ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 51-52
http://ppantip.com/topic/30624996
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 53
ดวงแก้วสุกใสเม็ดขนาดเท่านัยน์ตาแมวลูกหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในกล่องบุกำมะหยี่ บ่อยครั้งที่หญิงสาวเปิดออกดูในใจจดจ่อไปยังเพชรพญานาคที่หล่อนถือครองอยู่ ป่านนี้เจ้าของน้ำตาหยดนี้เป็นอย่างไรบ้างหนอ แต่ไม่เคยมีคำตอบกลับมา หลายวันมานี่เหมือนหล่อนถูกกีดกันออกจากเรื่องราวในอดีตชาติ วิมุตติที่จะเป็นสะพานเชื่อมได้แต่เคียงฟ้าก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขา เกรงจะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก
“ทำไมกันนะ...ในเวลาที่ฉันอยากทำอะไรเพื่อเรื่องในชาติก่อนบ้าง ทุกอย่างกลับดูติดขัดไปหมด”
หล่อนรำพันไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ในเมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าหล่อนควรจะแก้ไข สำนึก และรับรู้ แล้วทำไมการติดต่อทั้งหมดถึงถูกตัดหายไป แต่ในช่วงแรกช่วงที่หล่อนปฏิเสธสัญญาเก่าจากอดีตชาติ ทุกอย่างกับพุ่งเข้าใส่หล่อน ราวกับกลัวว่าหล่อนจะลืมเลือนมันไปเสีย
‘โชคชะตากำลังจะเล่นตลกอะไรกับฉัน?’ รอยกรรมไยจึงพรากหล่อนให้ห่างจากเขา เป็นทุกข์ที่ไม่รู้ กับทุกข์ที่จำต้องรับรู้ อย่างไหนสาหัสกว่ากัน
“เจ้าภู...คุณได้ยินฟ้าไหมคะ? ได้โปรดเถอะค่ะ ถ้าคุณยังมีเยื่อใยให้มหิตาบ้าง...ขอให้ฉันได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเถอะค่ะ”
‘รู้ไปทำไม? รู้แล้วแก้ไขอะไรได้ รู้กับไม่รู้ต่างกันอย่างไร ทุกข์หายไปหรือไม่’ คำถามในใจผุดขึ้นมาเหมือนถูกใครตั้งปุจฉา เคียงฟ้าไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงเสียงในใจของตนเองหรือเสียงจากแดนไกล
‘ลืมมันเสียเคียงฟ้า...นั่นคือประสงค์ของภูวิษะเจ้า จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่าได้เกี่ยวข้องหรือพานพบกันอีก’
เสียงนั้นยังกังวานอยู่ในใจ สติของหล่อนค่อยลอยเลื่อนตาม ไม่อาจตอบโต้ได้ดังใจ สองตาค่อยหลับพริ้มลง เงาร่างของใครบางคนเคลื่อนเข้ามาใกล้ ร่างนั้นมีประกายแสงนวลลออตานัก หล่อนไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ในดวงจิตสัมผัสได้
“อาจารย์หรือคะ?” เคียงฟ้าถามออกไปด้วยสติอันเลื่อนลอย ใกล้ดิ่งดับเต็มที่แล้ว
“อย่ากลัว...เคียงฟ้า อย่าได้กลัว แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไป”
“มะ...ไม่” หล่อนปฏิเสธด้วยสติสุดท้ายซึ่งล้าเต็มที
“เพียงแค่ตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เจ้าจะดำเนินชีวิตไปตามแต่บุญกรรม”
“อย่..า...” หล่อนครางออกมาด้วยเสียงแผ่ว น้ำตาหยาดหยดออกมาทั้งที่หลับอยู่
“เจ้าภู...” เสียงสุดท้ายที่เคียงฟ้าได้ยิน คือเสียงของตนที่เรียกชื่อชายอันเป็นที่รักก่อนจิตจะสิ้นเรี่ยวแรงลง
