ตอนที่ 17
“ปล่อยฉันนะ คุณมันบ้าที่สุดผู้ชายก็เหมือนกันหมด ไม่ว่ายุคไหนก็ชอบเอาเปรียบผู้หญิงวันยังค่ำ ฉันเคยคิดว่าคุณจะไม่เป็นเหมือนคนอื่นเสียอีก”
วิลันดาสะอื้นไห้ น่าสงสารยิ่งนัก ขุนไกรเห็นเพียงน้ำตาของหล่อน ใจเขาก็อ่อนลงไม่กล้าหักหาญน้ำใจหล่อน ทั้งที่ในตอนแรก คิดจะทำตามใจตัวเอง แม้กายแกร่งจะปวดหนึบ แสดงให้รู้ถึงความต้องการที่มีมาก จนแทบจะทะลักออกมาแต่เขาก็ตัดสินใจละสายตาออกจากร่างงามนั้น
ขุนไกรเงยหน้าขึ้นมาจากคอระหง จ้องมองใบหน้าของวิลันดาซึ่งดูเหมือนจะมีน้ำใส ๆ เอ่อออกมาไหลอาบสองแก้มอิ่มสีชมพูมิขาดสายอย่างน่าสงสาร นี่ทหารกล้าอย่างเขา คิดจะทำตัวเลวทรามต่ำช้า ถึงขนาดจะข่มขืนผู้หญิงเชียวหรือ
ขุนไกรจึงค่อย ๆ คลายมือที่โอบกอดหล่อนเอาไว้ เปลี่ยนไปเช็ดคราบน้ำตาของหล่อนอย่างเบามือที่สุด
“แม่หญิง พี่ขอโทษหนา แม่หญิงอย่าร้องอีกเลย พี่มันเลวนัก”
“อย่ามาถูกตัวฉัน”
วิลันดาปัดมือขุนไกรออกอย่างไม่ไยดี เขาคงคิดว่าแค่ขอโทษคำเดียวมันจะทำให้หล่อนหายโกรธหรือย่างไร
ขุนไกรจึงต้องยอมผละออกจากร่างงามอย่างนึกเสียดาย วิลันดาก้มมองตัวเองแล้วก็ตกใจ หล่อนรู้สึกอายจนหน้าแดงซ่าน รีบดึงสไบและผ้านุ่งขึ้นมาจัดแจงให้เข้าที่เข้าทาง โดยขุนไกรนั้นต้องทำทีมองไปในทางอื่นอย่างแสนเสียดาย
“ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว”
หล่อนไล่เขา ทั้งที่น้ำตาก็ยังไหลใบหน้ายังแดงเพราะความอายที่ตนเองเปลื้องผ้าอยู่หน้าผู้ชายเป็นครั้งแรก
“มิต้องไล่พี่ดอก แม่หญิง เยี่ยงไรแล้ว ย่ำรุ่งพี่ก็ต้องออกเดินทางกลับไปค่าย คงจักอีกนาน กว่าจักได้กลับมาพบหน้าเจ้า”
เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเศร้าใจ จนคนฟังจับน้ำเสียงได้ แม้หล่อนยังโกรธเขาไม่หาย แต่ในเมื่อหล่อนรู้ว่าจะไม่ได้พบหน้าเขาเป็นแรมเดือนก็อดจะใจหายไม่ได้
“แล้วคุณจะไปไหน”
“พี่จักกลับไปยังค่ายบางกุ้งเสียที เพลานี้ข้าศึกมันเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้เต็มทีแล้วหนา”
วิลันดาจำได้ในประวัติศาสตร์ ถึงแม้ค่ายบางกุ้งจะไม่แตกพ่าย แต่ก็ร่อแร่เต็มทีและที่สำคัญ ถึงอย่างไรแล้ว การสู้รบย่อมมีการเสียเลือดเสียเนื้อเป็นธรรมดาที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ และหล่อนไม่อยากให้คนที่ต้องสังเวยชีวิตในสนามรบต้องเป็นคนตรงหน้าคนนี้
