ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 65
http://ppantip.com/topic/31484263
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 66
เคียงฟ้าลุกขึ้นอย่างร้อนรน หล่อนทำท่าจะวิ่งตามขบวนภูวิษะเจ้าและมหิตาเทวีซึ่งกำลังจะขึ้นเสลี่ยงกลับตำหนัก แต่โดนดึงแขนเอาไว้เสียก่อน คนดึงเป็นบุรุษเดียวในที่นี่มองเห็นหล่อนได้ เขาแทบไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำแต่หล่อนไม่อาจขยับไปได้อย่างใจนึก
“ดึงทำไมคะอาจารย์ คู่นั้นเขาจะกลับกันแล้ว ไปกันเถอะค่ะ อยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์” หญิงสาวเบ้ปากแล้วถอนหายใจ เมื่อมองเข้าไปในตำหนักหลวง แม้ไม่ได้ยินก็พอเดาได้ว่าในท้องพระโรงคงกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก
“อาจารย์..หล่อนเรียกซ้ำอีกครั้ง”
“แปล..ก”
“คะ?” เคียงฟ้าเลิกคิ้วถาม
“พินทุมณีเทวีน่ะสิ ดูราวกับรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น แม้ว่านางชำนาญการคาดเดาเรื่องเลวร้ายก็เถิด แต่กรณีนี้น่าแปลกนัก”
“ทำไมคะ? แปลกยังไง?” ผู้เป็นอาจารย์ไม่ตอบ แต่กระตุกแขนหล่อนซ้ำอีกครั้ง
“มีบางอย่างที่มองข้ามไม่ได้ ไปดูกันเถิด”
พูดได้แค่นั้นเคียงฟ้าก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนแปลงไป ภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวผิดสัดส่วนราวกับมีมือใหญ่จับมันบีบเข้ามา แม้จะเริ่มชินแล้วแต่หล่อนก็อดกลัวไม่ได้จึงรีบกลั้นใจแล้วหลับตาปี๋ เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็พบว่าตนเองถูกเคลื่อนย้ายมาสู่อีกสถานที่หนึ่งเสียแล้ว
“ที่นี่ไหนคะ?” เหลียวมองรอบกายแล้วถามออกมา แต่ยังไม่ทันได้คำตอบเสียงใครคนหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมา
“ดูสิ! ภูวิษะน่ะช่างโอหังยิ่งนัก นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อยังกล้าถึงเพียงนี้ อีกหน่อยถ้าก่อกบฏขึ้นมาข้าจะไม่แปลกใจเลย” ที่แท้ที่นี่เป็นตำหนักของพินทุมณีเทวีนั่นเอง นางเทวีของตำนักนั่งอยู่บนตั่ง พาหาข้างหนึ่งพาดไว้กับหมอนขวาง ข้างวรกายมีนางกำนัลถวายการปรนนิบัติอยู่มิห่าง นางหนึ่งกำลังโบกพัดให้คลายร้อน อีกนางกำลังยื่นซองหมากถวาย ส่วนนางคนโปรดอย่างบัวลออกำลังฟังรับสั่งแล้ว รีบทูลเอาพระทัย
“นั่นสิเพคะ กระไรกันเป็นแค่ราชบุตรเขยแต่บังอาจสิ้นดี แต่จะว่าไป...บุรุษผู้นี้ประหลาดพิกลนะเพคะ”
“อย่างไร?”