ในมโนอันมืดมิดนั้น มีแสงสว่างอีกแสงหนึ่งที่เรื่อรองไม่แพ้แสงแรก ซ้ำยังเจิดจ้ากว่าเสียด้วยซ้ำ หากแสงนั้นเย็นฉ่ำไปด้วยพรแห่งความกรุณา เคลื่อนเข้ามาประชิดแสงแรก
‘เมื่อรู้จักทุกข์...จึงหายทุกข์ เพราะเข้าใจ หญิงผู้นี้อธิษฐานมาอย่าไปขวางทางเขา’ อีกเสียงหนึ่งดังมาเสียงนั้นอบอุ่นนุ่มนวลนัก แสงแรกจึงชะงักการกระทำลง ค่อยเปลี่ยนสภาพเป็นร่างบุรุษ พร้อมกันนั้นร่างสูงพลันคุกเข่าลงแล้วพนมมือขึ้น
‘เข้าใจแล้วพระคุณเจ้า....หากเป็นดังนั้น นางจักลืมมัน เมื่อใดนางปฏิเสธที่จะรับรู้’ เทพบุตรจากเมืองแมนกล่าว
‘ถึงอยากลืมก็ไม่ลืมดอก เพราะมันเป็นทุกข์ ทุกข์อยู่ในใจลืมไปชั่วคราวก็เหมือนแกล้งลืมนั่นแหละ มันไม่หายทุกข์หรอก วิธีที่จะหายทุกข์คือวางลงมิใช่แกล้งลืม จงเข้าใจในวิถีของทุกข์แม้ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวมาจากอดีตแสนไกลจะมาทักทายเพื่อการณ์ใด เอาแค่รู้รู้แล้วก็ปลดปลง ใจจะเบาขึ้น ส่วนกรรมก็ผ่อนผันใช้กันไป เวรหมดกรรมไม่หมด...อย่าผูกพยาบาทต่อเป็นพอ’
ร่างแสงอันสุกสกาวของผู้มาเยือนกล่าวมาทางหล่อน ก่อนจะคลี่รอยยิ้มน้อยๆ แล้วหันหลังเดินจากไป ในมโนนั้นหล่อนทันได้เห็นชายจีวรขยับไหวอยู่ลิบๆ แล้วเคียงฟ้าก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก คงมีแต่เสียงสังวัธยายมนต์ที่หล่อนไม่เข้าใจความหมายและไม่เคยค้นหามรรคาของบทสวดเหล่านั้น ทว่าอำนาจเมตตาก็แผ่ปกคลุมจนใจหล่อนสงบลง นิ่ง และเข้าสู่ภวังค์ไปในที่สุด ดวงจิตดำดิ่งสู่อนธการอีกครั้ง แต่ในความมืดนั้นจู่ๆ ก็มีแสงปรากฏขึ้น แสงนั้นห่างไกลออกไปจากที่หล่อนยืนจนสุดสายตา
‘ไป..ตามแสงนั่นไป’ ใครบางคนชี้ทางให้ หล่อนอยากหันไปมองให้เต็มตาว่าใช่คนที่คาดเดาหรือไม่ แต่ไม่อาจทำตามที่ใจต้องการได้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงพบด้านที่สว่างจ้าอยู่ปลายทางคล้ายแสงนั้นรอดออกมาจากปลายอุโมง หล่อนเดินไปตามคำบอก แสงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ และห้อมล้อมรอบกายจนมองไม่เห็นสิ่งใด หญิงสาวหยีตาหลบแสงจนปรับสายตาได้ หล่อนจึงค่อยปรือตาลืมขึ้น เงาทึบแสงของหญิงนางหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาหาหล่อน เมื่อลืมตาขึ้นเจ้าของหน้านวลนั่นเป็นสตรีคิ้วหนาเข้มที่รอยยิ้มแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์
“พระเทวี! ตื่นเถิดเพคะ”
“เอ๊ะ?” เคียงฟ้าพยุงตัวลุกขึ้นแล้วมองไปที่คู่สนทนา “พี่ศรีดารา? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“อ้าว? ก็ทรงสั่งให้หม่อมฉันปลุกแต่หัวรุ่ง วันนี้เราจะไปตลาดบน กันอย่างไรเล่าเพคะ”
เคียงฟ้าลุกขึ้นอย่างงุนงงจากนั้นไม่นานก็พบว่าตนเองอยู่ในร่างของมหิตาเทวี หญิงสาวยิ้มให้กับเงาในกระจกทองเหลืองอย่างแสนดีใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอบรับคำอธิษฐานของหล่อนแล้ว หนนี้คราวนี้จะต้องรู้เรื่องราวทั้งหมดให้ได้
“เราจะไปตลาดบนกันทำไมรึ?”