หล่อนพอที่จะจดจำเรื่องราวสำคัญในช่วงที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานีได้ แม้จะมีอายุสั้นได้เพียงแค่ 15 ปีก็ตาม หล่อนจำได้ว่า ทัพพม่าที่เข้ามาล้อมค่ายบางกุ้งจะพ่ายแพ้กลับไปในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรีมาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง พระเจ้าตากสินมหาราชและพระมหามนตรี ร่วมรบขับไล่กองทัพพม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย นับเป็นค่ายทหารไทยที่สร้างความเกรงขามให้กองทัพพม่า สร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยกลับคืนมา และเป็นสงครามครั้งแรกที่ไทยทำกับพม่าหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
“ฉันรู้สึกเป็นห่วงคุณ”
วิลันดาพูดแล้วก็หน้าแดงเพราะความอาย แต่หล่อนลองคำนวณดูแล้ว จากปฏิทินหลวงของพระยามิตรไมตรีเมื่อเช้านี้ ณ เวลาที่เธออยู่ที่นี่ในตอนนี้ตรงกับ พ.ศ 2311 พอดิบพอดี นั่นหมายความว่าการกลับไปค่ายของขุนไกรคราวนี้ จะไม่อาจหลีกเลี่ยงการรบกับทัพพม่าได้เลย แล้วศึกครั้งนี้ก็คือศึกค่ายบางกุ้งนั่นเอง
“มิได้ดอกเจ้า” ขุนไกรรู้สึกดีใจที่หล่อนยังแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นไยเขาบ้าง
“เพลานี้ท่านพระยาพิชัย แลออกหลวงเสนาสมุทร (ไต๋ก๋งเจียม )ได้เตรียมการตั้งรับกับข้าศึกไว้พร้อมแล้ว พี่เองจักต้องเร่งตามไปสมทบ” เขาเอื้อมมือไปจับมือเรียวของหล่อนบีบไว้แน่น
“ออกหลวงเสนาสมุทร หรือคะ”
“มีอันใดรึแม่หญิง”
หล่อนยังพอจำได้ แม้จะลางเลือนไปบ้างว่า ออกหลวงเสนาสมุทร เป็นผู้มีใบบอกไปยังกรุงธนบุรี ขอกำลังมาช่วยรบกับทหารพม่า พระเจ้าตากสินทรงทราบข่าวข้าศึก จึงโปรดให้พระยามหามนตรี จัดกองทัพเรือจำนวน 20 ลำ แล้วพระองค์ทรงเรือพระที่นั่งสุพรรณพิชัยนาวา เรือยาว 18 วา ปากเรือกว้าง 6 ศอกเศษ พลกรรเชียง 28 คน พร้อมด้วยศาสตราวุธมายังค่ายบางกุ้ง โดยลัดมาทางคลองบางบอน ผ่านคลองสุนัขหอน แล้วออกมาแม่น้ำแม่กลอง
พระยามหามนตรีคาดการณ์ว่าค่ายบางกุ้งล่อแหลม กำลังจะแตกอยู่แล้ว จึงรีบเร่งเดินทัพ ซึ่งถ้าทัพหลวงเดินทัพมาช้าอีกเพียงวันเดียว เชื่อว่าค่ายบางกุ้งอาจจะแตกได้ หล่อนจึงอยากจะเตือนขุนไกรให้ไปแจ้งข่าวแก่ ออกหลวงเสนาสมุทรให้ทำใบบอกขอความช่วยเหลือไปยังกรุงธนบุรี
“คุณจะต้องไปบอกให้ออกหลวงเสนาสมุทร ทำใบบอกมายังกรุงธนบุรีขอกำลังพลมาช่วย ค่ายบางกุ้งถึงจะรอดจากศึกครั้งนี้” หล่อนจับแขนล่ำสันของเขาเอาไว้แน่น
“พี่ลืมไปเสียสิ้นว่า แม่หญิงเป็นคนของยุคแห่งกาลอนาคต ย่อมรู้ดีในเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ศึกครั้งนี้เจ้าบอกพี่ทีว่าเราจักมีชัยรึไม่”
“ศึกครั้งนี้ เราจะเป็นฝ่ายมีชัยค่ะ”