“มีใจหาญกล้าผิดธรรมดานัก มีใครบ้างเล่าเพคะกล้าตวาดใส่พระบาทเจ้า หากเป็นคนสามัญธรรมดาอย่าว่าแต่กล้าเถียงเลยเพคะ แค่สบตาก็มิกล้าแล้ว ยิ่งกระทำผิดด้วยละก็มีแต่ต้องหมอบกราบให้ศีรษะจรดพื้นเท่านั้น” พินทุมณีเทวีสดับแล้วก็พยักพักตร์ตาม อันความองอาจห้าวหาญนี้เป็นหนึ่งในความพิศวงก็พระนาง คนผู้นี้ยืนหยัดมิเกรงกลัวผู้ใดแม้พระบาทเจ้าสิทธิเสณซึ่งเป็นใหญ่ในหล้าก็มิได้สยบให้
“ทำราวกับว่าเป็นกษัตริย์อีกนครที่เสมอด้วยศักดิ์...ไม่สิ ท่าทียโสโอหังปานนั้น วางท่าสูงศักดิ์กว่าเสด็จพ่อเสียด้วยซ้ำ หากเป็นผู้อื่นคงถูกกุดหัวไปแล้ว นี่เสด็จพ่อคงตกพระทัยอยู่จึงมิได้ลงทัณฑ์ใด น่าเสียดายนักเทียว...”
“นั่นสิเพคะ มหิตาเทวีก็ยังมิได้รับโทษใดๆ แล้วแผนที่จะ....” บัวลออกทูลได้แค่นั้นก็รีบหยุดปากด้วยถูกนางเทวีถลึงดวงเนตรใส่ จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นกริ้วออกปากไล่นางกำนัลที่รายล้อมอยู่รอบวรกายไปเสียจนสิ้น เมื่อทอดพระเนตรว่าทางสะดวกเหมาะจะตรัสเรื่องลับแล้วจึงค่อยรับสั่ง
“เจ้านี่เวลาจะพูดหัดดูที่ดูทางเสียบ้าง หน้าต่างมีหูประตูมีช่องรู้หรือไม่ หรืออยากจะถูกลากไปร่วมทัณฑ์ด้วย”
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ” นางตัวดีก้มหน้างุด ในขณะที่เคียงฟ้าเริ่มสงสัยท่าทีของคนทั้งคู่
“คู่นั้นดูมีลับลมคมนัยชอบกลนะคะ” วิทยเทพพยักหน้ารับ แล้วสั่งให้หล่อนเงียบลงเพื่อฟังคำสนทนานั้น
“มีอะไรรีบๆ ว่ามา”
“คือ...หม่อมฉันจะทูลว่า เห็นทีพระบาทเจ้าจะทรงพิโรธอาจจะไม่เรียกมหิตาเทวีมาสอบแล้วมังเพคะ”
“ก็เป็นได้...เฮ้อ น่าเสียดายนักงั้นแผนที่ข้าคิดจะซัดทอดไปถึงเสด็จพี่เขมมินีคงมิได้ใช้กัน เออนี่เจ้านำเงินไปให้นางเอื้องเสียให้มันปิดปากให้สนิท ใครถามก็อย่าได้พูด ให้ทำเป็นเงียบๆ ไปเสีย ไม่ต้องบอกใครว่ามันเป็นคนพานางศรีดาราไปหาหมอเสน่ห์ หากข้าอยากให้มันพูดเมื่อใดข้าจะบอกมันเอง” เท่านั้นเองเคียงฟ้าก็อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
“ว่าไงนะ ทั้งหมดนี่เป็นแผนของเธอเหรอ?” ใบหน้าของหล่อนซีดเผือดลงทันที เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าจนหญิงสาวไม่อาจบอกได้ว่าระหว่างตกใครกับโกรธความรู้สึกใดมาก่อน
“ทำไม? ทำไมถึงทำแบบนี้ เธอเป็นพี่สาวของมหิตาไม่ใช่เหรอ?” น้ำตาอุ่นๆ รื้นขึ้นมาคลอเบ้าทันที
“เอ้อ...คือว่า นางเอื้องมัน...”
