เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 66-67

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 65 http://ppantip.com/topic/31484263
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl



ตอนที่ 66



                  เคียงฟ้าลุกขึ้นอย่างร้อนรน หล่อนทำท่าจะวิ่งตามขบวนภูวิษะเจ้าและมหิตาเทวีซึ่งกำลังจะขึ้นเสลี่ยงกลับตำหนัก  แต่โดนดึงแขนเอาไว้เสียก่อน  คนดึงเป็นบุรุษเดียวในที่นี่มองเห็นหล่อนได้ เขาแทบไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำแต่หล่อนไม่อาจขยับไปได้อย่างใจนึก


                   “ดึงทำไมคะอาจารย์ คู่นั้นเขาจะกลับกันแล้ว ไปกันเถอะค่ะ อยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์” หญิงสาวเบ้ปากแล้วถอนหายใจ เมื่อมองเข้าไปในตำหนักหลวง แม้ไม่ได้ยินก็พอเดาได้ว่าในท้องพระโรงคงกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก


                   “อาจารย์..หล่อนเรียกซ้ำอีกครั้ง”


                   “แปล..ก”


                   “คะ?” เคียงฟ้าเลิกคิ้วถาม


                  “พินทุมณีเทวีน่ะสิ  ดูราวกับรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น แม้ว่านางชำนาญการคาดเดาเรื่องเลวร้ายก็เถิด แต่กรณีนี้น่าแปลกนัก”


                   “ทำไมคะ?  แปลกยังไง?” ผู้เป็นอาจารย์ไม่ตอบ แต่กระตุกแขนหล่อนซ้ำอีกครั้ง


                  “มีบางอย่างที่มองข้ามไม่ได้  ไปดูกันเถิด”


                พูดได้แค่นั้นเคียงฟ้าก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนแปลงไป ภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวผิดสัดส่วนราวกับมีมือใหญ่จับมันบีบเข้ามา  แม้จะเริ่มชินแล้วแต่หล่อนก็อดกลัวไม่ได้จึงรีบกลั้นใจแล้วหลับตาปี๋ เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็พบว่าตนเองถูกเคลื่อนย้ายมาสู่อีกสถานที่หนึ่งเสียแล้ว


               “ที่นี่ไหนคะ?” เหลียวมองรอบกายแล้วถามออกมา แต่ยังไม่ทันได้คำตอบเสียงใครคนหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมา


               “ดูสิ! ภูวิษะน่ะช่างโอหังยิ่งนัก นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อยังกล้าถึงเพียงนี้  อีกหน่อยถ้าก่อกบฏขึ้นมาข้าจะไม่แปลกใจเลย” ที่แท้ที่นี่เป็นตำหนักของพินทุมณีเทวีนั่นเอง  นางเทวีของตำนักนั่งอยู่บนตั่ง พาหาข้างหนึ่งพาดไว้กับหมอนขวาง  ข้างวรกายมีนางกำนัลถวายการปรนนิบัติอยู่มิห่าง นางหนึ่งกำลังโบกพัดให้คลายร้อน อีกนางกำลังยื่นซองหมากถวาย  ส่วนนางคนโปรดอย่างบัวลออกำลังฟังรับสั่งแล้ว รีบทูลเอาพระทัย


                  “นั่นสิเพคะ  กระไรกันเป็นแค่ราชบุตรเขยแต่บังอาจสิ้นดี  แต่จะว่าไป...บุรุษผู้นี้ประหลาดพิกลนะเพคะ”


                  “อย่างไร?”