“หมู่นี้พระเทวีไม่ค่อยสดใส หม่อมฉันว่าเราออกไปเดินชมตลาดสักหน่อยดีกว่าเพคะ” นางเทวีไม่ทันได้ปฏิเสธก็ถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่อง โดยมีนางกำนัลหลายนางห้อมล้อม
“อย่าประดับประดามากนะเพคะ จะได้ไม่เป็นจุดเด่น หาไม่งั้นแล้วหากต้องมีทหารเดินตามเป็นขบวนคงไม่สนุกเป็นแน่”
“แต่อย่างไรก็ต้องมีคนติดตามคอยคุ้มครองบ้าง” ปทุมมาออกความเห็น
“แค่ 4 นายคงพอกระมัง”
แล้วมหิตาเทวีกับนางกำนัลอีกหลายนางก็พากันไปท่องตลาด โดยนางเทวีนั่งเสลี่ยงไปเมื่อถึงประตูวังก็ลงเดินปะปนไปกับชาวบ้านร้านตลาด เคียงฟ้ารู้สึกตื่นตาตื่นใจตั้งแต่หล่อนเห็นอดีตชาติ ชีวิตก็ถูกจำกัดอยู่เพียงในตำหนัก หรืออย่างมากก็ไปเพียงนาคาลัยเท่านั้น จึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีลืมสิ่งที่ต้องมาค้นหาไปชั่วขณะ
ชีวิตของผู้คนในตลาดต่างจับจ่ายใช้สอยกัน อื้ออึงไปด้วยเสียงพูดคุย มีร้านรวงมากมายข้างทาง หล่อนแวะดูนั่นดูนี่อย่างเพลิดเพลิน ผู้คนรอบตัวเมียงมองนางเทวีเพราะความงาม แต่ครู่เดียวก็รีบปลีกกายไป หญิงสาวสังเกตว่าคนที่นี่ล้วนเร่งรีบกว่าปกติ
“วันนี้รู้สึกแปลกนักว่าไหม? ” ปทุมมาเอ่ยถามศรีดารา
“แปลกอย่างไรหรือพี่ปทุมมา?” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีถามขึ้นมา
“หม่อมฉันก็ว่าอย่างนั้น” ศรีดาราทูลตอบ
“แต่ละคนดูเร่งรีบพิกล ปกติแล้วมักจะมีพวกคอยห้อมล้อมชมโฉมพระเทวีของหม่อมฉันนี่เพคะ”
“แหม...อย่างนั้นเชียวรึ?” แม้ว่านี่จะใช่โฉมหน้าในปัจจุบันของหล่อน แต่หญิงสาวก็อดภาคภูมิใจไม่ได้
“เห็นจะต้องไปถามดูสักหน่อย” ศรีดารากล่าวแล้วก็รุดเข้าร้านที่อยู่ข้างหน้า ถามไถ่สถานการณ์จากป้าเจ้าของร้านครู่หนึ่งก็วิ่งกลับมาทูลความ
“ผู้คนกำลังหาซื้อข้าวของไปเป็นเสบียงไว้น่ะเพคะ”
“เสบียง? เพื่อกระไรรึ?”