“มันทำกระไร? หรือมันอยากจะได้เงินเพิ่ม? นางนี่โลภนักได้คืบจะเอาศอก”
“มิ..มิใช่เพคะ แต่นางเอื้องมันหนีไปแล้ว”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
“มันหนีไปแล้วเพคะ มันคงจะกลัว แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีเพคะ?” พินทุมณีเทวีสดับแล้วอึ้งไป ดวงพักตร์ขมวดมุ่นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ช่างเถอะ! มันหนีไปแล้วมันคงไม่กลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เราดอก” พระขนงมิได้คลายตัวลง เห็นได้ชัดว่าทรงวิตกกังวล
“เดี๋ยวสิ...หมายความว่าเธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด? แถมยังคิดจะซัดไปให้พี่เขมมินีด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
เคียงฟ้าอ้าปากค้าง หล่อนนึกไม่ถึงพี่น้องสายเลือดเดียวกันแท้ๆ มหิตาทำอะไรให้พระพี่นางเกลียดชังนักหนา เรื่องนี้เดือดร้อนกันถึงชีวิตเลยทีเดียว หญิงสาวเม้มริมฝีปากลงจนแน่นสนิท น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อพ้นขอบตาออกมา อย่างนี้นี่เองเล่าอาจารย์ของหล่อนจึงต้องติดตามมา
“ปล่อยไม่ได้!!” แต่ขณะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา เป็นเสียงบุรุษอันเกรี้ยวกราด เรียกความสนใจให้ทุกคนหันไปมอง ผู้พูดค่อยๆ พาตัวเองก้าวพ้นบานทวารเข้ามาในห้องทรงพระสำราญ ราวกับว่ายืนฟังเรื่องนี้อยู่นานแล้วจึงค่อยปรากฏตัว
“เสด็จพี่!!” พินทุมณีเทวีใจหายวาบ ทรงผุดลุกขึ้นด้วยท่าทีอันร้อนรน ดวงพักตร์ซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด
“ชยาทัต!!” เจ้าของนามเดินทะลุผ่านเคียงฟ้าและวิมุตติไปหาชายาของตน ด้วยแววเนตรที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้
“ระ...เรื่องที่น้องพูดเมื่อกี้ มันไม่ใช่อย่างที่เสด็จพี่คิดนะเพคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด น้องเพียงแต่วิพากษ์ไปตามเรื่องเท่านั้น...” ดวงเนตรของพระนางสั่นไหวราวกับลูกนกตัวน้อยๆ ที่กำลังเกรงกลัว ทรงหวาดกลัวว่าพระสวามีรู้ว่าพระองค์อยู่เบื้องหลังแล้วจะชิงชังรังเกียจ พฤติกรรมอันสามานย์นี้ แล้วจะหมดรักในตัวพระองค์
“ทีอย่างนี้ละ มาทำกลัวสามีรู้ความชั่วของตัว” เคียงฟ้าตำหนิออกมาดังๆ ทำให้บุรุษข้างกายพลอยหัวเราะไปด้วย
“น้องหญิงเรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน แต่เรื่องนางเอื้องมันรู้เรื่องมากเกินไป จะปล่อยมันไปไม่ได้เรื่องจะมาถึงตัว แล้วน้องพี่จะเดือดร้อน คราวนี้คนที่คอขาดอาจเป็นเจ้า” พระสวามีตรัสด้วยความจริงจัง ทำให้พินทุมณีเทวีชะงักถ้อยคำที่ดำริจะแก้ตัวลงไป
“พี่รู้ว่าเจ้าทำเพื่ออะไร? เพื่อเขี่ยภูวิษะให้พ้นทางข้าสินะ” สีพระพักตร์นั้นเป็นทุกข์เช่นเดียวกับดวงเนตรที่ถ่ายทอดความอ่อนโยนลงมา
“มันเสี่ยงรู้หรือไม่ เจ้าไม่น่าทำอย่างนี้เลย ภูวิษะเป็นคนเก่งพี่ไม่คิดจะไปเทียบกับเขา”
“แต่...”
