ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 53-54
http://ppantip.com/topic/30671143
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 55
มหิตาเทวีเสด็จออกจากตำหนักของพระภคินี ตลอดทางทรงดำเนินอย่างเงียบเชียบไม่ตรัสแม้แต่คำเดียว สีพระพักตร์นั้นบ่งบอกว่าดำริบางสิ่งในพระทัยตลอดเวลา จนนางกำนัลที่ตามเสด็จเป็นห่วง ครู่ต่อมาพระนางก็ชะลอบาทลงแล้วขมวดพระขนง ก่อนจะยกหัตถ์ขึ้นกุมนลาฏ
“พระเทวีเพคะ” ศรีดาราร้องเรียก เมื่อเห็นผู้เป็นนายซวนเซไปมาคล้ายจะล้ม
“พระเทวี เป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ส่วนปทุมมาปรี่เข้าไปประคอง
“ข้าปวดหัว” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีตอบ หล่อนรู้จิตเดิมนั้นร้อนรนเต็มที่หลังจากได้ยินคำบอกเล่าจากพินทุมณีเทวีจึงมีอาการเช่นนี้
“แข็งใจอีกนิดนะเพคะ เดี๋ยวก็ถึงตำหนักแล้ว นี่เจ้าน่ะรีบวิ่งกลับไปตำหนักก่อน แล้วบอกให้คุณท้าวเตรียมยาหอมไว้” นางคนสนิทสั่งเพื่อนนางกำนัลด้วยกัน ก่อนจะช่วยกันพยุงนางเทวีกลับตำหนัก
แม้จะดื่มยาหอมเข้าไปแล้ว อาการของเคียงฟ้าไม่ดีขึ้นเลย ในทางกลับกันอาการปวดศีรษะยิ่งทวีมากขึ้นจนคล้ายศรีษะจะแตกเป็นเสี่ยง หล่อนรู้ดีมหิตาเทวีกำลังร่ำร้องอยู่ในพระทัย เป็นทุกข์กับสิ่งที่ได้รับรู้มา ครั้งนี้พระนางอาจจะต้องแบ่งปันพระสวามีให้กับหญิงอื่นเพราะการเมือง
“จะต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ข้าไม่ยอมปล่อยให้เป็นอย่างนี้แน่” เสียวนั้นรอดจากไรทนต์ออกมาโดยที่เคียงฟ้าไม่ได้เป็นผู้พูด หญิงสาวรู้ตัวว่าหล่อนกำลังจะควบคุมร่างในอดีตไม่ได้เสียแล้ว ทั้งกายและใจกลับคืนสู่การควบคุมของมหิตาเทวีโดยที่หล่อนเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น
“ข้าไม่ยอมให้เป็นเยี่ยงนั้น...” เสียงตรัสแผ่วเบาแต่สุรเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ
“อย่ากรรแสงเพคะพระเทวี เรื่องยังมิทันได้เกิดขึ้น อย่าเพิ่งเสียพระทัยไป” ปทุมมารีบปลอบประโลมนายของตน
“อย่าได้สนพระทัยสิ่งพระพี่นางตรัสเลยเพคะ ตั้งกี่ครั้งแล้วที่ตรัสให้เสียพระทัย” ศรีดารารู้ว่าตนบังอาจนักที่กล่าวร้ายถึงพินทุมณีเทวี หากอยู่ในที่รโหฐานไม่มีผู้ใดนอกจากพวกนางได้ยินจึงกล้ากล่าว ด้วยถือว่าตนเป็นพระสหาย
“แต่ครั้งนี้เสด็จพี่ได้ยินมาจากท่านโหร คงมิใช่เรื่องที่แต่งขึ้นดอก” เคียงฟ้าอยากจะบอกนักว่าพินทุมณีเทวีมิได้แต่งเรื่องขึ้น หากแต่เพิ่มเติมเรื่องคงมิใช่เรื่องยากเกินความสามารถพระนางเป็นแน่แท้
‘ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพิสูจน์’ เสียงของหญิงสาวผู้เป็นอนาคตของมหิตาเทวีดังก้องอยู่ในพระทัย
“ใช่ต้องพิสูจน์!!”
“ตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”
“พรุ่งนี้...พรุ่งนี้ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่แต่เช้า จงไปเตรียมมาลัยดอกไม้ไปถวาย” ทรงสั่งอย่างมั่นพระทัย พรุ่งนี้พระนางต้องทราบทุกสิ่งด้วยองค์เอง
ศรีดาราเหลียวมองปทุมมาไม่แน่ใจว่าควรคัดค้านดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นนางอื่นๆ ก้มหน้าเงียบเป็นเชิงรับคำสั่งจึงต้องตอบรับไปด้วยอีกผู้หนึ่ง ส่วนเคียงฟ้าไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากกลมกลืนไปกับรอบข้างและคอยเฝ้ามองด้วยในใจหวาดหวั่นเท่านั้น
ราตรีผ่านพ้นนั้นไปได้อย่างยากลำบาก มหิตาเทวีทรงวิตกกังวลว่าจะสูญเสียชายผู้กุมดวงหทัยจนมิอาจข่มเนตรให้บรรทมลงได้ ยังผลให้ศรีดาราที่มานอนเฝ้าหน้าแท่นบรรทมไม่กล้าหลับ เนื่องด้วยนางหวาดกลัวยิ่งนัก กลัวจะซ้ำรอยกุสุมาลย์แค่เพียงผู้เฝ้าหลับตาลงก็เกิดเรื่องอันเศร้าสลดขึ้น
“โธ่เอ๋ย...พี่ศรีดารา” เคียงฟ้าถอนหายใจสงสารศรีดารานัก “ดูซิ มหิตาเธอทุกข์คนเดียวที่ไหน ถ้ามองคนอื่นนอกจากเจ้าภูบ้าง...เธอจะไม่ทุกข์นัก ว่าแต่เขาไปไหน? ทำไมไม่นอนด้วยกัน”
“เจ้าพี่แยกห้องบรรทมกับเราหลายเพลาแล้ว...ทรงเบื่อหน่ายเรา” เสียงตอบนั้นมาจากร่างที่นอนอยู่บนแท่น
“มหิตา?!!” เคียงฟ้าอุทานออกมา ด้วยความตกใจ “นี่เธอเห็นฉันด้วยเหรอ?”
“มิได้เป็นเช่นนั้นดอกเพคะ หมู่นี้ท่านภูวิษะมีราชกิจมากกว่าจะกลับก็ดึกดื่น หัวรุ่งก็เสด็จออกไปแล้ว คงเกรงจะรบกวนพระเทวี หากเสร็จราชกิจแล้วก็คงมาร่วมบรรทมเหมือนเคย” ที่แท้พระนางตรัสกับศรีดารา
“แล้วเมื่อใดเล่า..?”
“หากทรงคิดถึง ก็ไปทูลเชิญมาบรรทมห้องนี้สิเพคะ” นางคนคิ้วเข้มยิ้มให้คำแนะนำตนของตน
“หากอยากมาคงเสด็จมาเอง แต่นี่...ทรงชังเราตั้งแต่พี่กุสุมาลย์สิ้นแล้ว”
“โถ...พระเทวี อย่าตรัสเช่นนั้นเลย อันบุรุษบางทีก็มีทิฐินะเพคะ หากอ่อนเข้าหาคงไม่พระทัยดำถึงขั้นปฏิเสธดอกเพคะ”
“เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?”
“เพคะ” นางคนสนิทยิ้มรับ
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้....ให้ห้องเครื่องเตรียมสำหรับที่เสด็จพี่ทรงโปรดเอาไว้แต่เช้า ข้าจะทูลเชิญมาร่วมเสวย”
“ดีเพคะ” ศรีดาราถอนหายใจ ยังดีที่พระเทวีฟังคำแนะนำของนาง หาไม่แล้วคงจะทรงจมอยู่ในห้วงทุกข์อีกนาน
แต่เรื่องราวมิได้เป็นอย่างที่ศรีดาราและเคียงฟ้าภาวนาให้ไป เมื่ออรุณแรกฉายแสงมาภูวิษะเจ้ามิได้เสด็จมาร่วมเสวย เนื่องด้วยถูกทูลให้เสด็จไปเสวยยังตำหนักหลวงร่วมกับพระบาทเจ้าและเจ้าชายพระองค์อื่น ซึ่งแผนการตีเมืองปาลเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทุกทีแล้ว ทิ้งความผิดหวังให้แก่มหิตาเทวียิ่งนัก
“อย่าคิดมาก...ถ้ายิ่งคิดเธอจะเป็นบ้าเอานะ” หล่อนกลัวเหลือเกิน หากเรื่องราวมันจะจบลงเช่นนั้น