“ทั้งชาวจุมภะ ทั้งปาล และเมืองอื่นในระแวกใกล้เคียง กำลังวิตกว่าหากสงครามเริ่มขึ้นแล้วจะออกจากเมืองไปมาหาสู่กันไม่ได้ หาซื้อข้าวของก็ลำบากนัก อะไรที่เป็นของแห้งของเก็บได้นานก็ซื้อหาไว้เป็นเสบียงเพคะ”
“สงคราม...?” เมื่อเห็นมหิตาเทวีมีสีพระพักตร์ประหลาดพระทัย ศรีดาราจึงขยับเข้ามาแล้วกระซิบแทบกระกรรณ
“ที่ท่านภูวิษะไปประชุมอยู่ในระยะนี้ ก็เรื่องตีเมืองปาล นี่อย่างไรเล่าเพคะ” ดวงเนตรเบิกกว้างหลังฟังความจากนางกำนัลคนสนิท
“ปาลแม้เป็นเมืองเล็กๆ แต่เป็นเมืองผ่านสำหรับการค้า น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ลำน้ำไหลผ่านซอกซอนไปถึงสามโค้ง ทุ่งราบรอบโค้งนั่นก็ทำนาปลูกพืชผลได้สะดวกกว่าเมืองอื่นนักเพราะมันใกล้น้ำ เมืองนี้จึงเป็นที่หมายปองของเมืองอื่นด้วยเช่นกันเพคะ แต่เพราะเป็นเมืองเล็กที่ผ่านมาก็สงบเสงี่ยมดี แต่ช่วงนี้เมืองปาลเอนใจไปทางพะโคจึงกล้าแข็งเมืองกับเรา จึงต้องไปตีให้เข็ดหลาบ อยู่ดีไม่ว่าดีนะเพคะ ตีมาก็กลายเป็นเมืองขึ้นไม่รู้นึกเยี่ยงไร”
สำหรับเคียงฟ้าแล้วหล่อนแทบไม่มีเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำเลย รู้แต่ว่าระยะนี้เจ้านาคราชมีราชกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาให้ชายานัก เป็นเหตุให้เกิดความน้อยพระทัยสะสม เมื่อระลึกขึ้นได้จึงพยายามทบทวน สัญญาจากอดีตบอกหล่อนการศึกกับปาลปุระมีบางอย่างที่อยู่ก้นบึ้งของความทรงจำ สร้างความขุ่นมัวและหม่นหมองในความรู้สึกนัก ความฝื่นขมเริ่มตีตื้นขึ้นมาจากช่องท้องจนอยากอาเจียน
ปาลปุระ...นามนี้มีความลับใดซ่อนอยู่กันฤา ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 53-54
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 53
ดวงแก้วสุกใสเม็ดขนาดเท่านัยน์ตาแมวลูกหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในกล่องบุกำมะหยี่ บ่อยครั้งที่หญิงสาวเปิดออกดูในใจจดจ่อไปยังเพชรพญานาคที่หล่อนถือครองอยู่ ป่านนี้เจ้าของน้ำตาหยดนี้เป็นอย่างไรบ้างหนอ แต่ไม่เคยมีคำตอบกลับมา หลายวันมานี่เหมือนหล่อนถูกกีดกันออกจากเรื่องราวในอดีตชาติ วิมุตติที่จะเป็นสะพานเชื่อมได้แต่เคียงฟ้าก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขา เกรงจะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก
“ทำไมกันนะ...ในเวลาที่ฉันอยากทำอะไรเพื่อเรื่องในชาติก่อนบ้าง ทุกอย่างกลับดูติดขัดไปหมด”
หล่อนรำพันไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ในเมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าหล่อนควรจะแก้ไข สำนึก และรับรู้ แล้วทำไมการติดต่อทั้งหมดถึงถูกตัดหายไป แต่ในช่วงแรกช่วงที่หล่อนปฏิเสธสัญญาเก่าจากอดีตชาติ ทุกอย่างกับพุ่งเข้าใส่หล่อน ราวกับกลัวว่าหล่อนจะลืมเลือนมันไปเสีย