ขุนไกรยิ้มออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด วิลันดาจึงค่อย ๆ เล่าต่อไปว่า การรบที่ค่ายบางกุ้งครั้งนี้ จะมีผลต่อชาวไทยด้วยกันหลายประการคือ ไทยยังคงเป็นชาติเอกราชต่อไป ไม่ต้องถูกย่ำยีทำลายล้างเหมือนสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2 แต่ถ้าหากไทยเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ คนไทยจะต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ทรัพย์สินเงินทองต้องถูกเก็บกวาดไปอีกจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือขวัญและกำลังใจของคนไทยจะกลับมาอีกครั้ง คนไทยที่แยกกันเป็นชุมชนต่าง ๆ ที่มุ่งหวังจะตั้งตัวเป็นใหญ่อีก ต่างมีความครั่นคร้ามไม่กล้าคิดกำเริบ และเลื่อมใสกองทัพกู้ชาติ อันมีพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นผู้นำ จากนั้นประเทศไทยก็จะสงบสุขเรื่อยมา
“หากเป็นเยี่ยงที่แม่หญิงพูดแล้ว พี่ยิ่งมีกำลังใจฮึกเหิมนัก อยากจักฟาดฟันกับไอ้พวกศัตรูหมู่มารให้ออกไปสิ้นจากแผ่นดิน”
หัวใจของเขาฮึกเหิมมากขึ้น เมื่อรู้ว่าทหารกล้าในยุคกรุงธนบุรี จะกลายเป็นวีรชนรุ่นสุดท้ายที่ได้ปกป้องบ้านเมืองเอาไว้จากการรุกรานของข้าศึก
“แต่ถึงอย่างนั้นก็จะต้องมีทหารที่ต้องพลีชีพไปมากเหมือนกัน สนามรบยังคงได้กลิ่นคาวคลุ้งของเลือดทั้งทหารไทยและพม่า” วิลันดามีสีหน้าเศร้า
“การรบมิอาจจักเลี่ยงการสูญเสียได้ดอกแม่หญิง พี่เชื่อว่าทหารกล้าทุกนายจักยินดีพลีกายเพื่อรักษาแผ่นดินเอาไว้ แม้นตัวพี่เองจักต้องสิ้นชีพในกาลนี้พี่ก็ยินดีนัก”
“ทำไมคุณพูดอย่างนี้ละคะมันไม่เป็นมงคล”
“เจ้าห่วงพี่มากรึแม่หญิง ดูสีหน้าเจ้าซีดเชียว เมื่อพี่บอกว่าจะกลับค่าย เอ..รึนี่แม่หญิงจักหายโกรธพี่แล้ว” นัยน์ตาคมกริบกับคิ้วเข้มดำสนิท จ้องมาที่วงหน้างาม
“ฉันไม่ได้หายโกรธคุณหรอก เพียงแต่ไม่อยากทะเลาะด้วยเท่านั้น ที่ฉันบอกว่าห่วง ก็เพราะยังนึกถึงบุญคุณที่คุณให้ฉันอาศัยพัก ให้ที่อยู่ที่กิน”
แม้นปากหล่อนจะพูดออกไปแบบนี้แต่ในใจกลับคิดไม่ตรงกับที่พูด ถ้าหล่อนไม่ห่วงคงจะไม่เตือนอะไรเขามากมาย ถ้าห้ามได้หล่อนไม่อยากจะให้เขาไปทัพด้วยซ้ำไป
“เรื่องที่พี่ทำกับเจ้าไปเมื่อครู่นั้น เพราะพี่รักเจ้า”
ขุนไกรค่อย ๆ จับมือบางของหล่อนขึ้นมาวางทาบบนอกกว้างของเขา วิลันดาพยายามจะดึงมือกลับ แต่เมื่อฝ่ามือหล่อนสัมผัสกับอกกว้าง เหมือนมีกระแสอะไรบางอย่างวิ่งผ่านฝ่ามือผ่านเข้ามายังหัวใจของวิลันดา หรือนี่คือกระแสแห่งความรัก
“เจ้ารอพี่หน่อยจักได้รึไม่ หากกลับมาครานี้ พี่จักพูดกับท่านพ่อขอถอนหมั้นกับแม่ดาวเรืองเสียให้จบเรื่อง”
“คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ”
“หากพี่แต่งกับแม่ดาวเรืองไป นางก็จักหาความสุขไม่ เพราะพี่มิคิดจักรักนางได้”
“แต่ฉันก็ต้องกลับไปบ้านของฉันนะคะ แล้วเราจะแต่งงานกันได้อย่างไร”
“เจ้าอย่าได้คิดหาหนทางกลับไปอีกเลยแม่หญิง พี่ขาดเจ้ามิได้ ที่นั่นก็มิได้มีใครรอเจ้าเยี่ยงพี่ รอเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ”
หล่อนไม่อยากจะเชื่อ ยามขุนไกรกินเหล้าเข้าไปจากคนเงียบขรึม จะกลายมาเป็นคนปากหวานขนาดนี้
“ถ้าคุณบอกว่าคุณรักฉัน คุณก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะคะ”
บางครั้งความรักของหญิงชายก็เข้าใจยาก เมื่อครู่หล่อนกับเขายังโกรธกัน แต่ตอนนี้กลับส่งคำหวานให้กันดุจคู่แต่งงานใหม่ก็ไม่ปาน
“พี่ให้สัญญา พี่จักปลอดภัยกลับมาหาเจ้า” สายตาคมกริบให้สัญญาด้วยวาจา และยังสบตาของหล่อน บอกถึงความมั่นคงว่าทหารกรุงธนคนนี้ไม่คิดแปลผัน
“เจ้านอนเสียเถิดหนา พี่เองก็จักรีบเข้านอนพรุ่งนี้จักต้องเดินทางแต่เช้า”
เขาค่อยๆ ปล่อยมือบางลง และสังเกตว่าหล่อนใส่กำไลที่เขาเคยยืมเงินหล่อนซื้อให้อยู่ตลอดเวลา
“เจ้าสวมมันไว้ตลอดรึ” ขุนไกรมองกำไลนั้นอย่างมีความหมาย
“ค่ะ ฉันสวมมันไว้ตลอด”
“ดีล่ะ พี่ถือว่าเจ้าเป็นของพี่แล้วหนา”
บุพเพข้ามภพ (ตอนที่ 17 )
ตอนที่ 17
“ปล่อยฉันนะ คุณมันบ้าที่สุดผู้ชายก็เหมือนกันหมด ไม่ว่ายุคไหนก็ชอบเอาเปรียบผู้หญิงวันยังค่ำ ฉันเคยคิดว่าคุณจะไม่เป็นเหมือนคนอื่นเสียอีก”
วิลันดาสะอื้นไห้ น่าสงสารยิ่งนัก ขุนไกรเห็นเพียงน้ำตาของหล่อน ใจเขาก็อ่อนลงไม่กล้าหักหาญน้ำใจหล่อน ทั้งที่ในตอนแรก คิดจะทำตามใจตัวเอง แม้กายแกร่งจะปวดหนึบ แสดงให้รู้ถึงความต้องการที่มีมาก จนแทบจะทะลักออกมาแต่เขาก็ตัดสินใจละสายตาออกจากร่างงามนั้น
ขุนไกรเงยหน้าขึ้นมาจากคอระหง จ้องมองใบหน้าของวิลันดาซึ่งดูเหมือนจะมีน้ำใส ๆ เอ่อออกมาไหลอาบสองแก้มอิ่มสีชมพูมิขาดสายอย่างน่าสงสาร นี่ทหารกล้าอย่างเขา คิดจะทำตัวเลวทรามต่ำช้า ถึงขนาดจะข่มขืนผู้หญิงเชียวหรือ
ขุนไกรจึงค่อย ๆ คลายมือที่โอบกอดหล่อนเอาไว้ เปลี่ยนไปเช็ดคราบน้ำตาของหล่อนอย่างเบามือที่สุด
“แม่หญิง พี่ขอโทษหนา แม่หญิงอย่าร้องอีกเลย พี่มันเลวนัก”
“อย่ามาถูกตัวฉัน”
วิลันดาปัดมือขุนไกรออกอย่างไม่ไยดี เขาคงคิดว่าแค่ขอโทษคำเดียวมันจะทำให้หล่อนหายโกรธหรือย่างไร
ขุนไกรจึงต้องยอมผละออกจากร่างงามอย่างนึกเสียดาย วิลันดาก้มมองตัวเองแล้วก็ตกใจ หล่อนรู้สึกอายจนหน้าแดงซ่าน รีบดึงสไบและผ้านุ่งขึ้นมาจัดแจงให้เข้าที่เข้าทาง โดยขุนไกรนั้นต้องทำทีมองไปในทางอื่นอย่างแสนเสียดาย
“ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว”
หล่อนไล่เขา ทั้งที่น้ำตาก็ยังไหลใบหน้ายังแดงเพราะความอายที่ตนเองเปลื้องผ้าอยู่หน้าผู้ชายเป็นครั้งแรก
“มิต้องไล่พี่ดอก แม่หญิง เยี่ยงไรแล้ว ย่ำรุ่งพี่ก็ต้องออกเดินทางกลับไปค่าย คงจักอีกนาน กว่าจักได้กลับมาพบหน้าเจ้า”
เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเศร้าใจ จนคนฟังจับน้ำเสียงได้ แม้หล่อนยังโกรธเขาไม่หาย แต่ในเมื่อหล่อนรู้ว่าจะไม่ได้พบหน้าเขาเป็นแรมเดือนก็อดจะใจหายไม่ได้
“แล้วคุณจะไปไหน”
“พี่จักกลับไปยังค่ายบางกุ้งเสียที เพลานี้ข้าศึกมันเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้เต็มทีแล้วหนา”
วิลันดาจำได้ในประวัติศาสตร์ ถึงแม้ค่ายบางกุ้งจะไม่แตกพ่าย แต่ก็ร่อแร่เต็มทีและที่สำคัญ ถึงอย่างไรแล้ว การสู้รบย่อมมีการเสียเลือดเสียเนื้อเป็นธรรมดาที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ และหล่อนไม่อยากให้คนที่ต้องสังเวยชีวิตในสนามรบต้องเป็นคนตรงหน้าคนนี้
หล่อนพอที่จะจดจำเรื่องราวสำคัญในช่วงที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานีได้ แม้จะมีอายุสั้นได้เพียงแค่ 15 ปีก็ตาม หล่อนจำได้ว่า ทัพพม่าที่เข้ามาล้อมค่ายบางกุ้งจะพ่ายแพ้กลับไปในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรีมาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง พระเจ้าตากสินมหาราชและพระมหามนตรี ร่วมรบขับไล่กองทัพพม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย นับเป็นค่ายทหารไทยที่สร้างความเกรงขามให้กองทัพพม่า สร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยกลับคืนมา และเป็นสงครามครั้งแรกที่ไทยทำกับพม่าหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
“ฉันรู้สึกเป็นห่วงคุณ”
วิลันดาพูดแล้วก็หน้าแดงเพราะความอาย แต่หล่อนลองคำนวณดูแล้ว จากปฏิทินหลวงของพระยามิตรไมตรีเมื่อเช้านี้ ณ เวลาที่เธออยู่ที่นี่ในตอนนี้ตรงกับ พ.ศ 2311 พอดิบพอดี นั่นหมายความว่าการกลับไปค่ายของขุนไกรคราวนี้ จะไม่อาจหลีกเลี่ยงการรบกับทัพพม่าได้เลย แล้วศึกครั้งนี้ก็คือศึกค่ายบางกุ้งนั่นเอง
“มิได้ดอกเจ้า” ขุนไกรรู้สึกดีใจที่หล่อนยังแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นไยเขาบ้าง
“เพลานี้ท่านพระยาพิชัย แลออกหลวงเสนาสมุทร (ไต๋ก๋งเจียม )ได้เตรียมการตั้งรับกับข้าศึกไว้พร้อมแล้ว พี่เองจักต้องเร่งตามไปสมทบ” เขาเอื้อมมือไปจับมือเรียวของหล่อนบีบไว้แน่น
“ออกหลวงเสนาสมุทร หรือคะ”