“เขาแค่มีงานของเขา...สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เจ้าภู แต่เป็น ‘สติ’ ” เคียงฟ้ากระซิบโดยไม่สนใจว่าพระนางจะได้ยินหรือไม่ แต่หล่อนเชื่อว่าในเมื่อเคยเป็นคนผู้เดียวกันมาก่อน ใจอาจจะเชื่อมถึงกันได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 55
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 55
มหิตาเทวีเสด็จออกจากตำหนักของพระภคินี ตลอดทางทรงดำเนินอย่างเงียบเชียบไม่ตรัสแม้แต่คำเดียว สีพระพักตร์นั้นบ่งบอกว่าดำริบางสิ่งในพระทัยตลอดเวลา จนนางกำนัลที่ตามเสด็จเป็นห่วง ครู่ต่อมาพระนางก็ชะลอบาทลงแล้วขมวดพระขนง ก่อนจะยกหัตถ์ขึ้นกุมนลาฏ
“พระเทวีเพคะ” ศรีดาราร้องเรียก เมื่อเห็นผู้เป็นนายซวนเซไปมาคล้ายจะล้ม
“พระเทวี เป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ส่วนปทุมมาปรี่เข้าไปประคอง
“ข้าปวดหัว” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีตอบ หล่อนรู้จิตเดิมนั้นร้อนรนเต็มที่หลังจากได้ยินคำบอกเล่าจากพินทุมณีเทวีจึงมีอาการเช่นนี้
“แข็งใจอีกนิดนะเพคะ เดี๋ยวก็ถึงตำหนักแล้ว นี่เจ้าน่ะรีบวิ่งกลับไปตำหนักก่อน แล้วบอกให้คุณท้าวเตรียมยาหอมไว้” นางคนสนิทสั่งเพื่อนนางกำนัลด้วยกัน ก่อนจะช่วยกันพยุงนางเทวีกลับตำหนัก
แม้จะดื่มยาหอมเข้าไปแล้ว อาการของเคียงฟ้าไม่ดีขึ้นเลย ในทางกลับกันอาการปวดศีรษะยิ่งทวีมากขึ้นจนคล้ายศรีษะจะแตกเป็นเสี่ยง หล่อนรู้ดีมหิตาเทวีกำลังร่ำร้องอยู่ในพระทัย เป็นทุกข์กับสิ่งที่ได้รับรู้มา ครั้งนี้พระนางอาจจะต้องแบ่งปันพระสวามีให้กับหญิงอื่นเพราะการเมือง
“จะต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ข้าไม่ยอมปล่อยให้เป็นอย่างนี้แน่” เสียวนั้นรอดจากไรทนต์ออกมาโดยที่เคียงฟ้าไม่ได้เป็นผู้พูด หญิงสาวรู้ตัวว่าหล่อนกำลังจะควบคุมร่างในอดีตไม่ได้เสียแล้ว ทั้งกายและใจกลับคืนสู่การควบคุมของมหิตาเทวีโดยที่หล่อนเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น
“ข้าไม่ยอมให้เป็นเยี่ยงนั้น...” เสียงตรัสแผ่วเบาแต่สุรเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ
“อย่ากรรแสงเพคะพระเทวี เรื่องยังมิทันได้เกิดขึ้น อย่าเพิ่งเสียพระทัยไป” ปทุมมารีบปลอบประโลมนายของตน
“อย่าได้สนพระทัยสิ่งพระพี่นางตรัสเลยเพคะ ตั้งกี่ครั้งแล้วที่ตรัสให้เสียพระทัย” ศรีดารารู้ว่าตนบังอาจนักที่กล่าวร้ายถึงพินทุมณีเทวี หากอยู่ในที่รโหฐานไม่มีผู้ใดนอกจากพวกนางได้ยินจึงกล้ากล่าว ด้วยถือว่าตนเป็นพระสหาย
“แต่ครั้งนี้เสด็จพี่ได้ยินมาจากท่านโหร คงมิใช่เรื่องที่แต่งขึ้นดอก” เคียงฟ้าอยากจะบอกนักว่าพินทุมณีเทวีมิได้แต่งเรื่องขึ้น หากแต่เพิ่มเติมเรื่องคงมิใช่เรื่องยากเกินความสามารถพระนางเป็นแน่แท้
‘ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพิสูจน์’ เสียงของหญิงสาวผู้เป็นอนาคตของมหิตาเทวีดังก้องอยู่ในพระทัย
“ใช่ต้องพิสูจน์!!”
“ตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”
“พรุ่งนี้...พรุ่งนี้ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่แต่เช้า จงไปเตรียมมาลัยดอกไม้ไปถวาย” ทรงสั่งอย่างมั่นพระทัย พรุ่งนี้พระนางต้องทราบทุกสิ่งด้วยองค์เอง
ศรีดาราเหลียวมองปทุมมาไม่แน่ใจว่าควรคัดค้านดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นนางอื่นๆ ก้มหน้าเงียบเป็นเชิงรับคำสั่งจึงต้องตอบรับไปด้วยอีกผู้หนึ่ง ส่วนเคียงฟ้าไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากกลมกลืนไปกับรอบข้างและคอยเฝ้ามองด้วยในใจหวาดหวั่นเท่านั้น
ราตรีผ่านพ้นนั้นไปได้อย่างยากลำบาก มหิตาเทวีทรงวิตกกังวลว่าจะสูญเสียชายผู้กุมดวงหทัยจนมิอาจข่มเนตรให้บรรทมลงได้ ยังผลให้ศรีดาราที่มานอนเฝ้าหน้าแท่นบรรทมไม่กล้าหลับ เนื่องด้วยนางหวาดกลัวยิ่งนัก กลัวจะซ้ำรอยกุสุมาลย์แค่เพียงผู้เฝ้าหลับตาลงก็เกิดเรื่องอันเศร้าสลดขึ้น
“โธ่เอ๋ย...พี่ศรีดารา” เคียงฟ้าถอนหายใจสงสารศรีดารานัก “ดูซิ มหิตาเธอทุกข์คนเดียวที่ไหน ถ้ามองคนอื่นนอกจากเจ้าภูบ้าง...เธอจะไม่ทุกข์นัก ว่าแต่เขาไปไหน? ทำไมไม่นอนด้วยกัน”
“เจ้าพี่แยกห้องบรรทมกับเราหลายเพลาแล้ว...ทรงเบื่อหน่ายเรา” เสียงตอบนั้นมาจากร่างที่นอนอยู่บนแท่น
“มหิตา?!!” เคียงฟ้าอุทานออกมา ด้วยความตกใจ “นี่เธอเห็นฉันด้วยเหรอ?”
“มิได้เป็นเช่นนั้นดอกเพคะ หมู่นี้ท่านภูวิษะมีราชกิจมากกว่าจะกลับก็ดึกดื่น หัวรุ่งก็เสด็จออกไปแล้ว คงเกรงจะรบกวนพระเทวี หากเสร็จราชกิจแล้วก็คงมาร่วมบรรทมเหมือนเคย” ที่แท้พระนางตรัสกับศรีดารา
“แล้วเมื่อใดเล่า..?”
“หากทรงคิดถึง ก็ไปทูลเชิญมาบรรทมห้องนี้สิเพคะ” นางคนคิ้วเข้มยิ้มให้คำแนะนำตนของตน
“หากอยากมาคงเสด็จมาเอง แต่นี่...ทรงชังเราตั้งแต่พี่กุสุมาลย์สิ้นแล้ว”
“โถ...พระเทวี อย่าตรัสเช่นนั้นเลย อันบุรุษบางทีก็มีทิฐินะเพคะ หากอ่อนเข้าหาคงไม่พระทัยดำถึงขั้นปฏิเสธดอกเพคะ”
“เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?”
“เพคะ” นางคนสนิทยิ้มรับ
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้....ให้ห้องเครื่องเตรียมสำหรับที่เสด็จพี่ทรงโปรดเอาไว้แต่เช้า ข้าจะทูลเชิญมาร่วมเสวย”
“ดีเพคะ” ศรีดาราถอนหายใจ ยังดีที่พระเทวีฟังคำแนะนำของนาง หาไม่แล้วคงจะทรงจมอยู่ในห้วงทุกข์อีกนาน
แต่เรื่องราวมิได้เป็นอย่างที่ศรีดาราและเคียงฟ้าภาวนาให้ไป เมื่ออรุณแรกฉายแสงมาภูวิษะเจ้ามิได้เสด็จมาร่วมเสวย เนื่องด้วยถูกทูลให้เสด็จไปเสวยยังตำหนักหลวงร่วมกับพระบาทเจ้าและเจ้าชายพระองค์อื่น ซึ่งแผนการตีเมืองปาลเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทุกทีแล้ว ทิ้งความผิดหวังให้แก่มหิตาเทวียิ่งนัก
“อย่าคิดมาก...ถ้ายิ่งคิดเธอจะเป็นบ้าเอานะ” หล่อนกลัวเหลือเกิน หากเรื่องราวมันจะจบลงเช่นนั้น
“เขาแค่มีงานของเขา...สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เจ้าภู แต่เป็น ‘สติ’ ” เคียงฟ้ากระซิบโดยไม่สนใจว่าพระนางจะได้ยินหรือไม่ แต่หล่อนเชื่อว่าในเมื่อเคยเป็นคนผู้เดียวกันมาก่อน ใจอาจจะเชื่อมถึงกันได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++