‘โชคชะตากำลังจะเล่นตลกอะไรกับฉัน?’ รอยกรรมไยจึงพรากหล่อนให้ห่างจากเขา เป็นทุกข์ที่ไม่รู้ กับทุกข์ที่จำต้องรับรู้ อย่างไหนสาหัสกว่ากัน
“เจ้าภู...คุณได้ยินฟ้าไหมคะ? ได้โปรดเถอะค่ะ ถ้าคุณยังมีเยื่อใยให้มหิตาบ้าง...ขอให้ฉันได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเถอะค่ะ”
‘รู้ไปทำไม? รู้แล้วแก้ไขอะไรได้ รู้กับไม่รู้ต่างกันอย่างไร ทุกข์หายไปหรือไม่’ คำถามในใจผุดขึ้นมาเหมือนถูกใครตั้งปุจฉา เคียงฟ้าไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงเสียงในใจของตนเองหรือเสียงจากแดนไกล
‘ลืมมันเสียเคียงฟ้า...นั่นคือประสงค์ของภูวิษะเจ้า จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อย่าได้เกี่ยวข้องหรือพานพบกันอีก’
เสียงนั้นยังกังวานอยู่ในใจ สติของหล่อนค่อยลอยเลื่อนตาม ไม่อาจตอบโต้ได้ดังใจ สองตาค่อยหลับพริ้มลง เงาร่างของใครบางคนเคลื่อนเข้ามาใกล้ ร่างนั้นมีประกายแสงนวลลออตานัก หล่อนไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ในดวงจิตสัมผัสได้
“อาจารย์หรือคะ?” เคียงฟ้าถามออกไปด้วยสติอันเลื่อนลอย ใกล้ดิ่งดับเต็มที่แล้ว
“อย่ากลัว...เคียงฟ้า อย่าได้กลัว แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไป”
“มะ...ไม่” หล่อนปฏิเสธด้วยสติสุดท้ายซึ่งล้าเต็มที
“เพียงแค่ตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เจ้าจะดำเนินชีวิตไปตามแต่บุญกรรม”
“อย่..า...” หล่อนครางออกมาด้วยเสียงแผ่ว น้ำตาหยาดหยดออกมาทั้งที่หลับอยู่
“เจ้าภู...” เสียงสุดท้ายที่เคียงฟ้าได้ยิน คือเสียงของตนที่เรียกชื่อชายอันเป็นที่รักก่อนจิตจะสิ้นเรี่ยวแรงลง
ในมโนอันมืดมิดนั้น มีแสงสว่างอีกแสงหนึ่งที่เรื่อรองไม่แพ้แสงแรก ซ้ำยังเจิดจ้ากว่าเสียด้วยซ้ำ หากแสงนั้นเย็นฉ่ำไปด้วยพรแห่งความกรุณา เคลื่อนเข้ามาประชิดแสงแรก
‘เมื่อรู้จักทุกข์...จึงหายทุกข์ เพราะเข้าใจ หญิงผู้นี้อธิษฐานมาอย่าไปขวางทางเขา’ อีกเสียงหนึ่งดังมาเสียงนั้นอบอุ่นนุ่มนวลนัก แสงแรกจึงชะงักการกระทำลง ค่อยเปลี่ยนสภาพเป็นร่างบุรุษ พร้อมกันนั้นร่างสูงพลันคุกเข่าลงแล้วพนมมือขึ้น
‘เข้าใจแล้วพระคุณเจ้า....หากเป็นดังนั้น นางจักลืมมัน เมื่อใดนางปฏิเสธที่จะรับรู้’ เทพบุตรจากเมืองแมนกล่าว
‘ถึงอยากลืมก็ไม่ลืมดอก เพราะมันเป็นทุกข์ ทุกข์อยู่ในใจลืมไปชั่วคราวก็เหมือนแกล้งลืมนั่นแหละ มันไม่หายทุกข์หรอก วิธีที่จะหายทุกข์คือวางลงมิใช่แกล้งลืม จงเข้าใจในวิถีของทุกข์แม้ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวมาจากอดีตแสนไกลจะมาทักทายเพื่อการณ์ใด เอาแค่รู้รู้แล้วก็ปลดปลง ใจจะเบาขึ้น ส่วนกรรมก็ผ่อนผันใช้กันไป เวรหมดกรรมไม่หมด...อย่าผูกพยาบาทต่อเป็นพอ’
