บุพเพข้ามภพ ตอนที่ 4



ตอนที่ 4
    
หลังจากวิลันดาขับรถสีชมพูบานเย็นคันโปรดของหล่อนมาจนถึงหน้าบ้าน หล่อนต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อรถสีขาวยี่ห้อมาสด้าที่ดูคุ้นตาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นของเพื่อนสาวคนสนิท ถูกจอดขวางประตูรั้วบ้านของหล่อนเอาไว้ โดยที่คนตัวสูงแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ด สวมกระโปรงตัวสั้นเหนือเข่า เมื่อมองเห็นหล่อนก็รีบถลันตัวลงมาจากรถและวิ่งมาหาวิลันดาทันที

“วิ” แก้วกานดาวิ่งเข้ามากอดสาวสวยร่างบางเพื่อนรัก

“แก้ว” วิลันดากอดตอบเพื่อน พลางมองการแต่งตัวของหล่อนว่า ยังเปรี้ยวจี๊ดไม่เปลี่ยนแปลง

แก้วกานดามาทำธุระที่กรุงเทพฯ ให้กับบิดา จึงมีโอกาสได้มาเยี่ยมเพื่อนรัก แม้คนทั้งคู่จะสนิทกันมาก ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่หลังเรียนจบ แก้วกานดาต้องกลับไปช่วยกิจการทางบ้านที่จังหวัดนนทบุรี แม้ระยะทางจะห่างกัน แต่ทั้งสองสาวก็ยังโทรศัพท์ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างสม่ำเสมอ  และที่แก้วกานดามาวันนี้ เพราะทราบข่าวว่า เพื่อนรักเลิกรากับชัชวาลแฟนหนุ่มได้ระยะหนึ่งจึงอยากมาปลอบใจ

“วิ แกพาใครมาด้วย” แก้วกานดาพูดพลางมองเหล่ไปยังชายหนุ่มหล่อล่ำสันที่ยืนอยู่ด้านหลังวิลันดาด้วยสายตาเปล่งประกาย ฉายแววสงสัยว่าเพื่อนรัก มีหนุ่มดามใจเร็วเหลือเกินนะ ด้วยความสนิทสนมทำให้วิลันดาพอจะอ่านสายตาเพื่อนออกว่าคิดอะไร

“เออ เรื่องมันยาว เดี๋ยวฉันค่อย ๆ เล่าให้แกฟังนะ”  แต่ก็แอบคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเล่าไปแล้วแก้วกานดาจะหาว่าหล่อนบ้ารึเปล่า

“อืม ก็ได้”

“เข้าบ้านก่อนดีกว่า” วิลันดาพาเพื่อนรักเข้าบ้าน เมื่อนั่งพักกินน้ำจนหายเหนื่อย สายตาของวิลันดาที่มองเพื่อนรักบอกให้รู้ว่า แก้วกานดาอยากจะให้หล่อนเล่าเรื่องของขุนไกรให้ฟังสักที หล่อนคงสงสัยว่าเขาเป็นใคร วิลันดาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องให้แก้วกานดาฟัง  วิลันดาจึงเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติของขุนไกรให้กับเพื่อนรักฟังแล้ว

“เป็นไปไม่ได้ แกจะบอกฉันว่า ขุนไกรอะไรของแกเนี่ย เขามาจากสมัยกรุงธนบุรีน่ะหรือ” แก้วกานดามองสลับซ้ายทีขวาทีไปยังขุนไกรกับวิลันดาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

“ใช่แล้วเพื่อน” สายตาวิลันดาบอกเพื่อนรักว่าหล่อนไม่ได้ล้อเล่น

“วิ แกไม่ได้อ่านนิยายข้ามภพ ย้อนยุคมากไปนะเพื่อน”

“เปล่าเลย”

“แกก็รู้ ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ”                     

อันนี้เป็นเรื่องจริงที่เพื่อนรู้กันดี ไม่รู้เหมือนกันว่า คนไม่ชอบอ่านหนังสืออย่างวิลันดาคว้าเกียรตินิยมมาได้อย่างไร

“เออใช่ว่ะ ฮิฮิ..” แก้วกานดาหัวเราะชอบใจ

“ไม่ตลกนะแก” วิลันดากล่าว

“เหลือเชื่อวะ นี่ถ้าฉันเป็นนักเขียนนะ จะเอาเรื่องของแกไปเขียนเป็นนิยายมีหวังขายดีแน่เลย”

“มากไปแล้วเพื่อน” วิลันดารู้สึกขำกับความคิดของเพื่อนสาว     ขุนไกรคนถูกจ้องจากสาวสวยเปรี้ยวจี๊ดก็ทำหน้าไม่ถูกเช่นกัน เขาอยากจะบอกหล่อนเหมือนกันว่า มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ที่ตนเองต้องหลงมายุคแห่งอนาคต และให้สองสาวที่อายุน้อยกว่าราวสักสองร้อยกว่าปีนั่งมองเหมือนเขาเป็นวัตถุโบราณที่เพิ่งถูกค้นพบ