“พี่ขอบใจเจ้ามาก แต่เจ้าทำให้พี่หนักใจนัก”
“นะ...น้อง น้องมิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เสด็จพี่น้องขอโทษอย่าได้เสียพระทัยไป ” พินทุมณีเทวีตรัสตำหนิองค์เองที่ทำให้พระสวามีผิดหวัง
“เจ้าทำเพื่อพี่ แล้วพี่ยังมีคำใดไปติเตียนเจ้าได้อีกเล่า พี่มีแต่เป็นห่วงเจ้านัก....” สดับได้แค่นั้นพระนางก็โผเข้าสู่อ้อมอุระแล้วซบพระพักตร์ลงกรรแสงออกมา
“เสด็จพี่ น้องขอโทษ น้องทำทุกอย่างไปโดยพละการ มิได้ทันคิดว่าจะทำให้เรื่องมันบานปลายถึงเพียงนี้ น้องเพียงแค่เล่าให้มหิตาฟังเท่านั้น ว่านางคนนั้นมันช่วยพาไปหาหมอเสน่ห์ได้ แต่..แต่ที่เหลือล้วนเป็นนางตัดสินใจเองทั้งนั้น มิใช่ใครอื่นเลย”
“แต่ถ้าเรื่องแตก นางอาจป้ายสีเจ้าได้ว่าเจ้ายุยง มหิตาหรือจะโทษตัวเองเวลานี้นางคงทำทุกอย่างเพื่อรักษาศีรษะของภูวิษะเอาไว้ นางคงขายได้แม้แต่พี่สาวอย่างเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่าเพคะ?”
“ฆ่า! ปิดปากนางคนนั้นเสีย”
“หา?” ทุกเสียงในห้องนั้นดังประสานกันขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“จะ...จะต้องฆ่านางเอื้องเชียวหรือเพคะท่านชยาทัต” บัวลออที่เงียบอยู่นานอดมิได้ที่จะแทรกขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เสด็จพี่...นางบ้านป่านั่นใครจะไปเชื่อถือมัน ปล่อยมันกลับเข้าป่าไปเรื่องก็น่าจะจบแล้วนะเพคะ อย่าให้ถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันเลย...น้องกลัว...มันบาป”
“แล้วเจ้ามั่นใจหรือ ว่าจะไม่มีใครใช้เงินซื้อมันให้เปิดปาก นางนั่นเป็นข้าของเขมมินีเทวีแท้ๆ ยังรับสินจากเจ้าได้ แล้วมันหรือจะรักษาความลับให้เจ้า”
“จริงเพคะ นางเอื้องมันเห็นแก่เงิน ถ้ามีคนให้เงินมากกว่าคงง้างปากนางได้ อีกอย่างมันรักตัวกลัวตายเสียขนาดหอบผ้าหนีไปนี่ก็ไว้ใจไม่ได้แล้วเพคะ”
“บัวลออเจ้ารู้จักคิดนี่ ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้นะว่าเจ้าควรจะภักดีกับใคร?”
“เพคะ หม่อมฉันไม่มีทางทรยศพระเทวีกับท่านชยาทัตเด็ดขาด หม่อมฉันสาบาน..เอ้อ สาบานกับวิษณุเทพเพคะ” นางตัวดีรีบก้มหน้างุดแล้วกล่าวคำสัตย์สาบานอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่จำต้องเอ่ยเพราะเกรงกลัวราชบุตรเขย
“ก่อนอาทิตย์ตกต้องไม่มีนางเอื้อง รวมทั้งไอ้หมอผีกะลอผู้นั้นด้วย!!”
