั่วไป
“ปลาหมึกนึ่งมะนาว”
“อาหารอันใดเจ้าค่ะ บ่าวมิเคยทำกินกันมาก่อน แค่ชื่อของมันบ่าวก็ยังมิเคยได้ยิน” บ่าวในโรงครัวมองหน้ากันไปมาอาหารชื่อแปลกทั้งยังไม่เคยเห็นกันมาก่อนยุคสมัยนี้ไม่มีใครเคยพูดชื่ออาหารประหลาดแบบนี้ให้ฟังมาก่อน
ก็วิลันดารู้ดีสมัยที่เธอกำลังนั่งสนทนากับบ่าวไพร่อยู่นี่คงยังไม่รู้จักอาหารชนิดนี้เลยอยากจะทำให้ลองชิม “มันมิได้ปรุงยากอันใดดอก ที่บ้านของฉันเขาชอบทำกินกัน” หล่อนจึงบอกให้บ่าวไพร่ไปเตรียมสิ่งของที่หล่อนต้องการ จากนั้นวิลันดาก็ลงมือทำท่ามกลางสายตาบ่าวไพร่ที่มองมาอย่างสนอกสนใจ
เสร็จแล้วปลาหมึกนึ่งมะนาวชามใหญ่ เพราะที่นี่ไม่มีอุปกรณ์จำพวกหม้อไฟเหมือนยุคของหล่อนจึงต้องใส่ชามกระเบื้อง แต่กลิ่นปลาหมึกนึ่งมะนาวก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วครัว พวกบ่าวไพร่ต่างแอบน้ำลายสอ อยากลองชิมรสมือแม่หญิงผู้นี้กันทุกคน
“ชามนี้ยกขึ้นไปให้ท่านจมื่น แลที่เหลือพวกเจ้าแบ่งกันกิน”
“ทำให้พวกบ่าวด้วยกระนั้นรึเจ้าคะ”
“มีอันใดรึ เรื่องแค่นั้นเอง”
“แม่หญิงนี่เก่งนักเจ้าค่ะ อาหารแบบนี้ เรามิเคยกินกันมาก่อน แต่บ่าวเชื่อว่าอร่อยเป็นแน่แท้เจ้าค่ะ” บ่าวสาวในครัวคนหนึ่งกล่าวชมด้วยความจริงใจ บ่าวไพร่ในครัวต่างปลาบปลื้มน้ำใจของแม่หญิง
+++++++++++++++++++
บัดนี้บนเรือนพ่อเพ็งกำลังมองหานางในดวงใจ แต่ยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
“ไปเชิญแม่หญิงมารับข้าวไปนังสาย” จมื่นราชภักดีบอกบ่าวคนหนึ่งให้ไปตามแม่หญิงที่ห้องเพราะคิดว่าหล่อนคงอยู่ในนั้น
“แม่หญิงมิได้อยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
“แล้วเยี่ยงนั้นแม่หญิงไปไหนเจ้ารู้รึไม่”
“แม่หญิงลงไปที่โรงครัวเจ้าค่ะ”
“อุวะ! ข้าบอกพวกเจ้าแล้วมิใช้รึว่า ห้ามแม่หญิงทำงานอันใด พวกเจ้าปล่อยให้นางไปทำงานได้เยี่ยงไรรึ” สีหน้าเขาแสดงความไม่พอใจ
“บ่าวบอกแม่หญิงแล้วเจ้าค่ะ แต่แม่หญิงยืนกรานจักช่วยทำครัวเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าจงไปตามนางมาให้ข้าได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ” บ่าวสาวรีบลงไปที่โรงครัวแจ้งแก่แม่หญิงว่า ท่านจมื่นเรียกพบ ++++++++++++++++++
“แม่หญิงจักต้องเหนื่อยไปไยเล่า พี่บอกเจ้าแล้วมิใช่รึว่ามิต้องทำงานอันใด หากขุนไกรรู้เข้าว่า ใช้น้องสาวเขาทำงานเยี่ยงนี้พี่จักถูกตำหนิเอาได้”
“ปรุงอาหารแค่นี้ มิได้เหนื่อยอันใดนักหนา น้องว่าพี่ขุนไกรคงมิว่าพี่เพ็งดอกเจ้าค่ะ”
“ดูซิเจ้าหน้าตามอมแมมหมดแล้ว” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกไว้ ยกขึ้นเช็ดคราบเขม่าจากเตาฟืนที่ดำเป็นปื้นที่แก้มของหล่อนอย่างเบามือ เจ้าของแก้มหน้าแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย
“เยี่ยงนั้นข้าขอไปอาบน้ำเสียก่อน จึงจักมารับข้าวกับพี่เพ็ง”