                  “มีใจหาญกล้าผิดธรรมดานัก  มีใครบ้างเล่าเพคะกล้าตวาดใส่พระบาทเจ้า  หากเป็นคนสามัญธรรมดาอย่าว่าแต่กล้าเถียงเลยเพคะ  แค่สบตาก็มิกล้าแล้ว ยิ่งกระทำผิดด้วยละก็มีแต่ต้องหมอบกราบให้ศีรษะจรดพื้นเท่านั้น” พินทุมณีเทวีสดับแล้วก็พยักพักตร์ตาม  อันความองอาจห้าวหาญนี้เป็นหนึ่งในความพิศวงก็พระนาง  คนผู้นี้ยืนหยัดมิเกรงกลัวผู้ใดแม้พระบาทเจ้าสิทธิเสณซึ่งเป็นใหญ่ในหล้าก็มิได้สยบให้  


                  “ทำราวกับว่าเป็นกษัตริย์อีกนครที่เสมอด้วยศักดิ์...ไม่สิ ท่าทียโสโอหังปานนั้น  วางท่าสูงศักดิ์กว่าเสด็จพ่อเสียด้วยซ้ำ   หากเป็นผู้อื่นคงถูกกุดหัวไปแล้ว  นี่เสด็จพ่อคงตกพระทัยอยู่จึงมิได้ลงทัณฑ์ใด  น่าเสียดายนักเทียว...”


                  “นั่นสิเพคะ  มหิตาเทวีก็ยังมิได้รับโทษใดๆ  แล้วแผนที่จะ....” บัวลออกทูลได้แค่นั้นก็รีบหยุดปากด้วยถูกนางเทวีถลึงดวงเนตรใส่  จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นกริ้วออกปากไล่นางกำนัลที่รายล้อมอยู่รอบวรกายไปเสียจนสิ้น  เมื่อทอดพระเนตรว่าทางสะดวกเหมาะจะตรัสเรื่องลับแล้วจึงค่อยรับสั่ง


                   “เจ้านี่เวลาจะพูดหัดดูที่ดูทางเสียบ้าง  หน้าต่างมีหูประตูมีช่องรู้หรือไม่ หรืออยากจะถูกลากไปร่วมทัณฑ์ด้วย”


                   “ขออภัยเพคะ  หม่อมฉันผิดไปแล้ว ” นางตัวดีก้มหน้างุด  ในขณะที่เคียงฟ้าเริ่มสงสัยท่าทีของคนทั้งคู่


                   “คู่นั้นดูมีลับลมคมนัยชอบกลนะคะ”  วิทยเทพพยักหน้ารับ แล้วสั่งให้หล่อนเงียบลงเพื่อฟังคำสนทนานั้น


                   “มีอะไรรีบๆ ว่ามา”


                    “คือ...หม่อมฉันจะทูลว่า เห็นทีพระบาทเจ้าจะทรงพิโรธอาจจะไม่เรียกมหิตาเทวีมาสอบแล้วมังเพคะ”


                   “ก็เป็นได้...เฮ้อ น่าเสียดายนักงั้นแผนที่ข้าคิดจะซัดทอดไปถึงเสด็จพี่เขมมินีคงมิได้ใช้กัน  เออนี่เจ้านำเงินไปให้นางเอื้องเสียให้มันปิดปากให้สนิท ใครถามก็อย่าได้พูด  ให้ทำเป็นเงียบๆ ไปเสีย ไม่ต้องบอกใครว่ามันเป็นคนพานางศรีดาราไปหาหมอเสน่ห์  หากข้าอยากให้มันพูดเมื่อใดข้าจะบอกมันเอง” เท่านั้นเองเคียงฟ้าก็อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ  


                  “ว่าไงนะ ทั้งหมดนี่เป็นแผนของเธอเหรอ?”  ใบหน้าของหล่อนซีดเผือดลงทันที เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าจนหญิงสาวไม่อาจบอกได้ว่าระหว่างตกใครกับโกรธความรู้สึกใดมาก่อน  


                   “ทำไม? ทำไมถึงทำแบบนี้ เธอเป็นพี่สาวของมหิตาไม่ใช่เหรอ?” น้ำตาอุ่นๆ รื้นขึ้นมาคลอเบ้าทันที


                     “เอ้อ...คือว่า นางเอื้องมัน...”


                    “มันทำกระไร? หรือมันอยากจะได้เงินเพิ่ม?  นางนี่โลภนักได้คืบจะเอาศอก”


                   “มิ..มิใช่เพคะ   แต่นางเอื้องมันหนีไปแล้ว”


                   “เจ้าว่าอะไรนะ?”