สุรเสียงเด็ดขาดตรัสออกมาพร้อมด้วยแววเนตรเหี้ยมฉายฉาน เป็นแววเนตรที่พินทุมณีเทวีไม่เคยเห็นมาก่อนและมิทันได้สังเกตเห็นเสียด้วยซ้ำเพราะมัวแต่กังวลพระทัยอยู่ เคียงฟ้าเสียอีกที่หนาวยะเยือกยาวเมื่อสบเนตรกร้าวคู่นั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 66-67
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
เคียงฟ้าลุกขึ้นอย่างร้อนรน หล่อนทำท่าจะวิ่งตามขบวนภูวิษะเจ้าและมหิตาเทวีซึ่งกำลังจะขึ้นเสลี่ยงกลับตำหนัก แต่โดนดึงแขนเอาไว้เสียก่อน คนดึงเป็นบุรุษเดียวในที่นี่มองเห็นหล่อนได้ เขาแทบไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำแต่หล่อนไม่อาจขยับไปได้อย่างใจนึก
“ดึงทำไมคะอาจารย์ คู่นั้นเขาจะกลับกันแล้ว ไปกันเถอะค่ะ อยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์” หญิงสาวเบ้ปากแล้วถอนหายใจ เมื่อมองเข้าไปในตำหนักหลวง แม้ไม่ได้ยินก็พอเดาได้ว่าในท้องพระโรงคงกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก
“อาจารย์..หล่อนเรียกซ้ำอีกครั้ง”
“แปล..ก”
“คะ?” เคียงฟ้าเลิกคิ้วถาม
“พินทุมณีเทวีน่ะสิ ดูราวกับรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น แม้ว่านางชำนาญการคาดเดาเรื่องเลวร้ายก็เถิด แต่กรณีนี้น่าแปลกนัก”
“ทำไมคะ? แปลกยังไง?” ผู้เป็นอาจารย์ไม่ตอบ แต่กระตุกแขนหล่อนซ้ำอีกครั้ง
“มีบางอย่างที่มองข้ามไม่ได้ ไปดูกันเถิด”
พูดได้แค่นั้นเคียงฟ้าก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนแปลงไป ภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวผิดสัดส่วนราวกับมีมือใหญ่จับมันบีบเข้ามา แม้จะเริ่มชินแล้วแต่หล่อนก็อดกลัวไม่ได้จึงรีบกลั้นใจแล้วหลับตาปี๋ เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็พบว่าตนเองถูกเคลื่อนย้ายมาสู่อีกสถานที่หนึ่งเสียแล้ว
“ที่นี่ไหนคะ?” เหลียวมองรอบกายแล้วถามออกมา แต่ยังไม่ทันได้คำตอบเสียงใครคนหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมา
“ดูสิ! ภูวิษะน่ะช่างโอหังยิ่งนัก นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อยังกล้าถึงเพียงนี้ อีกหน่อยถ้าก่อกบฏขึ้นมาข้าจะไม่แปลกใจเลย” ที่แท้ที่นี่เป็นตำหนักของพินทุมณีเทวีนั่นเอง นางเทวีของตำนักนั่งอยู่บนตั่ง พาหาข้างหนึ่งพาดไว้กับหมอนขวาง ข้างวรกายมีนางกำนัลถวายการปรนนิบัติอยู่มิห่าง นางหนึ่งกำลังโบกพัดให้คลายร้อน อีกนางกำลังยื่นซองหมากถวาย ส่วนนางคนโปรดอย่างบัวลออกำลังฟังรับสั่งแล้ว รีบทูลเอาพระทัย
“นั่นสิเพคะ กระไรกันเป็นแค่ราชบุตรเขยแต่บังอาจสิ้นดี แต่จะว่าไป...บุรุษผู้นี้ประหลาดพิกลนะเพคะ”
“อย่างไร?”