ร่างแสงอันสุกสกาวของผู้มาเยือนกล่าวมาทางหล่อน ก่อนจะคลี่รอยยิ้มน้อยๆ แล้วหันหลังเดินจากไป ในมโนนั้นหล่อนทันได้เห็นชายจีวรขยับไหวอยู่ลิบๆ แล้วเคียงฟ้าก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก คงมีแต่เสียงสังวัธยายมนต์ที่หล่อนไม่เข้าใจความหมายและไม่เคยค้นหามรรคาของบทสวดเหล่านั้น ทว่าอำนาจเมตตาก็แผ่ปกคลุมจนใจหล่อนสงบลง นิ่ง และเข้าสู่ภวังค์ไปในที่สุด ดวงจิตดำดิ่งสู่อนธการอีกครั้ง แต่ในความมืดนั้นจู่ๆ ก็มีแสงปรากฏขึ้น แสงนั้นห่างไกลออกไปจากที่หล่อนยืนจนสุดสายตา
‘ไป..ตามแสงนั่นไป’ ใครบางคนชี้ทางให้ หล่อนอยากหันไปมองให้เต็มตาว่าใช่คนที่คาดเดาหรือไม่ แต่ไม่อาจทำตามที่ใจต้องการได้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงพบด้านที่สว่างจ้าอยู่ปลายทางคล้ายแสงนั้นรอดออกมาจากปลายอุโมง หล่อนเดินไปตามคำบอก แสงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ และห้อมล้อมรอบกายจนมองไม่เห็นสิ่งใด หญิงสาวหยีตาหลบแสงจนปรับสายตาได้ หล่อนจึงค่อยปรือตาลืมขึ้น เงาทึบแสงของหญิงนางหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาหาหล่อน เมื่อลืมตาขึ้นเจ้าของหน้านวลนั่นเป็นสตรีคิ้วหนาเข้มที่รอยยิ้มแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์
“พระเทวี! ตื่นเถิดเพคะ”
“เอ๊ะ?” เคียงฟ้าพยุงตัวลุกขึ้นแล้วมองไปที่คู่สนทนา “พี่ศรีดารา? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“อ้าว? ก็ทรงสั่งให้หม่อมฉันปลุกแต่หัวรุ่ง วันนี้เราจะไปตลาดบน กันอย่างไรเล่าเพคะ”
เคียงฟ้าลุกขึ้นอย่างงุนงงจากนั้นไม่นานก็พบว่าตนเองอยู่ในร่างของมหิตาเทวี หญิงสาวยิ้มให้กับเงาในกระจกทองเหลืองอย่างแสนดีใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอบรับคำอธิษฐานของหล่อนแล้ว หนนี้คราวนี้จะต้องรู้เรื่องราวทั้งหมดให้ได้
“เราจะไปตลาดบนกันทำไมรึ?”
“หมู่นี้พระเทวีไม่ค่อยสดใส หม่อมฉันว่าเราออกไปเดินชมตลาดสักหน่อยดีกว่าเพคะ” นางเทวีไม่ทันได้ปฏิเสธก็ถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่อง โดยมีนางกำนัลหลายนางห้อมล้อม
“อย่าประดับประดามากนะเพคะ จะได้ไม่เป็นจุดเด่น หาไม่งั้นแล้วหากต้องมีทหารเดินตามเป็นขบวนคงไม่สนุกเป็นแน่”
“แต่อย่างไรก็ต้องมีคนติดตามคอยคุ้มครองบ้าง” ปทุมมาออกความเห็น
“แค่ 4 นายคงพอกระมัง”
แล้วมหิตาเทวีกับนางกำนัลอีกหลายนางก็พากันไปท่องตลาด โดยนางเทวีนั่งเสลี่ยงไปเมื่อถึงประตูวังก็ลงเดินปะปนไปกับชาวบ้านร้านตลาด เคียงฟ้ารู้สึกตื่นตาตื่นใจตั้งแต่หล่อนเห็นอดีตชาติ ชีวิตก็ถูกจำกัดอยู่เพียงในตำหนัก หรืออย่างมากก็ไปเพียงนาคาลัยเท่านั้น จึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีลืมสิ่งที่ต้องมาค้นหาไปชั่วขณะ