“มีอันใดรึแม่หญิง”
หล่อนยังพอจำได้ แม้จะลางเลือนไปบ้างว่า ออกหลวงเสนาสมุทร เป็นผู้มีใบบอกไปยังกรุงธนบุรี ขอกำลังมาช่วยรบกับทหารพม่า พระเจ้าตากสินทรงทราบข่าวข้าศึก จึงโปรดให้พระยามหามนตรี จัดกองทัพเรือจำนวน 20 ลำ แล้วพระองค์ทรงเรือพระที่นั่งสุพรรณพิชัยนาวา เรือยาว 18 วา ปากเรือกว้าง 6 ศอกเศษ พลกรรเชียง 28 คน พร้อมด้วยศาสตราวุธมายังค่ายบางกุ้ง โดยลัดมาทางคลองบางบอน ผ่านคลองสุนัขหอน แล้วออกมาแม่น้ำแม่กลอง
พระยามหามนตรีคาดการณ์ว่าค่ายบางกุ้งล่อแหลม กำลังจะแตกอยู่แล้ว จึงรีบเร่งเดินทัพ ซึ่งถ้าทัพหลวงเดินทัพมาช้าอีกเพียงวันเดียว เชื่อว่าค่ายบางกุ้งอาจจะแตกได้ หล่อนจึงอยากจะเตือนขุนไกรให้ไปแจ้งข่าวแก่ ออกหลวงเสนาสมุทรให้ทำใบบอกขอความช่วยเหลือไปยังกรุงธนบุรี
“คุณจะต้องไปบอกให้ออกหลวงเสนาสมุทร ทำใบบอกมายังกรุงธนบุรีขอกำลังพลมาช่วย ค่ายบางกุ้งถึงจะรอดจากศึกครั้งนี้” หล่อนจับแขนล่ำสันของเขาเอาไว้แน่น
“พี่ลืมไปเสียสิ้นว่า แม่หญิงเป็นคนของยุคแห่งกาลอนาคต ย่อมรู้ดีในเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ศึกครั้งนี้เจ้าบอกพี่ทีว่าเราจักมีชัยรึไม่”
“ศึกครั้งนี้ เราจะเป็นฝ่ายมีชัยค่ะ”
ขุนไกรยิ้มออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด วิลันดาจึงค่อย ๆ เล่าต่อไปว่า การรบที่ค่ายบางกุ้งครั้งนี้ จะมีผลต่อชาวไทยด้วยกันหลายประการคือ ไทยยังคงเป็นชาติเอกราชต่อไป ไม่ต้องถูกย่ำยีทำลายล้างเหมือนสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2 แต่ถ้าหากไทยเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ คนไทยจะต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ทรัพย์สินเงินทองต้องถูกเก็บกวาดไปอีกจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือขวัญและกำลังใจของคนไทยจะกลับมาอีกครั้ง คนไทยที่แยกกันเป็นชุมชนต่าง ๆ ที่มุ่งหวังจะตั้งตัวเป็นใหญ่อีก ต่างมีความครั่นคร้ามไม่กล้าคิดกำเริบ และเลื่อมใสกองทัพกู้ชาติ อันมีพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นผู้นำ จากนั้นประเทศไทยก็จะสงบสุขเรื่อยมา
“หากเป็นเยี่ยงที่แม่หญิงพูดแล้ว พี่ยิ่งมีกำลังใจฮึกเหิมนัก อยากจักฟาดฟันกับไอ้พวกศัตรูหมู่มารให้ออกไปสิ้นจากแผ่นดิน”
หัวใจของเขาฮึกเหิมมากขึ้น เมื่อรู้ว่าทหารกล้าในยุคกรุงธนบุรี จะกลายเป็นวีรชนรุ่นสุดท้ายที่ได้ปกป้องบ้านเมืองเอาไว้จากการรุกรานของข้าศึก
“แต่ถึงอย่างนั้นก็จะต้องมีทหารที่ต้องพลีชีพไปมากเหมือนกัน สนามรบยังคงได้กลิ่นคาวคลุ้งของเลือดทั้งทหารไทยและพม่า” วิลันดามีสีหน้าเศร้า