“มีใจหาญกล้าผิดธรรมดานัก มีใครบ้างเล่าเพคะกล้าตวาดใส่พระบาทเจ้า หากเป็นคนสามัญธรรมดาอย่าว่าแต่กล้าเถียงเลยเพคะ แค่สบตาก็มิกล้าแล้ว ยิ่งกระทำผิดด้วยละก็มีแต่ต้องหมอบกราบให้ศีรษะจรดพื้นเท่านั้น” พินทุมณีเทวีสดับแล้วก็พยักพักตร์ตาม อันความองอาจห้าวหาญนี้เป็นหนึ่งในความพิศวงก็พระนาง คนผู้นี้ยืนหยัดมิเกรงกลัวผู้ใดแม้พระบาทเจ้าสิทธิเสณซึ่งเป็นใหญ่ในหล้าก็มิได้สยบให้
“ทำราวกับว่าเป็นกษัตริย์อีกนครที่เสมอด้วยศักดิ์...ไม่สิ ท่าทียโสโอหังปานนั้น วางท่าสูงศักดิ์กว่าเสด็จพ่อเสียด้วยซ้ำ หากเป็นผู้อื่นคงถูกกุดหัวไปแล้ว นี่เสด็จพ่อคงตกพระทัยอยู่จึงมิได้ลงทัณฑ์ใด น่าเสียดายนักเทียว...”
“นั่นสิเพคะ มหิตาเทวีก็ยังมิได้รับโทษใดๆ แล้วแผนที่จะ....” บัวลออกทูลได้แค่นั้นก็รีบหยุดปากด้วยถูกนางเทวีถลึงดวงเนตรใส่ จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นกริ้วออกปากไล่นางกำนัลที่รายล้อมอยู่รอบวรกายไปเสียจนสิ้น เมื่อทอดพระเนตรว่าทางสะดวกเหมาะจะตรัสเรื่องลับแล้วจึงค่อยรับสั่ง
“เจ้านี่เวลาจะพูดหัดดูที่ดูทางเสียบ้าง หน้าต่างมีหูประตูมีช่องรู้หรือไม่ หรืออยากจะถูกลากไปร่วมทัณฑ์ด้วย”
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ” นางตัวดีก้มหน้างุด ในขณะที่เคียงฟ้าเริ่มสงสัยท่าทีของคนทั้งคู่
“คู่นั้นดูมีลับลมคมนัยชอบกลนะคะ” วิทยเทพพยักหน้ารับ แล้วสั่งให้หล่อนเงียบลงเพื่อฟังคำสนทนานั้น
“มีอะไรรีบๆ ว่ามา”
“คือ...หม่อมฉันจะทูลว่า เห็นทีพระบาทเจ้าจะทรงพิโรธอาจจะไม่เรียกมหิตาเทวีมาสอบแล้วมังเพคะ”
“ก็เป็นได้...เฮ้อ น่าเสียดายนักงั้นแผนที่ข้าคิดจะซัดทอดไปถึงเสด็จพี่เขมมินีคงมิได้ใช้กัน เออนี่เจ้านำเงินไปให้นางเอื้องเสียให้มันปิดปากให้สนิท ใครถามก็อย่าได้พูด ให้ทำเป็นเงียบๆ ไปเสีย ไม่ต้องบอกใครว่ามันเป็นคนพานางศรีดาราไปหาหมอเสน่ห์ หากข้าอยากให้มันพูดเมื่อใดข้าจะบอกมันเอง” เท่านั้นเองเคียงฟ้าก็อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
“ว่าไงนะ ทั้งหมดนี่เป็นแผนของเธอเหรอ?” ใบหน้าของหล่อนซีดเผือดลงทันที เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าจนหญิงสาวไม่อาจบอกได้ว่าระหว่างตกใครกับโกรธความรู้สึกใดมาก่อน
“ทำไม? ทำไมถึงทำแบบนี้ เธอเป็นพี่สาวของมหิตาไม่ใช่เหรอ?” น้ำตาอุ่นๆ รื้นขึ้นมาคลอเบ้าทันที
“เอ้อ...คือว่า นางเอื้องมัน...”