“เอ แต่ฉันว่า ฉันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเคยเห็นหน้าคุณที่ไหนนะ”

แก้วกานดาลองสังเกตใบหน้าของทหารรูปหล่อแห่งยุคกรุงธนบุรีผู้นี้แล้วรู้สึกว่าคุ้นเหลือเกิน แต่หล่อนจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน

เนื่องจากวันนี้เพื่อนรักของหล่อนที่นาน ๆ จะได้พบกันมาเยี่ยม  วิลันดาจึงอยากทำอาหารพิเศษให้เพื่อนรักและพ่อหนุ่มกรุงธนบุรีได้ลองทานอาหารแปลก ๆ ที่ไม่มีในสมัยของเขาทำ วิลันดาจึงเสนอไอเดียปาร์ตี้หมูกะทะ ผักสดทั้งกะหล่ำปลี ผักกาดขาว เห็ดหอม หมูสไลด์ กุ้ง ปลาหมึกและอีกนับสิบอย่างถูกยกมาวางรอบเตาไฟฟ้าที่มีเหล็กร้อนสำหรับใช้ย่างและมีขอบตั้งขึ้นเพื่อใส่น้ำซุปและลวกอาหาร

    ฮึ!  ขุนไกรมองอาหาร

“อาหารเยี่ยงนี้ข้ามิเคยเห็นมาก่อน” เขามองหน้าตาของอาหารยอดฮิตของคนในยุคนี้ด้วยสายตาสงสัย

“เราเรียกมันว่าหมูกะทะค่ะ” วิลันดาตอบเสียงใส

“แก้วรับรองว่าอร่อยค่ะ ไม่แน่นะคะ ถ้าขุนไกรกลับบ้านไปแล้วต้องอยากทานอีกแน่คะ”

“เมื่อข้ากลับไปเห็นทีจักต้องวาดแบบไปจ้างช่างตีเหล็กให้ทำเตาแบบของพวกเจ้าบ้างแล้วกระมัง”

สองสาวต่างสาธิตวิธีการกินให้ขุนไกรทำตาม พวกหล่อนใช้ตะเกียบคีบเนื้อสัตว์ ไปวางบนกะทะร้อนฉ่าส่งกลิ่นหอมหวน และนำมันไปจิ้มกับน้ำจิ้มสุกี้รสเด็ด จากนั้นบรรจงส่งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แต่สาวน้อยทั้งสองต้องแปลกใจ เมื่อเห็นขุนไกรใช้ตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว

เอ๊!

“ขุนไกร คุณใช้ตะเกียบเป็นด้วยหรือคะ” วิลันดาทำหน้าสงสัย

“พวกทหารที่ข้าฝึกอยู่นั้น ส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน ข้าเองก็มีเพื่อนเป็นลูกหลานคนจีนที่พ่อแม่หอบเสื่อผืนหมอนใบ เข้ามาพึ่งพระบารมีด้วยกันหลายคนจึงได้คุ้นเคยกับการใช้ตะเกียบเป็นอย่างดี”

“ใช่แล้วยายวิ ฉันยังเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ จำได้ว่า ค่ายบางกุ้งเนี่ย แต่เดิมในประวัติศาสตร์เขาเรียกว่าค่ายจีนบางกุ้ง เพราะมีคนไทยเชื้อสายจีนเข้ามารับการฝึกเป็นทหารจำนวนมาก ”

“นี่ถ้าเพื่อนพ้องของข้าได้กินอาหารเยี่ยงนี้บ้าง คงจักดีมิน้อย”         

ขุนไกรมีสีหน้าเศร้าลง เขากำลังนึกถึงบรรดาเหล่าทหารอาสาที่ยามนี้บ้านเมืองยังมิได้สงบ เรื่องกินดีอยู่ดีคงไม่มีแน่ เพียงแค่ได้อิ่มไปอีกมื้อก็นับว่าดีแล้ว

“ยุคของคุณ อาหารการกินคงจะลำบากมากซิคะ ในยามนี้” วิลันดาเอ่ยถาม เพราะรู้ว่า ในช่วงกรุงธนบุรีเป็นราชธานี แม้ระยะสั้นสิบห้าปี แต่มีศึกมากมายใหญ่น้อย ความเป็นอยู่จึงไม่สบายนัก

“ใช่”

“ยามนี้บ้านเมืองระส่ำระสายนัก อาหารการกิน ผ้านุ่งของทหารและชาวบ้านต่างขาดแคลน แต่ตัวข้าเองมิได้อดอยากแต่อย่างใด เพราะพ่อของข้าเป็นถึงเจ้าพระยามีศักดินาหมื่นไร่ พ่อของข้ามักจะนำอาหารไปแจกจ่ายให้กับทหารและชาวบ้านเสมอ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่