ชีวิตของผู้คนในตลาดต่างจับจ่ายใช้สอยกัน อื้ออึงไปด้วยเสียงพูดคุย มีร้านรวงมากมายข้างทาง หล่อนแวะดูนั่นดูนี่อย่างเพลิดเพลิน ผู้คนรอบตัวเมียงมองนางเทวีเพราะความงาม แต่ครู่เดียวก็รีบปลีกกายไป หญิงสาวสังเกตว่าคนที่นี่ล้วนเร่งรีบกว่าปกติ
“วันนี้รู้สึกแปลกนักว่าไหม? ” ปทุมมาเอ่ยถามศรีดารา
“แปลกอย่างไรหรือพี่ปทุมมา?” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีถามขึ้นมา
“หม่อมฉันก็ว่าอย่างนั้น” ศรีดาราทูลตอบ
“แต่ละคนดูเร่งรีบพิกล ปกติแล้วมักจะมีพวกคอยห้อมล้อมชมโฉมพระเทวีของหม่อมฉันนี่เพคะ”
“แหม...อย่างนั้นเชียวรึ?” แม้ว่านี่จะใช่โฉมหน้าในปัจจุบันของหล่อน แต่หญิงสาวก็อดภาคภูมิใจไม่ได้
“เห็นจะต้องไปถามดูสักหน่อย” ศรีดารากล่าวแล้วก็รุดเข้าร้านที่อยู่ข้างหน้า ถามไถ่สถานการณ์จากป้าเจ้าของร้านครู่หนึ่งก็วิ่งกลับมาทูลความ
“ผู้คนกำลังหาซื้อข้าวของไปเป็นเสบียงไว้น่ะเพคะ”
“เสบียง? เพื่อกระไรรึ?”
“ทั้งชาวจุมภะ ทั้งปาล และเมืองอื่นในระแวกใกล้เคียง กำลังวิตกว่าหากสงครามเริ่มขึ้นแล้วจะออกจากเมืองไปมาหาสู่กันไม่ได้ หาซื้อข้าวของก็ลำบากนัก อะไรที่เป็นของแห้งของเก็บได้นานก็ซื้อหาไว้เป็นเสบียงเพคะ”
“สงคราม...?” เมื่อเห็นมหิตาเทวีมีสีพระพักตร์ประหลาดพระทัย ศรีดาราจึงขยับเข้ามาแล้วกระซิบแทบกระกรรณ
“ที่ท่านภูวิษะไปประชุมอยู่ในระยะนี้ ก็เรื่องตีเมืองปาล นี่อย่างไรเล่าเพคะ” ดวงเนตรเบิกกว้างหลังฟังความจากนางกำนัลคนสนิท
“ปาลแม้เป็นเมืองเล็กๆ แต่เป็นเมืองผ่านสำหรับการค้า น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ลำน้ำไหลผ่านซอกซอนไปถึงสามโค้ง ทุ่งราบรอบโค้งนั่นก็ทำนาปลูกพืชผลได้สะดวกกว่าเมืองอื่นนักเพราะมันใกล้น้ำ เมืองนี้จึงเป็นที่หมายปองของเมืองอื่นด้วยเช่นกันเพคะ แต่เพราะเป็นเมืองเล็กที่ผ่านมาก็สงบเสงี่ยมดี แต่ช่วงนี้เมืองปาลเอนใจไปทางพะโคจึงกล้าแข็งเมืองกับเรา จึงต้องไปตีให้เข็ดหลาบ อยู่ดีไม่ว่าดีนะเพคะ ตีมาก็กลายเป็นเมืองขึ้นไม่รู้นึกเยี่ยงไร”
สำหรับเคียงฟ้าแล้วหล่อนแทบไม่มีเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำเลย รู้แต่ว่าระยะนี้เจ้านาคราชมีราชกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาให้ชายานัก เป็นเหตุให้เกิดความน้อยพระทัยสะสม เมื่อระลึกขึ้นได้จึงพยายามทบทวน สัญญาจากอดีตบอกหล่อนการศึกกับปาลปุระมีบางอย่างที่อยู่ก้นบึ้งของความทรงจำ สร้างความขุ่นมัวและหม่นหมองในความรู้สึกนัก ความฝื่นขมเริ่มตีตื้นขึ้นมาจากช่องท้องจนอยากอาเจียน
ปาลปุระ...นามนี้มีความลับใดซ่อนอยู่กันฤา ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++