“มันทำกระไร? หรือมันอยากจะได้เงินเพิ่ม? นางนี่โลภนักได้คืบจะเอาศอก”
“มิ..มิใช่เพคะ แต่นางเอื้องมันหนีไปแล้ว”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
“มันหนีไปแล้วเพคะ มันคงจะกลัว แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีเพคะ?” พินทุมณีเทวีสดับแล้วอึ้งไป ดวงพักตร์ขมวดมุ่นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ช่างเถอะ! มันหนีไปแล้วมันคงไม่กลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เราดอก” พระขนงมิได้คลายตัวลง เห็นได้ชัดว่าทรงวิตกกังวล
“เดี๋ยวสิ...หมายความว่าเธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด? แถมยังคิดจะซัดไปให้พี่เขมมินีด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
เคียงฟ้าอ้าปากค้าง หล่อนนึกไม่ถึงพี่น้องสายเลือดเดียวกันแท้ๆ มหิตาทำอะไรให้พระพี่นางเกลียดชังนักหนา เรื่องนี้เดือดร้อนกันถึงชีวิตเลยทีเดียว หญิงสาวเม้มริมฝีปากลงจนแน่นสนิท น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อพ้นขอบตาออกมา อย่างนี้นี่เองเล่าอาจารย์ของหล่อนจึงต้องติดตามมา
“ปล่อยไม่ได้!!” แต่ขณะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา เป็นเสียงบุรุษอันเกรี้ยวกราด เรียกความสนใจให้ทุกคนหันไปมอง ผู้พูดค่อยๆ พาตัวเองก้าวพ้นบานทวารเข้ามาในห้องทรงพระสำราญ ราวกับว่ายืนฟังเรื่องนี้อยู่นานแล้วจึงค่อยปรากฏตัว
“เสด็จพี่!!” พินทุมณีเทวีใจหายวาบ ทรงผุดลุกขึ้นด้วยท่าทีอันร้อนรน ดวงพักตร์ซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด
“ชยาทัต!!” เจ้าของนามเดินทะลุผ่านเคียงฟ้าและวิมุตติไปหาชายาของตน ด้วยแววเนตรที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้
“ระ...เรื่องที่น้องพูดเมื่อกี้ มันไม่ใช่อย่างที่เสด็จพี่คิดนะเพคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด น้องเพียงแต่วิพากษ์ไปตามเรื่องเท่านั้น...” ดวงเนตรของพระนางสั่นไหวราวกับลูกนกตัวน้อยๆ ที่กำลังเกรงกลัว ทรงหวาดกลัวว่าพระสวามีรู้ว่าพระองค์อยู่เบื้องหลังแล้วจะชิงชังรังเกียจ พฤติกรรมอันสามานย์นี้ แล้วจะหมดรักในตัวพระองค์
“ทีอย่างนี้ละ มาทำกลัวสามีรู้ความชั่วของตัว” เคียงฟ้าตำหนิออกมาดังๆ ทำให้บุรุษข้างกายพลอยหัวเราะไปด้วย
“น้องหญิงเรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน แต่เรื่องนางเอื้องมันรู้เรื่องมากเกินไป จะปล่อยมันไปไม่ได้เรื่องจะมาถึงตัว แล้วน้องพี่จะเดือดร้อน คราวนี้คนที่คอขาดอาจเป็นเจ้า” พระสวามีตรัสด้วยความจริงจัง ทำให้พินทุมณีเทวีชะงักถ้อยคำที่ดำริจะแก้ตัวลงไป
“พี่รู้ว่าเจ้าทำเพื่ออะไร? เพื่อเขี่ยภูวิษะให้พ้นทางข้าสินะ” สีพระพักตร์นั้นเป็นทุกข์เช่นเดียวกับดวงเนตรที่ถ่ายทอดความอ่อนโยนลงมา
“มันเสี่ยงรู้หรือไม่ เจ้าไม่น่าทำอย่างนี้เลย ภูวิษะเป็นคนเก่งพี่ไม่คิดจะไปเทียบกับเขา”
“แต่...”