                   “มันหนีไปแล้วเพคะ  มันคงจะกลัว  แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีเพคะ?” พินทุมณีเทวีสดับแล้วอึ้งไป ดวงพักตร์ขมวดมุ่นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


                   “ช่างเถอะ! มันหนีไปแล้วมันคงไม่กลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เราดอก”  พระขนงมิได้คลายตัวลง เห็นได้ชัดว่าทรงวิตกกังวล


                   “เดี๋ยวสิ...หมายความว่าเธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด? แถมยังคิดจะซัดไปให้พี่เขมมินีด้วยอย่างนั้นเหรอ?”


              เคียงฟ้าอ้าปากค้าง หล่อนนึกไม่ถึงพี่น้องสายเลือดเดียวกันแท้ๆ มหิตาทำอะไรให้พระพี่นางเกลียดชังนักหนา เรื่องนี้เดือดร้อนกันถึงชีวิตเลยทีเดียว  หญิงสาวเม้มริมฝีปากลงจนแน่นสนิท น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อพ้นขอบตาออกมา  อย่างนี้นี่เองเล่าอาจารย์ของหล่อนจึงต้องติดตามมา


               “ปล่อยไม่ได้!!”  แต่ขณะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา เป็นเสียงบุรุษอันเกรี้ยวกราด เรียกความสนใจให้ทุกคนหันไปมอง  ผู้พูดค่อยๆ พาตัวเองก้าวพ้นบานทวารเข้ามาในห้องทรงพระสำราญ ราวกับว่ายืนฟังเรื่องนี้อยู่นานแล้วจึงค่อยปรากฏตัว


                “เสด็จพี่!!” พินทุมณีเทวีใจหายวาบ ทรงผุดลุกขึ้นด้วยท่าทีอันร้อนรน  ดวงพักตร์ซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด


                “ชยาทัต!!” เจ้าของนามเดินทะลุผ่านเคียงฟ้าและวิมุตติไปหาชายาของตน ด้วยแววเนตรที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้


              “ระ...เรื่องที่น้องพูดเมื่อกี้  มันไม่ใช่อย่างที่เสด็จพี่คิดนะเพคะ  อย่าเพิ่งเข้าใจผิด น้องเพียงแต่วิพากษ์ไปตามเรื่องเท่านั้น...”  ดวงเนตรของพระนางสั่นไหวราวกับลูกนกตัวน้อยๆ ที่กำลังเกรงกลัว  ทรงหวาดกลัวว่าพระสวามีรู้ว่าพระองค์อยู่เบื้องหลังแล้วจะชิงชังรังเกียจ พฤติกรรมอันสามานย์นี้  แล้วจะหมดรักในตัวพระองค์


               “ทีอย่างนี้ละ มาทำกลัวสามีรู้ความชั่วของตัว” เคียงฟ้าตำหนิออกมาดังๆ ทำให้บุรุษข้างกายพลอยหัวเราะไปด้วย


               “น้องหญิงเรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน  แต่เรื่องนางเอื้องมันรู้เรื่องมากเกินไป จะปล่อยมันไปไม่ได้เรื่องจะมาถึงตัว  แล้วน้องพี่จะเดือดร้อน คราวนี้คนที่คอขาดอาจเป็นเจ้า” พระสวามีตรัสด้วยความจริงจัง ทำให้พินทุมณีเทวีชะงักถ้อยคำที่ดำริจะแก้ตัวลงไป


               “พี่รู้ว่าเจ้าทำเพื่ออะไร?  เพื่อเขี่ยภูวิษะให้พ้นทางข้าสินะ”  สีพระพักตร์นั้นเป็นทุกข์เช่นเดียวกับดวงเนตรที่ถ่ายทอดความอ่อนโยนลงมา


               “มันเสี่ยงรู้หรือไม่ เจ้าไม่น่าทำอย่างนี้เลย  ภูวิษะเป็นคนเก่งพี่ไม่คิดจะไปเทียบกับเขา”


               “แต่...”