“ข้าจะรอเจ้ารีบไปเถิด” เขามองตามร่างบางนั้นไปอย่างนึกเอ็นดู เขาอยากตื่นมาตอนเช้าและได้เห็นหล่อนอยู่บนเรือนของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน เขาคงเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุด
หลังจากอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ววันนี้ วิลันดาเลือกสไบสีกลีบบัวกับผ้านุ่งสีเดียวกัน ซึ่งทำให้ผิวของหล่อนดูผุดผาดยิ่งนัก หล่อนส่องกระจกอดนึกขำตนเองไม่ได้ดูตัวเองแล้วเหมือนพวกเล่นละครย้อนยุค แต่นี่ไม่ใช่นี่ มันคือเรื่องจริง พลางมองกำไลที่ขุนไกรซื้อให้หล่อน ซึ่งไม่เคยถอดออกเลย เขาคนนั้นเป็นเหตุให้หล่อนมาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้เขาทำอะไรอยู่นี่ก็ครบวันที่ 3 ที่เขาฝากหล่อนไว้กับพี่ชายของคู่หมั้น คิดแล้วก็ให้อดสะท้อนใจไม่ได้ว่า ขุนไกรมีคู่หมั้นคู่หมายเสียแล้ว หล่อนคงต้องหาทางกลับบ้านให้เร็วที่สุด
“ลงมือกินข้าวเถิดแม่หญิง เจ้าคงเหนื่อยมาก ต้องลงไปช่วยในครัวแต่เช้า” “นวล เอ็งไปยกสำรับมาให้ข้ากับแม่หญิงได้แล้วไป” จมื่นราชภักดีหันไปสั่งบ่าวสาววัย 20 ปีที่กำลังนั่งกรองมาลัยอยู่
“เจ้าค่ะนายท่าน” บ่าวสาวรีบลงเรือนไปอย่างรวดเร็วและกลับมาพร้อมสำรับในมือ
“นี่รึ กับข้าวที่แม่หญิงลงไปปรุงด้วยตนเอง” กลิ่นของปลาหมึกนึ่งมะนาวส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ขอพี่ลองชิมสักหน่อยเถิด” จมื่นราชภักดีตักปลาหมึกนึ่งมะนาวชิ้นใหญ่ส่งเข้าปาก
“เป็นเยี่ยงไรรึเจ้าคะ พี่เพ็ง”
จมื่นราชภักดีแกล้งทำหน้าเหยเกเหมือนกับอาหารนั้นมีรสแย่เต็มที
“คงมิอร่อยใช่รึไม่เจ้าค่ะ” วิลันดาหน้าถอดสี คิดว่าอาหารที่เธอตั้งใจปรุง เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เขาให้ที่พักพิงแก่หล่อนคงไม่ถูกปากเจ้าของเรือน
“พี่ล้อเจ้าเล่น อาหารนี่รสเลิศหนักหนา น้ำของมันก็รสชาติเปรี้ยวหวานเผ็ดเค็มครบรสไปเสียหมด ถูกปากพี่เหลือเกิน วันหลังพี่อยากให้เจ้าทำให้พี่กินอีกจักได้รึไม่” เขาส่งตาหวานมาให้หล่อน
วิลันดาเขินอาย ไม่ใช่เพราะสายตาของเขา แต่ไม่คิดว่าฝีมือของหล่อนจะอร่อยขนาดที่เขาชมแต่ก็อดเขินกับคำเยินยอนั้นไม่ได้
“หากพี่เพ็งชอบวันหลังน้องจักทำให้กินอีกเจ้าค่ะ”
“วันนี้แล้วที่พี่ขุนไกรแจ้งไว้ว่าจักกลับมารับน้องไปกรุงธนบุรี ”
พ่อเพ็งรู้สึกใจหาย เขาไม่อยากให้เธอต้องจากที่นี่ไปเลย เขาตั้งใจแล้วว่าหากเสร็จงานคราวนี้ จะเร่งให้พระยาสิงหเดโช ผู้เป็นพ่อไปสู่ขอนางมาเป็นศรีสะใภ้ให้จงได้ ยังไม่ทันไร เสียงที่จมื่นราชภักดียังไม่อยากให้กลับมา ก็ส่งเสียงขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัว
ขุนไกรเดินขึ้นมาบนเรือน เขารีบกลับมา เพราะเป็นห่วงวิลันดาใจแทบขาด กลัวหล่อนจะน้อยใจหาว่าเขาไม่สนใจหล่อน
“ข้าจักขอรับข้าวด้วยสักมื้อจักได้รึไม่” ขุนไกรส่งเสียงร้องทักคนทั้งคู่ซึ่งกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่
พี่ขุนไกร!
วิลันดารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก หล่อนอยากจะวิ่งไปหาเขาหล่อนคิดถึงเขาทุกวันและกลัวเขาจะทิ้งหล่อน ไม่มารับตามสัญญา หล่อนสังเกตว่าเขาหายไปแค่ 3 วันแต่ผิวกลับดูคล้ำลงเหมือนโดนแดดจัด
“เชิญท่านขุนไกรนั่งกินข้าวด้วยกันเถิดหนา นวลเอ็งรีบไปเอาถ้วยชามมาตักข้าวให้ขุนไกร”
“ข้ายังมิหิวดอก พูดหยอกพวกท่านเพียงเท่านั้น”
“มิได้ กินข้าวเสียก่อน มื้อนี้ น้องท่านเป็นผู้ปรุงสำรับด้วยมือนางเองรสชาติอร่อยอย่าบอกใครเชียว”
ขุนไกรรู้สึกเจ็บในใจแปลบ ๆ นี่แหละหนาเขาว่า สามวันจากนารีเป็นอื่นนี่คงจะชอบจมื่นราชภักดีรูปงามคนนี้เข้าแล้ว ถึงได้ยอมลงมือทำครัวด้วยตนเอง ขุนไกรนึกหมั่นไส้หญิงสาว จึงไม่หันไปยิ้มให้หล่อน
“ไปฝึกทหารมาเป็นเยี่ยงไรบ้างน้องพี่” ผู้เป็นเจ้าของเรือนเอ่ยถาม
“ตอนนี้ก็ยังมิเข้าที่เข้าทางนักดอก ทหารกล้าที่เข้ารับการฝึกใหม่ ก็ล้วนมาจากหลายที่ในคนหมู่มากย่อมเกิดปัญหาขึ้นบ้าง”
“พี่ขุนไกรคงเหนื่อยมากใช่รึไม่เจ้าคะ รับน้ำฝนเย็น ๆ พี่จักได้ชื่นใจ” วิลันดาส่งขันน้ำฝนให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ
“เหนื่อยรึ...เหนื่อยกายมิเท่าใดดอก แต่เหนื่อยใจนั้นหนักกว่าหลายเท่า” เขารับขันน้ำฝนจากมือของหล่อน แต่มิได้กินกลับวางมันลงไว้เบื้องหน้าพูดประชดหล่อนเพราะเกิดอาการหึงหวง เมื่อขึ้นเรือนมา เห็นคนทั้งคู่ดูสนิทสนมกันราวคู่รัก แต่วิลันดากลับไม่รู้ตัวว่าเขากำลังหึงหวงหล่อนอยู่
หลังจากกินอาหารเสร็จทั้งสามคนจึงได้สนทนาเรื่องต่าง ๆ กันก่อนที่ขุนไกรจะเอ่ยประโยคซึ่งจมื่นราชภักดีกำลังกลัว เขาไม่อยากจะได้ยินเร็วเกินไปนัก
“วันนี้ ข้าจักรับนางกลับไปกรุงธนบุรี ส่งยังเรือนพ่อข้าเสียที นางจักได้ไม่ยุ่งวุ่นวายกับท่านอีก”
เขาคิดในใจ ถ้าปล่อยไว้ที่นี่นาน เกรงจะไม่ปลอดภัยจากสายตาของพ่อหนุ่มรูปงามนามว่าพ่อเพ็งเสียแล้ว หล่อนอาจจะใจอ่อนให้เจ้าของเรือนหนุ่มสักวัน เขาควรกันไว้ก่อนแก้ ถึงในใจจะคิดว่าตนเองเห็นแก่ตัวก็ตาม วิลันดาค้อนใส่ทันที นี่เขาหาว่าหล่อนเป็นตัวยุ่งเชียวหรือ