“พี่ขอบใจเจ้ามาก แต่เจ้าทำให้พี่หนักใจนัก”
“นะ...น้อง น้องมิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เสด็จพี่น้องขอโทษอย่าได้เสียพระทัยไป ” พินทุมณีเทวีตรัสตำหนิองค์เองที่ทำให้พระสวามีผิดหวัง
“เจ้าทำเพื่อพี่ แล้วพี่ยังมีคำใดไปติเตียนเจ้าได้อีกเล่า พี่มีแต่เป็นห่วงเจ้านัก....” สดับได้แค่นั้นพระนางก็โผเข้าสู่อ้อมอุระแล้วซบพระพักตร์ลงกรรแสงออกมา
“เสด็จพี่ น้องขอโทษ น้องทำทุกอย่างไปโดยพละการ มิได้ทันคิดว่าจะทำให้เรื่องมันบานปลายถึงเพียงนี้ น้องเพียงแค่เล่าให้มหิตาฟังเท่านั้น ว่านางคนนั้นมันช่วยพาไปหาหมอเสน่ห์ได้ แต่..แต่ที่เหลือล้วนเป็นนางตัดสินใจเองทั้งนั้น มิใช่ใครอื่นเลย”
“แต่ถ้าเรื่องแตก นางอาจป้ายสีเจ้าได้ว่าเจ้ายุยง มหิตาหรือจะโทษตัวเองเวลานี้นางคงทำทุกอย่างเพื่อรักษาศีรษะของภูวิษะเอาไว้ นางคงขายได้แม้แต่พี่สาวอย่างเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่าเพคะ?”
“ฆ่า! ปิดปากนางคนนั้นเสีย”
“หา?” ทุกเสียงในห้องนั้นดังประสานกันขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“จะ...จะต้องฆ่านางเอื้องเชียวหรือเพคะท่านชยาทัต” บัวลออที่เงียบอยู่นานอดมิได้ที่จะแทรกขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เสด็จพี่...นางบ้านป่านั่นใครจะไปเชื่อถือมัน ปล่อยมันกลับเข้าป่าไปเรื่องก็น่าจะจบแล้วนะเพคะ อย่าให้ถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันเลย...น้องกลัว...มันบาป”
“แล้วเจ้ามั่นใจหรือ ว่าจะไม่มีใครใช้เงินซื้อมันให้เปิดปาก นางนั่นเป็นข้าของเขมมินีเทวีแท้ๆ ยังรับสินจากเจ้าได้ แล้วมันหรือจะรักษาความลับให้เจ้า”
“จริงเพคะ นางเอื้องมันเห็นแก่เงิน ถ้ามีคนให้เงินมากกว่าคงง้างปากนางได้ อีกอย่างมันรักตัวกลัวตายเสียขนาดหอบผ้าหนีไปนี่ก็ไว้ใจไม่ได้แล้วเพคะ”
“บัวลออเจ้ารู้จักคิดนี่ ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้นะว่าเจ้าควรจะภักดีกับใคร?”
“เพคะ หม่อมฉันไม่มีทางทรยศพระเทวีกับท่านชยาทัตเด็ดขาด หม่อมฉันสาบาน..เอ้อ สาบานกับวิษณุเทพเพคะ” นางตัวดีรีบก้มหน้างุดแล้วกล่าวคำสัตย์สาบานอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่จำต้องเอ่ยเพราะเกรงกลัวราชบุตรเขย
“ก่อนอาทิตย์ตกต้องไม่มีนางเอื้อง รวมทั้งไอ้หมอผีกะลอผู้นั้นด้วย!!”
สุรเสียงเด็ดขาดตรัสออกมาพร้อมด้วยแววเนตรเหี้ยมฉายฉาน เป็นแววเนตรที่พินทุมณีเทวีไม่เคยเห็นมาก่อนและมิทันได้สังเกตเห็นเสียด้วยซ้ำเพราะมัวแต่กังวลพระทัยอยู่ เคียงฟ้าเสียอีกที่หนาวยะเยือกยาวเมื่อสบเนตรกร้าวคู่นั้น