              “พี่ขอบใจเจ้ามาก   แต่เจ้าทำให้พี่หนักใจนัก”


              “นะ...น้อง  น้องมิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้  เสด็จพี่น้องขอโทษอย่าได้เสียพระทัยไป ” พินทุมณีเทวีตรัสตำหนิองค์เองที่ทำให้พระสวามีผิดหวัง


               “เจ้าทำเพื่อพี่  แล้วพี่ยังมีคำใดไปติเตียนเจ้าได้อีกเล่า  พี่มีแต่เป็นห่วงเจ้านัก....” สดับได้แค่นั้นพระนางก็โผเข้าสู่อ้อมอุระแล้วซบพระพักตร์ลงกรรแสงออกมา


               “เสด็จพี่  น้องขอโทษ น้องทำทุกอย่างไปโดยพละการ มิได้ทันคิดว่าจะทำให้เรื่องมันบานปลายถึงเพียงนี้  น้องเพียงแค่เล่าให้มหิตาฟังเท่านั้น  ว่านางคนนั้นมันช่วยพาไปหาหมอเสน่ห์ได้  แต่..แต่ที่เหลือล้วนเป็นนางตัดสินใจเองทั้งนั้น  มิใช่ใครอื่นเลย”


               “แต่ถ้าเรื่องแตก นางอาจป้ายสีเจ้าได้ว่าเจ้ายุยง มหิตาหรือจะโทษตัวเองเวลานี้นางคงทำทุกอย่างเพื่อรักษาศีรษะของภูวิษะเอาไว้  นางคงขายได้แม้แต่พี่สาวอย่างเจ้า”


                “ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่าเพคะ?”


                “ฆ่า! ปิดปากนางคนนั้นเสีย”


                “หา?” ทุกเสียงในห้องนั้นดังประสานกันขึ้นมาด้วยความตกตะลึง


                “จะ...จะต้องฆ่านางเอื้องเชียวหรือเพคะท่านชยาทัต” บัวลออที่เงียบอยู่นานอดมิได้ที่จะแทรกขึ้นมาด้วยความตกใจ


               “เสด็จพี่...นางบ้านป่านั่นใครจะไปเชื่อถือมัน  ปล่อยมันกลับเข้าป่าไปเรื่องก็น่าจะจบแล้วนะเพคะ  อย่าให้ถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันเลย...น้องกลัว...มันบาป”


               “แล้วเจ้ามั่นใจหรือ ว่าจะไม่มีใครใช้เงินซื้อมันให้เปิดปาก  นางนั่นเป็นข้าของเขมมินีเทวีแท้ๆ ยังรับสินจากเจ้าได้  แล้วมันหรือจะรักษาความลับให้เจ้า”


               “จริงเพคะ  นางเอื้องมันเห็นแก่เงิน  ถ้ามีคนให้เงินมากกว่าคงง้างปากนางได้  อีกอย่างมันรักตัวกลัวตายเสียขนาดหอบผ้าหนีไปนี่ก็ไว้ใจไม่ได้แล้วเพคะ”


               “บัวลออเจ้ารู้จักคิดนี่  ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้นะว่าเจ้าควรจะภักดีกับใคร?”


               “เพคะ  หม่อมฉันไม่มีทางทรยศพระเทวีกับท่านชยาทัตเด็ดขาด หม่อมฉันสาบาน..เอ้อ สาบานกับวิษณุเทพเพคะ” นางตัวดีรีบก้มหน้างุดแล้วกล่าวคำสัตย์สาบานอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่จำต้องเอ่ยเพราะเกรงกลัวราชบุตรเขย


               “ก่อนอาทิตย์ตกต้องไม่มีนางเอื้อง รวมทั้งไอ้หมอผีกะลอผู้นั้นด้วย!!”  


               สุรเสียงเด็ดขาดตรัสออกมาพร้อมด้วยแววเนตรเหี้ยมฉายฉาน  เป็นแววเนตรที่พินทุมณีเทวีไม่เคยเห็นมาก่อนและมิทันได้สังเกตเห็นเสียด้วยซ้ำเพราะมัวแต่กังวลพระทัยอยู่  เคียงฟ้าเสียอีกที่หนาวยะเยือกยาวเมื่อสบเนตรกร้าวคู่นั้น


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่