“เอ่อ..หากท่านยังมิเสร็จงาน จักฝากนางไว้ที่เรือนพี่ก่อนก็ได้ พี่เต็มใจอย่างยิ่ง หาต้องเร่งรีบเดินทางไม่” เจ้าของเรือนพยายามยกหาเหตุผลมากล่าวอ้าง
“ข้ารบกวนท่านจมื่นมาหลายเพลาแล้ว ข้าเองก็ลาราชการมา สามวันคงมีเวลาพานางกลับกรุงธนบุรี” ขุนไกรยืนกรานจะกลับให้ได้ท่าเดียว
“ถ้าเยี่ยงนั้นท่านจักเดินทางกลับไปเมื่อใด” เขาอยากรู้ว่ายังมีเวลาใกล้ชิดได้เห็นหน้าแม่หญิงวิลันดาอีกนานสักเท่าไหร่ ความสุขที่ผ่านมารวดเร็วและกำลังจะผ่านไป
“เพลานี้ขอรับ” ขุนไกรตอบ
พ่อเพ็งใจหายวาบความสุขของเขากำลังจักถูกพรากไป
“แลเจ้าจักพานางกลับไปเยี่ยงไรกัน”
“ข้าว่าจักจ้างเกวียนไปส่งที่กรุงธนบุรี” มันเป็นวิธีที่ทุ่นแรงเดินและสะดวกมากที่สุดในยามนั้น
“มิต้องว่าจ้างดอก ที่เรือนข้ามีเกวียนจักให้ไปส่งท่านกับนางเอง นี่หากว่าวันนี้มิได้รับมอบหมายจากพระองค์ท่าน ข้าคงจักตามไปส่งนางด้วยแล้ว”
“มิต้องลำบากดอก พี่มีงานก็จงไปทำเถิดหนา ข้าพาน้องข้ากลับเมืองหลวงเองได้เท่านี้ก็รบกวนท่านมามากแล้ว”
“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ตามใจท่าน” จมื่นราชภักดีรู้สึกใจหายยิ่งนักที่วิลันดาจะต้องกลับไปกรุงธนบุรี แต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมขุนไกรถึงได้หวงญาติผู้น้องคนนี้หนักหนา
“แม่หญิง ข้าเสร็จธุระเมื่อใด จักรีบไปเยี่ยมเจ้าที่กรุงธน” เขาสั่งเสียนาง ใจนั้นไม่อยากให้นางไป แต่เขายังไม่มีสิทธิจะทำแบบนั้นได้
“น้องขอบคุณที่พี่เพ็งที่ดูแลน้องเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” หล่อนยิ้มหวานให้กับเขาซึ่งมีสายตาอีกคู่ที่นั่งอยู่ด้วยกลับสื่อแววตาและสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่แล้วก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติเช่นเดิม
“เจ้าจงไปเตรียมสัมภาระเถิดแม่หญิง เราจักได้เร่งเดินทางกัน” ดูเหมือนเขาจะเร่งรีบให้หล่อนเดินทางมาก ขุนไกรพูดแกมสั่งวิลันดาเขาไม่อยากให้หล่อนอยู่ที่นี่ต่อ เพราะกลัวว่าหล่อนจะเผลอใจไปกับจมื่นรูปงาม
++++++++++++++