“การรบมิอาจจักเลี่ยงการสูญเสียได้ดอกแม่หญิง พี่เชื่อว่าทหารกล้าทุกนายจักยินดีพลีกายเพื่อรักษาแผ่นดินเอาไว้ แม้นตัวพี่เองจักต้องสิ้นชีพในกาลนี้พี่ก็ยินดีนัก”
“ทำไมคุณพูดอย่างนี้ละคะมันไม่เป็นมงคล”
“เจ้าห่วงพี่มากรึแม่หญิง ดูสีหน้าเจ้าซีดเชียว เมื่อพี่บอกว่าจะกลับค่าย เอ..รึนี่แม่หญิงจักหายโกรธพี่แล้ว” นัยน์ตาคมกริบกับคิ้วเข้มดำสนิท จ้องมาที่วงหน้างาม
“ฉันไม่ได้หายโกรธคุณหรอก เพียงแต่ไม่อยากทะเลาะด้วยเท่านั้น ที่ฉันบอกว่าห่วง ก็เพราะยังนึกถึงบุญคุณที่คุณให้ฉันอาศัยพัก ให้ที่อยู่ที่กิน”
แม้นปากหล่อนจะพูดออกไปแบบนี้แต่ในใจกลับคิดไม่ตรงกับที่พูด ถ้าหล่อนไม่ห่วงคงจะไม่เตือนอะไรเขามากมาย ถ้าห้ามได้หล่อนไม่อยากจะให้เขาไปทัพด้วยซ้ำไป
“เรื่องที่พี่ทำกับเจ้าไปเมื่อครู่นั้น เพราะพี่รักเจ้า”
ขุนไกรค่อย ๆ จับมือบางของหล่อนขึ้นมาวางทาบบนอกกว้างของเขา วิลันดาพยายามจะดึงมือกลับ แต่เมื่อฝ่ามือหล่อนสัมผัสกับอกกว้าง เหมือนมีกระแสอะไรบางอย่างวิ่งผ่านฝ่ามือผ่านเข้ามายังหัวใจของวิลันดา หรือนี่คือกระแสแห่งความรัก
“เจ้ารอพี่หน่อยจักได้รึไม่ หากกลับมาครานี้ พี่จักพูดกับท่านพ่อขอถอนหมั้นกับแม่ดาวเรืองเสียให้จบเรื่อง”
“คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ”
“หากพี่แต่งกับแม่ดาวเรืองไป นางก็จักหาความสุขไม่ เพราะพี่มิคิดจักรักนางได้”
“แต่ฉันก็ต้องกลับไปบ้านของฉันนะคะ แล้วเราจะแต่งงานกันได้อย่างไร”
“เจ้าอย่าได้คิดหาหนทางกลับไปอีกเลยแม่หญิง พี่ขาดเจ้ามิได้ ที่นั่นก็มิได้มีใครรอเจ้าเยี่ยงพี่ รอเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ”
หล่อนไม่อยากจะเชื่อ ยามขุนไกรกินเหล้าเข้าไปจากคนเงียบขรึม จะกลายมาเป็นคนปากหวานขนาดนี้
“ถ้าคุณบอกว่าคุณรักฉัน คุณก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะคะ”
บางครั้งความรักของหญิงชายก็เข้าใจยาก เมื่อครู่หล่อนกับเขายังโกรธกัน แต่ตอนนี้กลับส่งคำหวานให้กันดุจคู่แต่งงานใหม่ก็ไม่ปาน
“พี่ให้สัญญา พี่จักปลอดภัยกลับมาหาเจ้า” สายตาคมกริบให้สัญญาด้วยวาจา และยังสบตาของหล่อน บอกถึงความมั่นคงว่าทหารกรุงธนคนนี้ไม่คิดแปลผัน
“เจ้านอนเสียเถิดหนา พี่เองก็จักรีบเข้านอนพรุ่งนี้จักต้องเดินทางแต่เช้า”
เขาค่อยๆ ปล่อยมือบางลง และสังเกตว่าหล่อนใส่กำไลที่เขาเคยยืมเงินหล่อนซื้อให้อยู่ตลอดเวลา
“เจ้าสวมมันไว้ตลอดรึ” ขุนไกรมองกำไลนั้นอย่างมีความหมาย
“ค่ะ ฉันสวมมันไว้ตลอด”
“ดีล่ะ พี่ถือว่าเจ้าเป็นของพี่แล้วหนา”